บทความ

“7 สิ่งที่ได้เรียนรู้ในปี 2022” – บอย โกสิยพงษ์

"7 สิ่งที่ได้เรียนรู้ในปี 2022" - บอย โกสิยพงษ์ -

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในปี 2022

1.พระเจ้าทรงเลี้ยงดูทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นนกเป็นกวางเป็นกระต่ายหรือแมลงต่างๆ แล้วเหตุใดที่พระเจ้าผู้ส่งพระเยซูพระบุตรองค์เดียวมาตายอย่างทรมานเพื่อไถ่บาปแทนพวกเรานั้น จะไม่ทรงเลี้ยงดูเราด้วย

วันหนึ่งผมและภรรยาไปเดินที่อุทยานแห่งหนึ่งชื่อว่า Garden of the Gods ที่ cololado springs ขณะที่ภรรยาของผมกำลังสนใจถ่ายภาพสิ่งทรงสร้างอันยิ่งใหญ่สวยงามอยู่นั้น ผมก็ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับพระเจ้าและได้ร้องเพลงนมัสการพระองค์ รวมไปถึงสรรเสริญพระเจ้าที่ได้สัมผัสถึงการโอบกอดจากพระองค์

ระหว่างทางได้พูดคุยกับพระองค์ในใจหลายเรื่อง และ หนึ่งในเรื่องที่ผมจำได้ก็คือต่อไปนี้พระองค์ประสงค์ให้ผมทำอย่างไรกับชีวิตบ้างครับ เพราะสำหรับผมแล้ว การดำเนินชีวิตแบบที่มองทางข้างหน้าไม่เห็นนั้นเป็นอะไรที่ไม่สะดวกใจเลยจริงๆ

แต่พระเจ้าก็ทรงตอบด้วยการให้เห็นกวางสามตัวกำลังแทะเล็มหญ้าและใบไม้ต่างๆอย่างเอร็ดอร่อย และยังใด้เห็นกระต่ายตัวน้อยแวะมาเก็บผลไม้ที่หล่นอยู่และวิ่งมุดเข้าออกพงพุ่มไม้อย่างรวดเร็ว

อีกทั้งได้ยินเสียงนกหลายชนิดที่ส่งเสียงพูดคุยกันเหมือนกำลังร้องเพลงอยู่ ทันใดนั้นผมก็ได้รู้สึกทันทีว่าพระเจ้ากำลังตรัสกับผ่านเพลงที่เคยร้องในใจ “เพราะพระองค์ทรงเลี้ยงนกน้อยใหญ่ ข้ารู้ทรงเลี้ยงข้าด้วย”

เราเป็นถึงลูกของพระองค์ที่พระเจ้าทรงยอมเสียสละพระเยซูพระบุตรองค์เดียวมาตายเพื่อไถ่บาปแทนพวกเรา แล้วทำไมพระองค์จะทรงไม่ดูแลปกป้องเลี้ยงดูลูกของพระองค์เล่า

ใจผมรู้สึกถึงความสันติสุขที่เข้ามาในใจอย่างอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้
ผมรู้สึกสงบนิ่งและสบายใจอย่างบอกไม่ถูกอยู่พักใหญ่ ร้องเพลงนมัสการพระองค์ด้วยเพลงที่แต่ขึ้นมาในขณะนั้น บางทีก็มีเนื้อหาบางทีก็เป็นแค่ทำนองเฉยๆ แต่สุขใจอย่างประหลาด

ขณะขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับบ้าน ผมได้มองเห็นธรรมชาติที่สวยงามภูเขาน้อยใหญ่ต้นไม้หลากหลายพรรณอยู่ตลอดเส้นทาง ผมรู้สึกว่าธรรมชาติแบบนี้สวยงามเหลือเกิน ทุกอย่างสวยงามในแบบของมันเอง ไม่จำเป็นต้องมีใครเหมือนกัน

ต้นไม้เล็กก็ไม่ได้มีค่าน้อยกว่าต้นไม้ใหญ่ ภูเขาเล็กก็ไม่ได้ด้อยค่ากว่าภูเขาใหญ่ ทุกอย่างล้วนอยู่ร่วมกันเพื่อเป็นองค์ประกอบของภาพรวมใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าของผม

พลันก็ได้รู้สึกว่าพระเจ้าตรัสขึ้นในใจอีกครั้งว่า ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตไม่ว่าจะเป็นทางลาดทางชันหลุมบ่ออะไรก็ตาม ล้วนเกิดขึ้นเพื่อเป็นองค์ประกอบของภาพใหญ่ของชีวิตเราทั้งสิ้น

ดังนั้นอย่าห่วงเลยพระองค์ทรงจัดวางให้เหมาะสมและสวยงามเกินกว่าที่ผมจะพยายามจินตนาการเอาเองได้ ให้ปล่อยมือจากการพยายามควบคุมให้ชีวิตเป็นไปดั่งที่ต้องการ และปล่อยให้พระองค์เป็นผู้จูงมือเราไปเถิด

ถ้าถนนเรียบหมด มีต้นไม้ที่ตัดเรียบเรียงแถวเป็นแนวเดียวกันทั้งหมด อุทยานก็คงจะไม่ได้สวยงามอย่างที่ผมได้เห็นแน่ๆ

