หากเราต้องเลือกระหว่างการขับรถคนเดียวโดยอาศัย GPS (Global Positioning System ระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก) กับการขับรถไปกับคนรู้ใจ ที่รู้เส้นทางอย่างดี และยังชำนาญเรื่องเครื่องยนต์ด้วยนั้น เป็นเราจะเลือกแบบไหน
ถ้าเป็นการเดินทางแบบเร่งรีบเพื่อไปทำงานและรถติดขนาดหนัก เราต้องการหาเส้นทางลัดเพื่อไปให้ทันเวลา GPS ก็น่าจะดีกว่า แต่ถ้าเป็นการเดินทางในเส้นทางสวยๆ ที่เราอยากได้เพื่อนชื่นชมไปด้วยกัน (คุณอาจจะเบื่อเซลฟี่แล้ว) หรือในเส้นทางยากลำบากที่เราคนเดียวคงขับไม่ถึงแน่ การมีเพื่อนสักคนที่อยู่ด้วยกันจะสามารถสร้างความแตกต่างได้มากมาย
หลายครั้งเรามองน้ำพระทัยของพระเจ้าเป็น GPS คือขอให้บอกมาเลยเดี๋ยวนี้ ว่าเราจะต้องตัดสินใจอย่างไร อะไรดีที่สุดในจุดที่เราอยู่ บอกมาให้ชัดๆ เราจะได้ไม่พลาด และอื่นๆ อีกมากมาย
ถ้าพระเจ้าออกแมกกาซีนน้ำพระทัยพระเจ้ารายวัน หรือส่งข้อความทางไลน์มาทุกชั่วโมง ยอดใช้บริการน่าจะถล่มทลาย เพราะแทบทุกคนเรียกร้องการรู้น้ำพระทัยพระเจ้ากันอยู่แล้ว
ผู้คนในความเชื่อต่างๆ ใช้สารพัดวิธีในการช่วยตัดสินใจ บางคนตรวจดวงชะตาของตัวเองทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือนตามหน้าหนังสือพิมพ์และวารสาร ขณะที่บางคนใช้เซียมซีเพื่อบอกทิศทางการค้าขายในสัปดาห์ต่อไป มีหมอดู คนทรง เทพเจ้ามากมายทำเงินได้อย่างมหาศาลทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ความแม่นยำก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่กำลังใจและความสนุกในการได้ “รู้” อนาคตเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นสำหรับทุกคน
คริสเตียนเองก็อาจจะมีแนวโน้มในการอยาก “รู้” อนาคตเช่นเดียวกัน เพียงเปลี่ยนจาก “การอยากรู้” เป็นคำศักดิ์สิทธิ์อย่าง “แสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้า” แต่ปัญหาคือเมื่อเรารู้แล้ว ค้นพบแล้ว จะเชื่อฟังหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถ้าทบทวนดูดีๆ เรามีแนวโน้มจะอยากรู้น้ำพระทัยพระเจ้าเป็นพิเศษเฉพาะในเรื่อง “ใหญ่ๆ” หรือไม่ เช่นเราจะแต่งงานกับใคร เราจะเปลี่ยนงานดีไหม เราจะซื้อบ้านในทำเลนี้ดีไหม เราจะลงทุนกับอะไร แต่เราจะไม่ค่อยถามพระเจ้าในเรื่อง “เล็กๆ” เช่นจะทานอาหารอะไร จะเลือกซื้อเสื้อผ้าแบบไหน จะดูหนังเรื่องนี้ดีไหม
ทำไมเราเป็นเช่นนี้ หรือพระเจ้าของเราไม่ได้มีน้ำพระทัยสำหรับเรื่องเล็กๆ สิ่งเหล่านี้อยู่นอกเหนือคำว่า “น้ำพระทัยของพระเจ้า” อย่างนั้นหรือ
ถ้าเปรียบการดำเนินชีวิตคริสเตียนเหมือนการเดินทางไกลด้วยรถยนต์ พระเยซูได้สัญญาไว้กับเราอย่างชัดเจน หนักแน่นด้วยชีวิตของพระองค์เองว่า “เราจะอยู่กับเจ้า” พระองค์จึงนั่งข้างๆ เรา คุยกับเรา แนะนำเส้นทางให้เรา หัวเราะด้วยกัน ให้กำลังใจเราตอนที่หลงทาง ปลุกเราตอนเผลอหลับ