สรรเสริญพระเจ้าสำหรับเวลาที่ได้ใกล้ชิดพระองค์ครับ

 

2.พระเยซูยืนอยู่หน้าบ้านเคาะประตูให้เราเปิดออกเพื่อที่จะรับพระพรจากพระองค์ การที่เราเชื่อว่าปิดล๊อคประตูใจของเราจะช่วยป้องกันภัยจากอันตรายต่างๆ หลายทีก็เป็นการปิดกั้นพระพรอันมากมายที่พระเยซูทรงมายืนเคาะประตูเพื่อจะมอบให้เราก็ได้

เพียงแค่เราเปิดประตูใจออกไปและคอยมองหาหลักฐานมากมายที่พระเจ้าทรงสร้างมาเพื่อเป็นพระพรแก่เรา เมื่อเราเปิดสวิตซ์รับรู้ พระพรก็จะหลั่งไหลเข้ามาสู่จิตใจเราแบบชนิดที่เรียกว่าไม่มีจำกัดเลยทีเดียว

ยกตัวอย่างเช่นแสงอาทิตย์ที่ส่องแสงมาให้ความอบอุ่น มาให้แสงสว่าง มาให้ต้นไม้สังเคราะห์แสงและออกเป็นพืชพรรณผลไม้ต่างๆให้เรากิน น้ำฝนที่ตกลงมา เพื่อให้เราได้ดื่มกินอาบซักผ้าและอีกมากมาย

จนไปถึงแมลง เล็กไปจนถึงโปรโตซัว แบคทีเรีย แร่ธาตุต่างๆในดินในหินในธรรมชาติ ทั้งหมดพระเจ้าสร้างไว้เพื่อเตรียมให้เป็นพระพรกับเราตั้งแต่เรายังไม่ได้เกิดมาบนโลกนี้แล้ว

และพระพรเหล่านั้นเราก็สามารถ tap นำมาใช้จากเพื่อการยังชีพพื้นฐานไปจนถึงการรักษาเป็นยาจนถึงใช้ไปท่องเที่ยวในอวกาศได้เลย

ไม่มีสิ่งในที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยไม่ได้มีพื้นฐานมาจากพระพรที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้มนุษย์ ทุกอย่างที่พระองค์สร้างล้วนให้มีวาระฤดูกาลทั้งสิ้น ทุกอย่างจัดสรรมาอย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้พระพรเหล่านั้นมา spoil ลูกๆของพระองค์ให้กลายเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองโดยไม่ยอมรออะไรพระพรของพระองค์จึงทรงคุณค่าเหลือเกิน

แต่เราเองนี่แหละที่ชอบเอาพระพรเหลานั้นมาด้อยค่าลงด้วยการปรับให้ทุกอย่าง serve ความต้องการอย่างเร่งด่วน อย่างเกินความจำเป็นของเรา จนเลยเถิดไปจนถึงนำมาเพื่อประหัดประหารสิ่งทรงสร้างของพระองค์เพื่อความต้องการของตัวเราเอง

ลองมองดูว่ามีสิ่งทรงสร้างชนิดไดบ้างที่นำทรัพยากรที่พระเจ้าสร้างมาปรนเปรอตนเองอย่างมายเท่ากับมนุษย์ นี่ก็ชี้ให้เห็นว่าพระองค์ทรงเตรียมพระพรจ่อหน้าประตูบ้านเราล้นเหลือขนาดไหน

แต่เราก็ยังใช้ความคิดที่เรามีปิดประตูหน้าต่างไม่ยอมให้พระเยซูนำพระพรเข้ามาให้ ขณะเดียวกันก็ยังอธิษฐานขอให้พระเจ้าเร่งอวยพรเรา แต่เราก็ไม่ยอมเปิดประตูรับพระเยซูผู้นำพระพรเหล่านั้นมาจ่อหน้าบ้านเราตั้งแต่ยังไม่ทันขอ

อีกประการคือเราชอบที่จะจ้องมองพระพรที่ผู้อื่นได้รับแล้วนึกอิจฉาในใจว่าทำไมเราไม่ได้อย่างนี้บ้าง

หลายทีถ้ามันไม่เหมาะกับชีวิตของเรานับจากนี้แล้ว ถึงแม้พระพรนั้นเราจะเคยได้รับมาในอดีต พระเจ้าก็จะไม่ให้เรา ไม่ใช่เพื่อประสงค์ร้ายแต่เป็นพระประสงค์ที่ดีต่อชีวิตทางจิตวิญญาณของเราในอนาคต เพื่อจะได้ใกล้พระเจ้ามากขึ้น ไม่ใช่เพื่อจะเหมือนคนบนโลกมากขึ้น

 

3.การได้มีโอกาสมีส่วนร่วมในการช่วยพระเยซูแบกกางเขนนั้นน่าภูมิใจยิ่งนัก

ปีนี้ผมมีงานที่ต้องรับผิดชอบซึ่งสำหรับผมผู้ซึ่งเพิ่งผ่านช่วงเวลายากลำบากจนจิตใจแตกสลายต่อเนื่องมา เกือบ 3 ปี นั้นเป็นอะไรที่ไม่สมประกอบและไม่มีความมั่นใจในด้านใดเอาเสียเลยว่าจะผ่านไปได้

คืนก่อนที่จะขายบัตรคอนเสิร์ตปลายปี ผมผู้ซึ่งทุกข์ใจและกังวลต่อเนื่องมาตลอดเป็นระยะเวลาหลายเดือน แต่ก็ยืดเยื้อไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงว่าเราไม่ไหว และบอกเพื่อนร่วมงานทุกคนไปเพื่อให้ทุกคนไม่ต้องมาซวยเพราะผม เพราะคิดว่าคงไม่มีใครมาดูคอนเสิร์ตนี้แน่เลย

แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่กล้าพอที่จะบอกพวกเขาเพราะไม่อยากให้พวกเขาต้องผิดหวังในตัวผมเท่านั้นเอง

คืนก่อนขายบัตรคือเวลาสุดท้ายที่จะยกเลิกคอนเสิร์ตนี้แล้วเผชิญความจริงกับทุกคนว่าผมกลัวและไม่อาจแบกรับความกลัวนี้ต่อไปได้แล้ว ผมจึงปรึกษากับน้องชายผู้คอยให้กำลังใจและเข้าใจในตัวผมมากที่สุดว่า ไม่อยากให้ผู้ร่วมงานคนอื่นๆต้องพังเละเทะไปกับใจที่ไม่พร้อมของผมด้วย ซึ่งถ้าจะเลือกเส้นทางนี้เวลานี้ก็คือเวลาสุดท้ายแล้ว ที่จะ call off the show เพราะผมไม่ไหวแล้วที่ต้องแบกรับความกลัวของตัวเอง

น้องชายผมบอกให้ใจเย็นๆ และเขาก็ไปอธิษฐาน แล้วส่งข้อพระคัมภีร์มาให้

“พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาทุกคนว่า “ถ้าใครต้องการจะมาติดตามเรา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกทุกวันและตามเรามา เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าได้สิ่งของสิ้นทั้งโลกแต่ทำลายหรือสูญเสียตัวเองไป”
ลูกา 9:23-25 THSV11
https://bible.com/bible/174/luk.9.25.THSV11

ผมอ่านพระคำข้อนี้อย่างตั้งใจและค่อยๆละเลียดไปทีละคำทีละคำ

ผมเชื่อว่าพระเยซูตรัสผ่านพระคัมภีร์ข้อนี้ว่า ให้ผมหยุดคิดถึงความกลัวความกังวลของตัวเองแล้วมาร่วมแบกกางเขนที่พระองค์ทรงแบกอยู่ตามไปกับพระองค์ จะเป็นไรไปถ้าผมถึงขั้นจะต้องเสียชีวิต เสียใจ เสียทุกอย่างเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ผู้ทรงรักเรายิ่งนัก

และผมก็คิดว่าถ้าผมทำงานนี้เพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ แม้ผลจะออกมาเลวร้ายสักเท่าไหร่ ก็ถือว่าเป็นค่านั่งไทม์แมชชีนให้ ผมได้มีโอกาสย้อนเวลากลับไป 2,000 กว่าปี เพื่อร่วมแบกกางเขนร่วมกับพระองค์ไปที่ภูเขา กลโกธา ก็แล้วกัน

ตั๋วนั่งไทม์แมชชีนราคาแค่นี้เมื่อแลกกันกับการที่ได้มีส่วนร่วมในความทุกข์ยากที่พระเยซูต้องรับอยู่นั้น คิดอย่างไรก็คุ้ม เพราะอย่างไรเสียเงินทองชื่อเสียงเท่าไหร่ก็ไม่สามารถแลกกับค่าตั๋วครั้งนี้ได้

ผมรู้สึกโล่งใจแบบไม่เคยรู้สึกโล่งใจอะไรขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ขอบคุณพระเจ้าที่ส่งข้อพระคัมภีร์ผ่านน้องชายผมมาจริงๆ

ในใจตอนนั้นผมคิดว่าผมพร้อมแล้วในทุกๆอย่างไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพียงผมจะได้มีโอกาสร่วมทุกข์กับพระองค์สักครั้ง ผมก็คิดว่าเกินคุ้ม

เลยตัดสินใจลุยต่อและตั้งใจว่าจะทำทุกอย่างให้เต็มที่ๆสุดเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า

ระหว่างทางก็มีอุปสรรคเกิดขึ้นหลายอย่างแต่ทุกครั้งที่เกิดอุปสรรคผมก็จะคิดว่า ขอบคุณพระเจ้าครับที่ให้ผมได้รับเกียรติร่วมแบกกางเขนกับพระองค์ ผมขอทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุดและจะถือว่าทุกๆอย่างที่จะเกิดขึ้นนับจากวันนั้นคือการทำเพื่อพระองค์