และไม่เพียงเท่านั้นพระองค์ยังมอบเข็มทิศ คือพระคริสตธรรมคัมภีร์ไว้ให้เราด้วย เป็นเข็มทิศที่ชี้ทางถูกต้องเสมอ บางครั้งเข็มทิศนี้ชี้ไปยังเส้นทางซึ่งดูยากลำบาก มีอุปสรรคมากมาย เราอาจตัดสินใจเลี้ยวไปทางอื่น ที่สะดวกสบายกว่า มีความมั่งคั่ง ร่ำรวย มีเวลาว่างมากขึ้น หรือสามารถหาความสุขทางเพศได้มากขึ้น แต่เมื่อกลับมามองเข็มทิศนั้นก็ยังคงชี้ไปในทางเดิม คำถามคือเราจะยินดีที่จะติดตามเส้นทางที่เข็มทิศแห่งพระคัมภีร์ชี้หรือไม่
การเดินทางบนเส้นทางนี้จึงต้องมี “ความไว้วางใจ” ในคนที่นั่งไปกับเรา และในทิศทางที่ถูกต้อง พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและเพื่อนร่วมทางที่รักเราที่สุด เห็นใจเราที่สุด เคยผ่านเส้นทางที่ยากลำบากกว่าเราอย่างมากมาย เข้าใจว่าเราเผชิญอะไรอยู่
การแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าจึงมีลักษณะสำคัญคือวางอยู่บนความสัมพันธ์และความไว้วางใจ พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะทั้งหลาย แกะเหล่านั้นจะไม่มีวันพินาศและจะไม่มีใครแย่งชิงแกะนั้นไปจากมือของเราได้” ยอห์น 10:27-28
อีกคำถามหนึ่งที่ต้องถามคือ เมื่อเรารู้น้ำพระทัยของพระเจ้าแล้วยังไง?
ไม่ว่าท่าทีภายนอกของเราจะเป็นอย่างไร อาจจะดูเป็นคนเคร่งศาสนาหรือไม่ก็ตาม การเชื่อฟังเป็นข้อพิสูจน์เดียวว่าเราเป็นคนของพระเจ้าที่แท้จริงไหม
พระเยซูถามว่า “ท่านทั้งหลายคิดอย่างไร?” (มัทธิว 21:28) พ่อคนหนึ่งสั่งลูกทั้งสองคนให้ทำงานในสวนองุ่น ลูกคนแรกตอบว่า “ไม่ไป” แต่ภายหลังไปทำงานตามที่พ่อสั่ง ลูกคนที่สองตอบว่า “ไป” แต่ไม่ได้ไป
คงไม่ต้องให้คนที่จบปริญญาเอกหรือใช้ความรู้ซับซ้อนเพื่อจะตอบคำถามนี้ ลูกคนแรกคือคนที่ทำตามใจของบิดา พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า บรรดาคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีจะได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้าก่อนพวกท่าน”
การสำนึกในพระคุณพระเจ้า ยอมรับน้ำพระทัยของพระเจ้าทั้งที่ขัดกับความคิดและอัตตาของเรา เป็นท่าทีของผู้ชอบธรรมในแผ่นดินของพระเจ้าที่แท้จริง ไม่ได้ขึ้นกับสิ่งเห็นภายนอก
หลักเกณฑ์สำคัญที่ใช้ในการตัดสินใจว่าสิ่งนี้อยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ ผมคิดว่ามีหลักใหญ่อยู่สามหลักเท่านั้น คือปฐมบัญชา พระมหาบัญญัติ และพระมหาบัญชา
เราถูกสร้างให้รับหน้าที่ในการปกครองดูแลโลกนี้ (ปฐมกาล 1:26) เราถูกไถ่จากความผิดบาปทั้งสิ้น ที่ไม่มีศีลธรรมแบบไหนจะช่วยเราได้ เพื่อให้เรามีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า รักพระองค์ และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เราได้รับหน้าที่ความรับผิดชอบในการเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐจนกว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมา
การทรงเรียกสามอย่างนี้เป็นเข็มทิศ ที่เราจะปรับเรื่องอื่นทั้งหมดในชีวิต ไม่ว่าจะใหญ่ขนาดเรื่องคู่ครอง หรือเล็กขนาดการรูดใช้บัตรเครดิต ทุกๆ พื้นที่ในชีวิตของเรา จะต้องสอดคล้องกับการทรงเรียกทั้งสามประการข้างต้น
หากเราจะถามพระเจ้าว่า เราจะเลือกทำงานในบริษัท A หรือ B ดีกว่ากัน น้ำพระทัยของพระเจ้าคือเราจะมีชีวิตที่ถูกต้องตามการทรงเรียกของพระองค์หรือไม่
หากการเลือกบริษัท A หรือ B มีเป้าหมายเหมือนกันคือเป็นเพียงเพื่อตอบสนองความโลภ ความเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบของเราเอง เราเองก็น่ามีคำตอบอยู่แล้วว่าใช่หรือไม่
ในขณะเดียวกันหากเป็นการเลือกระหว่างบริษัท C และ D พระเจ้าอาจจะตอบว่าที่ไหนก็ได้ ถ้าการเลือกของเราอยู่บนพื้นฐานของความตั้งใจที่ใช้ชีวิตที่ถูกต้องตามการทรงเรียก เป็นเกลือและแสงสว่าง เป็นพยานของพระองค์ที่นั่นได้ เราอาจจะเลือก D เพราะใกล้บ้านกว่า เราจะมีเวลามากขึ้นกับครอบครัว ก็เท่านั้นเอง แต่ถ้า C ให้เงินเยอะกว่า แต่เราสูญเสียเวลาที่จะดูแลลูกไป คุณคิดว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าในเรื่องนี้คืออะไร
การแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าคือการซึบซับเรื่องราว ค่านิยม หลักการ ตัวอย่าง แรงบันดาลใจจากพระคำของพระองค์ เป็นการซึบซับ “น้ำพระทัย” ของพระเจ้าที่เปิดเผยไว้แล้วในทุกๆ วัน เป็นการปล้ำสู้เอาชนะความคิด ความเชื่อ พฤติกรรมที่ผิดของตัวเอง เพื่อจะเปลี่ยนแปลงไปตามที่พระเจ้าต้องการ
คำสัญญาของเรื่องนี้คือ “อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม” (โรม 12:2) ผมยังไม่เจอข้อพระคัมภีร์ที่ชัดกว่านี้ในเรื่องเหตุผล วิธีการ กระบวนการ ผลลัพธ์ของการรู้น้ำพระทัยของพระเจ้า มากไปกว่าข้อนี้อีกแล้ว
เพราะชีวิตก็คือชีวิต ไม่ได้เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เกิดซ้ำแน่นอนหรือการปล่อยไปตามเวรกรรม แต่เป็นชีวิตที่รู้จักพระเจ้า รู้จักจุดประสงค์และปลายทางของชีวิต วางใจในคำสัญญาของพระเจ้า และอุทิศตัวในการยอมรับและเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ ไม่ว่าระหว่างทางจะเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่ เราเชื่อมั่นในพระคุณของพระเจ้าเสมอ
ผมพบว่าการรู้น้ำพระทัยพระเจ้าในลักษณะนี้ มอบเสรีภาพที่แท้จริงในการเป็นสาวกของพระองค์ ได้รับความชื่นชมยินดีและสุนทรียภาพในการดำเนินชีวิต เกิดความประหลาดใจ อบอุ่นใจ ความชื่นชมยินดี หรือแม้กระทั่งนำเราเข้าสู่ภาวะที่ต้องกัดฟันผ่านไปให้ได้ น้ำพระทัยของพระเจ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ
บทความ: ปดิพัทธิ์ สันติภาดา
ออกแบบ: Nan Tharinee
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น