สรรเสริญพระเจ้าที่ให้ผลตอบรับออกมาดีเกินคาด (อาจเป็นเพราะพระองค์ทราบว่าผมยังมีความเชื่อที่น้อยอยู่ จึงให้ร่วมแบกแค่นี้พอก่อน ไว้เข้มแข็งกว่านี้แล้วค่อยมาแบกเพิ่ม

หลังจากนั้นมาพอมีเรื่องอะไรหรือเกิดความรู้สึกไม่ดีหรือกังวลเรื่องใด ผมจะกลับมานึกถึงเรื่องนี้เสมอ และช่วยให้ผมผ่านแต่ละวันไปได้ครับ

 

4. “ผู้ใดกล่าวว่าตนอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นก็ควรดำเนินตามทางที่พระองค์ทรงดำเนินนั้น”
1 ยอห์น 2:6 TH1971
https://bible.com/bible/275/1jn.2.6.TH1971

ข้อพระคัมภีร์นี้ขึ้นมาให้ได้อ่านตอนตื่นเช้าวันหนึ่ง เป็นข้อความประจำวันที่ได้รับจาก Youversion Bible App ผมรู้สึกว่าปีนี้ผมจะเปิดเจอหรือได้พบเห็นหรือได้ฟัง ข้อความประมาณนี้บ่อยมากๆ ราวกับว่าพระเจ้ากำลังบอกให้ผมปรับปรุงตัวเองขนานใหญ่ เพื่อจะพร้อมรับ Chapter ใหม่ของชีวิต ที่พระองค์กำลังส่งเข้ามา

เพราะถ้าผมยังไม่ยอมปรับปรุงใจตนเองแบบยกเครื่อง ผมอาจจะยังไม่พร้อมที่จะรับใช้ ใน Chapter ใหม่ที่กำลังจะมาถึงก็ได้

ผมมักจะได้บททดสอบการยกเครื่องนี้เข้ามาแทบทุกวัน และมาอย่างไม่ทันตั้งตัวเสียด้วย ดังนั้นผมจึงพยายามอย่างมากที่ก่อนจะเจอใครหรือพูดกับใคร จะอธิษฐานขอพระวิญญาณให้กำกับใจกำกับปาก กำกับความคิดของผม ไม่ให้หลุดออกจากเส้นทางของพระองค์

จนแล้วจนรอด ก็สอบตกมากกว่าสอบได้ และก็ยิ่งตระหนักว่าใจผมช่างอ่อนแอยิ่งนัก ทั้งที่เพิ่งอ่านพระคัมภีร์ เพิ่งฟังเทศน์ เพิ่งใคร่ครวญ ไปหยกๆ ก็พลาดตกม้าตายด้วยเรื่องง่ายๆอยู่เรื่อย

การจดจ่อเป็นอะไรที่ยากเหลือเกินสำหรับผม พี่น้องที่อ่านบทแบ่งปันนี้อยู่ มีคำแนะนำอย่างไรบ้างครับ ให้ผมซึ่งกล่าวว่า อยู่ในพระองค์ แต่กลับดำเนินตามทางพระองค์ได้อย่างลุ่มๆดอนๆ

 

5. “ความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นน้ำพุแห่งชีวิต ช่วยให้คนพ้นจากบ่วงความตาย”
สุภาษิต 14:27 TNCV
https://bible.com/bible/179/pro.14.27.TNCV

ในอดีต เวลาที่ผมอ่านพระคำข้อนี้ ผมมักจะมีความตงิดๆอยู่ ด้วยความยังไม่เข้าใจว่า แหมถ้าเป็น “ความรักในองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นน้ำพุแห่งชีวิต” น่าที่จะฟังแล้วลื่นหูกว่าไหม?” เพราะ”พระเจ้าทรงเป็นความรัก” ไง ผมก็มักจะคิดไปแบบนั้น

แต่เมื่อชีวิตผ่านหลายอย่างมาจนถึงวันนี้ พอได้มาอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้อีกทีผมรู้สึกว่าเข้าใจมากขึ้นและซาบซึ้งใจอย่างประหลาด จึงอยากจะขอแบ่งปันความเห็นที่ได้รับจากการเฝ้าเดี่ยวของวันนี้กับทุกท่านครับ

ความยำเกรง สำหรับผมคือความเกรงใจขั้นเหนือกว่า คือความกลัวว่าจะทำผิดเป้าหมาย หรือละเมิดหรือล้ำเส้นในสิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้ที่จะให้เราได้รับน้ำพุแห่งชีวิต

ส่วนน้ำพุแห่งชีวิตนี้ก็น่าจะหมายถึง สันติสุขในชีวิตที่เป็นความชื่นชมยินดีแบบอิ่มเอิบเอ่อล้นออกมาจากจิตใจ

เหมือนกับว่า การที่เรารักษากติกาและดำเนินชีวิตและใช้ชีวิตตามระเบียบที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือจะได้น้ำพุแห่งชีวิต

ผมลองนึกภาพเปรียบเทียบ(ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีทางเปรียบเทียบสิ่งนี้กับความละเอียดลึกซึ้งของการที่พระเจ้าทรงสร้างโลกขึ้นมาแม้แต่น้อย)

เช่นถ้าเราลองเทียบชีวิตบนโลกนี้ กับชีวิตบนโลกโซเชียลมีเดีย การอยู่ในโลกโซเชียลมีเดีย ก็มีกฏกติกาต่างๆเช่นกันเพื่อที่จะใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุด เราก็จำเป็นที่จะต้องเดินตามกติกาที่เจ้าของโซเชียลมีเดียนั้นๆวางไว้ เริ่มต้นตั้งแต่ log in เลย และกติกาอีกมากที่เราจะต้องเคารพเพื่อให้เราใด้อยู่ในโลกของโซเชียลมีเดียได้อย่างราบรื่นและไม่สะดุด หรืออีกนัยหนึ่งก็คืออย่างมีน้ำพุแห่งชีวิตบนโลกออนไลน์นั่นเอง

คล้ายคลึงกันกับโลกที่พวกเรากำลังอยู่นี้ หากว่าเราอยากที่จะมีสันติสุขในการดำเนินชีวิต ความเคารพยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นเจ้าของกฏทุกอย่างและสร้างทุกสรรพสิ่งอย่าง super อภิมหาละเอียดและลึกซึ้ง (เพียงแค่ถ้าเราลองไปศึกษาถึงระบบการทำงานของ DNA ของมนุษย์เราเอง เราก็น่าที่จะตื่นตะลึงกับความซับซ้อนแต่มีระบบระเบียบที่ตอบสนองสอดคล้องกับทุกสรรพสิ่งได้อย่างน่าอัศจรรย์มากๆๆ) เราก็จะได้รับน้ำพุแห่งชีวิตไว้สร้างความชุ่มฉ่ำใจโดยที่ไม่ต้องพยายามหาจากที่ไหนอีกเลย

ซึ่งกฏเกณฑ์หลักๆเท่าที่ผมได้อ่านและรับฟังมาก็มีอยู่ 2 ข้อ ซึ่งทุกท่านทราบกันดีอยู่แล้วก็คือ

“พระเยซูทรงตอบเขาว่า จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่ และข้อต้น ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”
มัทธิว 22:37-39 TH1971
https://bible.com/bible/275/mat.22.37-39.TH1971

ซึ่งถ้าเราสามารถทำตาม 2 ข้อนี้ได้ เราก็จะได้ใช้น้ำพุแห่งชีวิตแน่ๆ เพียงแค่อย่าละเมิดข้อใดข้อหนึ่ง

เพียงแต่ 2 ข้อนี้สำหรับผมแล้ว มันยากเหลือเกิน เพราะความรัก ซึ่งเป็นเพียงคำนาม (noun)ในการสื่อสารของโลกนี้ แต่ความรัก ที่เราจะต้องมีให้พระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ และ มีให้เพื่อนบ้านร่วมโลกทุกคนเหมือนที่เรามีให้ตัวเองนั้น ต้องใช้เป็นคำกิริยา (verb)เท่านั้น!

ทางเดียวที่เราจะยำเกรงกฏ 2 ข้อของพระองค์ได้ก็คือต้องเปลี่ยนความคิดในใจเราว่าความรักไม่ใช่คำนาม แต่คือกริยา ซึ่งแปลว่าการกระทำ!

มันยากมากกว่าแค่พูดคำว่ารักเฉยๆมากเลย เพราะ…

“ความรักนั้นก็อดทนนานและมีใจปรานี ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในความอธรรม แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ความรักทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่เสมอ มีความหวังและความทรหดอดทนอยู่เสมอ”
1 โครินธ์ 13:4-7 THSV11
https://bible.com/bible/174/1co.13.4-7.THSV11

จนวันนี้ผมยังท่องได้ไม่เป๊ะเลย แล้วจะเปลี่ยนเป็นกิริยาให้เป๊ะได้อย่างไร?

รักพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจก็ยากมากๆแล้ว เพราะผมมักจะรักตัวเองก่อนเสมอ เจออะไรอยากทำอะไรหรืออยากได้อะไรก็มักจะตัดสินใจไปเลยตามความอยากได้ของตนเอง แล้วค่อยมานึกถึงปรึกษาพระเจ้าอย่างพอเป็นพิธีตามหลังทุกครั้งไปสิน่า

ส่วนตัวแล้วผมเข้าใจว่าการรักพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจนั้นมีความหมายว่า เมื่อเรารักใครแบบสุดๆเราจะคิดถึงความรู้สึกของเขาเป็นอันดับแรกเสมอ ซึ่งที่ผ่านมาตลอดชีวิต ผมมักจะคิดถึงความรู้สึกของพระเจ้าเป็นอันดับท้ายโดยเฉพาะเวลาตัดสินใจอะไรพลาดๆแล้วหาทางแก้ไม่ได้ จึงค่อยนำมาปรึกษาและอธิษฐานขอความช่วยเหลือ

ในส่วนของการรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองนั้น สำหรับผมยิ่งยากเข้าไปใหญ่เลย พอโดนคนนั้นคนนี้ทำให้เราไม่สบายใจหน่อยก็เอาแล้ว นอกจากไม่รักแล้วยังไปโกรธเขาเสียอีก

แต่ข่าวดีก็คือพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า

“ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา จงทูลขอจากพระเจ้าผู้ประทานด้วยพระทัยกว้างขวางแก่คนทั้งปวงโดยไม่ตำหนิ แล้วผู้นั้นจะได้รับ”
ยากอบ 1:5 TNCV
https://bible.com/bible/179/jas.1.5.TNCV

ดังนั้นถึงแม้ผมทำด้วยตัวเองไม่ไหว พระเจ้าก็ยังเปิด option ให้ผมสามารถทูลขอสติปัญญาจากพระองค์ เพื่อให้มองเห็นมุมมองเดียวกับพระองค์เพื่อที่ผมจะปฎิบัติกับความรักให้เป็นกิริยาได้จริงๆในสักวันด้วย

ทั้งที่สองข้อจะดูเหมือนง่ายเมื่ออ่านครั้งแรก แต่กลับทำยากมากด้วยกำลังของตัวเราเอง แต่พอมาได้อ่านข้อพระคำภีร์ยากอบ 1:5 แล้ว ผมกลับมามีหวังว่าจะต้องทำได้สักวันอย่างไม่น่าเชื่อ

สรรเสริญพระเจ้าจริงๆ

 

6.สมัยก่อนผมเป็นประเภทที่ว่าอ่านแล้วก็เช็คถูก คืออ่านจบก็คือได้ทำหน้าที่วันนี้เสร็จแล้ว แต่หลังจากได้มีโอกาสพูดคุยรับฟังความเห็นจากอาจารย์และพี่น้อง ทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจว่าน่าที่จะนำมาใคร่ครวญขบคิดและบันทึกไว้เพื่อกลับมาอ่านได้วันหลัง จึงขอเริ่มลองทำดูไปพร้อมๆกับแบ่งปันให้พี่น้องเลยนะครับ

เมื่อเช้านี้ผมอ่านบทนี้ครับ

“อวสานของสิ่งทั้งปวงใกล้จะมาถึงแล้ว เพราะฉะนั้นจงมีสติสัมปชัญญะและรู้จักบังคับตนเพื่อท่านจะสามารถอธิษฐานได้ เหนือสิ่งอื่นใดจงรักกันอย่างลึกซึ้ง เพราะความรักลบความผิดบาปมากมายได้โดยการให้อภัย จงต้อนรับเลี้ยงดูกันโดยไม่บ่นว่า แต่ละคนควรรับใช้ผู้อื่นตามของประทานที่ได้รับมา บริหารของประทานแห่งพระคุณของพระเจ้าในรูปแบบต่างๆ ที่ได้รับมาอย่างสัตย์ซื่อ ถ้าผู้ใดจะพูดก็ควรพูดประหนึ่งเป็นผู้กล่าวพระดำรัสของพระเจ้า ถ้าผู้ใดจะรับใช้ก็ควรทำตามกำลังที่พระเจ้าประทาน เพื่อว่าในทุกสิ่งพระเจ้าจะได้รับการสรรเสริญโดยทางพระเยซูคริสต์ ขอพระเกียรติสิริและเดชานุภาพมีแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน”
1เปโตร 4:7-11 TNCV
https://bible.com/bible/179/1pe.4.7-11.TNCV

พออ่านข้างบนนี้จบ ผมสะเทือนใจพอสมควรและตระหนักมากๆเลยว่าที่ผ่านมาผมมักใช้อารมณ์เป็นตัวชี้นำว่า รัก, ให้อภัย, อดทนไม่บ่น, และซื่อสัตย์ (ใช่ครับรวมทั้งซื่อสัตย์ด้วย บางครั้งเรื่องเล็กน้อย ด้วยอารมณ์ที่อยากไปถึงจุดหมายเร็วขึ้น บางครั้งผมก็ยอมทำผิดกฏอย่างไม่ซื่อสัตย์เช่นกัน)

ซึ่งถ้าตามพระคัมภีร์แล้ว พระคัมภีร์สอนให้เราใช้สติ ไม่ใช่ใช้อารมณ์ กับเรื่องของความรัก การให้อภัย และอื่นๆ เพื่อที่จะดำเนินชีวิตเพื่อให้พระเจ้าใด้รับการสรรเสริญ

ตรงนี้ผมคิดว่าจ๊าบมาก เพราะผมทั้งสติและสมาธิสั้นและหลุดบ่อยๆ ยังผลให้อารมณ์มาควบคุมการดำเนินชีวิตประจำวันเสมอๆ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็ต้องมีอะไรที่ไม่ได้เรื่องตามมาเป็นผลพลอยได้

คราวนี้ผมก็เลยไปเปิดว่า ถ้าจะรักพระเจ้าจะให้รักแบบไหน ซึ่งก็แน่นอนว่าผมจำได้แค่บทนี้ก็คือ

“ความรักย่อมอดทนนาน ความรักคือความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิด ความรักไม่ปีติยินดีในความชั่ว แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ ไว้วางใจเสมอ มีความหวังอยู่เสมอและอดทนบากบั่นอยู่เสมอ”
1โครินธ์ 13:4-7 TNCV
https://bible.com/bible/179/1co.13.4-7.TNCV

ซึ่งถ้าจะทำตามข้อพระคัมภีร์ที่ผมอ่านเมื่อเช้า ผมจะต้องใช้สติอย่างมากไม่ให้หลุด แต่ก็ได้อธิษฐานขอพระเจ้าว่า ผมจะทำตามนี้ได้อย่างไรครับ ในใจก็มีคำพูดตอบมาว่า “ไปท่องให้ได้ก่อนแล้วค่อยปฏิบัติตามนั้น” ผมเลยรีบขอบคุณพระเจ้า และคิดว่าจะตั้งใจท่องข้อนี้ให้คล่องเพื่อจะได้เป็นไปตามพระคัมภีร์ข้อนี้ ที่จู่ๆก็โผล่ขึ้นมาในใจ

“ด้วยเหตุนี้ท่านจงพยายามทุกวิถีทางที่จะเพิ่มความดีเข้ากับความเชื่อ เพิ่มความรู้เข้ากับความดี เพิ่มการบังคับตนเข้ากับความรู้ เพิ่มความอดทนบากบั่นเข้ากับการบังคับตน เพิ่มการดำเนินในทางพระเจ้าเข้ากับความอดทนบากบั่น เพิ่มความรักฉันพี่น้องเข้ากับการดำเนินในทางพระเจ้า และเพิ่มความรักเข้ากับความรักฉันพี่น้อง เพราะถ้าท่านมีคุณสมบัติเหล่านี้มากยิ่งๆ ขึ้นก็จะทำให้ท่านมีประสิทธิภาพและเกิดผลในการรู้จักองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”
2เปโตร 1:5-8 TNCV
https://bible.com/bible/179/2pe.1.5-8.TNCV

ผมเลยลอง apply ดู จะได้ความประมาณนี้ฮะ คือพอ
ท่องข้อพระคัมภีร์ได้แล้วก็จะเกิดความเชื่อ พอเชื่อแล้วก็จะเกิดความดี พอเกิดความดีแล้วก็จะเกิดความรู้ พอมีความรู้แล้วก็จะเกิดการบังคับตน พอเกิดการบังคับตนแล้วก็จะเกิดความอดทนบากบั่น พอเกิดความอดทนบากบั่นแล้วก็จะเข้าสู่การดำเนินในทางพระเจ้า เพราะเข้าสู่การดำเนินในทางพระเจ้าแล้วก็จะเกิดความรัก แล้วเราก็จะรู้จักที่จะรักพี่น้องเพื่อนบ้าน!

โอ้โห กาลิเลโอมากครับ

สุดยอดจริงๆนะฮะพระเจ้าของพวกเราบอกเป็นขั้นตอนแบบนี้คนสมาธิสั้นแบบผมรู้สึกมีหวังที่จะค่อยๆไต่ทีละขั้นขึ้นมาเลย
สรรเสริญพระเจ้าจริงๆ

คราวนี้เมื่อผมฝึกฝนจากข้อข้างบนได้แล้วผมก็จะไปไตร่ตรองว่าผมมีของประทานอะไรบ้างเพื่อจะได้ไปทำงานของพระเจ้าและจะได้ให้งานนั้นเป็นการถวายเกียรติแด่พระองค์ครับ แสดงว่าต่อให้สมาธิสั้นแค่ไหนพระเจ้าก็มีขั้นตอนให้เราค่อยๆพัฒนาตนเองไปตามเวลาของพระองค์ได้เสมอ

 

7. “เราว่ากล่าวและตีสอนผู้ที่เรารัก ดังนั้นจงกระตือรือร้นและกลับใจใหม่ เราอยู่ที่นี่แล้ว! เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปรับประทานอาหารกับผู้นั้นและเขาจะรับประทานร่วมกับเรา”
วิวรณ์ 3:19-20 TNCV
https://bible.com/bible/179/rev.3.19-20.TNCV

ผมได้อ่านพระคัมภีร์ข้อนี้ เมื่อกลับมาคิดทบทวนไปมาก็พบว่าการที่เราโดนว่ากล่าวหรือตีสอนจากพระเจ้านั้นจะตามมาด้วยการได้มีโอกาสรับประทานอาหารร่วมกันกับพระคริสต์เลยทีเดียว เพียงเราต้องกระตือรือล้นที่จะกลับใจใหม่จากการทำผิดบาปนั้นๆ

นั่นคงหมายถึงเมื่อเวลาเราถูกตีสอน หรือเกิดเหตุการณ์ร้ายๆขึ้นกับชีวิตเรา หลังจากเราสำนึกบาปและกลับใจแล้ว เราก็เตรียมพร้อมที่จะได้ฟังเสียงเคาะประตูใจของเราจากพระเยซูคริสต์ได้เลย และถ้าเราเปิดรับ พระองค์ก็จะเข้ามาร่วมรับประทานอาหารในหัวใจของพวกเรา

แต่กุญแจสำคัญคือการกลับใจใหม่อย่างกระตือรือร้น ผมเลยลองไปเปิด Youversion App และพบว่า มีบทใคร่ครวญประจำวัน ที่เกี่ยวกับเรื่องการกลับใจ ที่มีตอนหนึ่งได้บรรยายถึง King David ผู้เป็น a Man after God’s own heart กำลังกลับใจจากการทำผิดเรื่องนางบัทชีบา

“ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์ ตามความรักมั่นคงของพระองค์ ขอทรงลบล้างการล่วงละเมิดทั้งสิ้นของข้าพระองค์ ตามพระกรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ขอทรงล้างมลทินทั้งสิ้นของข้าพระองค์ และชำระข้าพระองค์จากบาปของข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์รู้ถึงการล่วงละเมิดของตนแล้ว

และบาปของข้าพระองค์อยู่ตรงหน้าข้าพระองค์เสมอ ข้าพระองค์ได้ทำบาปต่อพระองค์ ต่อพระองค์ผู้เดียว และได้ทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงเป็นฝ่ายถูกเมื่อทรงตัดสิน และทรงชอบธรรมเมื่อทรงพิพากษา

แน่ทีเดียว ข้าพระองค์ก็บาปมาตั้งแต่เกิด บาปตั้งแต่วินาทีที่มารดาได้ตั้งครรภ์ข้าพระองค์ แน่ทีเดียว พระองค์ทรงประสงค์ความจริงภายใน พระองค์ทรงสอนข้าพระองค์ถึงปัญญาในส่วนลึกที่สุด ขอทรงชำระข้าพระองค์ด้วยกิ่งหุสบเพื่อข้าพระองค์จะสะอาด

ขอทรงล้างข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะขาวยิ่งกว่าหิมะ ขอโปรดให้ข้าพระองค์ได้ยินเสียงแห่งความชื่นชมยินดีและความเปรมปรีดิ์ ขอโปรดให้กระดูกที่พระองค์หักทำลายแล้วนั้นปีติยินดี ขอทรงซ่อนพระพักตร์จากบาปทั้งหลายของข้าพระองค์ ขอทรงลบล้างความผิดทั้งสิ้นของข้าพระองค์

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสร้างจิตใจที่บริสุทธิ์ในข้าพระองค์ และทรงฟื้นจิตวิญญาณอันมั่นคงขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์ ขออย่าทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ไปจากเบื้องพระพักตร์ หรืออย่าทรงนำพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ไปจากข้าพระองค์

ขอทรงคืนความปีติยินดีในความรอดแก่ข้าพระองค์ และขอประทานจิตใจที่เชื่อฟังเพื่อค้ำชูข้าพระองค์ แล้วข้าพระองค์จะสอนทางของพระองค์แก่ผู้ล่วงละเมิดอื่นๆ และคนบาปจะหันกลับมาหาพระองค์

ข้าแต่พระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด ขอโปรดช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากความผิดที่ทำให้เขาโลหิตตก แล้วลิ้นของข้าพระองค์จะร้องสรรเสริญความชอบธรรมของพระองค์

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ และปากของข้าพระองค์จะสรรเสริญเทิดทูนพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงปีติยินดีในเครื่องบูชา มิฉะนั้นข้าพระองค์คงจะได้นำมาถวาย พระองค์ไม่ได้พอพระทัยในเครื่องเผาบูชา

เครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงรับ คือจิตวิญญาณที่ชอกช้ำ ข้าแต่พระเจ้า ใจที่ชอกช้ำและสำนึกผิดนั้น พระองค์จะไม่ทรงดูหมิ่น ขอทรงกระทำให้ศิโยนรุ่งเรืองตามชอบพระทัย ขอทรงสร้างกำแพงของเยรูซาเล็ม

แล้วพระองค์จะปีติยินดีในเครื่องบูชาที่ชอบธรรม ในเครื่องเผาบูชาอันครบถ้วน แล้วจะมีการถวายวัวผู้บนแท่นบูชาของพระองค์”
สดุดี 51:1-19 TNCV
https://bible.com/bible/179/psa.51.1-19.TNCV

ไม่ง่ายเลยใช่ไหมครับการกลับใจใหม่นี่ ไม่ใช่แค่นึกว่าจะกลับใจแล้วก็กลับใจได้เลยเท่าที่อ่านจากบทใคร่ครวญประจำวันนี้เขาได้จำแนกเป็นขั้นตอนไว้หลายขั้นเหมือนกัน

1 คือ ยอมรับความบาปของเรา
2 คือ ขอการทรงอภัย
3 คือ ขอพระเจ้าทรงฟื้นน้ำใจของเราขึ้นใหม่
4 คือ ขอให้พระเจ้าทรงช่วยเราที่จะใช้ความบาปของเรา ในการสอนผู้อื่นที่เกี่ยวข้องในความบาปแบบเดียวกันและต้องการการกลับใจใหม่

ผมก็คิดหลายตลบว่า เอ๊ะเราอยากจะโดนตีสอนหรือไม่โดนดี? เพราะถ้าไม่โดนตีสอน มันก็สบายดีกว่าไหม แต่ถ้าโดนตีสอน เราจะได้รับประทานอาหารกับพระเยซูเลยเชียวนะ แต่ถ้าเลือกได้ผมว่า ดีที่สุดคืออย่าไปทำให้พระเจ้าต้องเสียพระทัยกับเราเลย

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง