นี่ไม่ใช่ ปัญหาของคริสตจักร
เพราะปัญหาที่แท้จริง คือ ปัญหาของคน
และหากมองลึกลงไปอีก คุณจะพบว่า ที่จริงแล้ว มันไม่ใช่ปัญหาของคน แต่เป็น ปัญหาของใจ
และเมื่อสำรวจลึกลงไปที่ปัญหาของใจ คุณจะพบปัญหาที่แท้จริงคือ ปัญหาของการยอมเชื่อฟัง
นั่นเป็นเรื่องปกติทั่วไปของจิตใจใช่ไหมล่ะ? เรื่องหลักที่เป็นปัญหาของใจ คือ ปัญหาของการเชื่อฟัง
เมื่อไรที่คุณต้องจัดการกับปัญหาการเชื่อฟัง นั่นคือคุณกำลังจัดการกับ ปัญหาความเชื่อ
อัครทูตเปาโล กล่าวในพระธรรมโรมว่า ให้ร่วมกันในความเชื่อและการเชื่อฟัง และเปาโลเรียกสิ่งนี้ว่า “การเชื่อฟังที่เกิดจากความเชื่อ” (โรม 1:5)
และเมื่อมองลึกลงไปในปัญหาของความเชื่อ คุณจะพบว่ามันคือ ปัญหาของความเติบโตฝ่ายวิญญาณ
และเมื่อพิจารณาถึงปัญหาความเติบโตฝ่ายวิญญาณ คุณจะพบว่า มันเกิดจาก ปัญหาของการเป็นสาวก
และนี่คือประเด็นสำคัญ : ต้นตอปัญหาของการเป็นสาวก คือ ปัญหาเรื่องความเป็นผู้นำ
นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมความเป็นผู้นำ จึงสำคัญต่อการดำรงอยู่ของคริสตจักร ก็เพราะมันจำเป็นอย่างยิ่งต่อความเชื่อที่เข้มแข็งและการอยู่รอดของคริสตจักร
ทุกสิ่งจะดำรงอยู่ หรือ ล่มสลาย ล้วนขึ้นอยู่กับความเป็นผู้นำ
—————————-
ไม่นานมานี้ ผมได้ถามตัวเองว่า ถ้าผมตัดทอนทุกอย่างให้เหลือเท่าที่จำเป็นจริงๆ แล้วจะเหลืออะไรบ้างสำหรับการเป็นผู้นำ นอกเหนือจากเรื่องที่เป็นรากฐานฝ่ายวิญญาณ เช่น พระวจนะ, การอธิษฐาน, พระวิญญาณบริสุทธิ์ และชีวิตฝ่ายวิญญาณแล้ว?
แง่มุมที่ผมพบว่าสำคัญ มี 5 ประการ ดังนี้
1. กำหนดขอบเขต (Determine the battle line)
ความสามารถในการเป็นผู้นำขึ้นอยู่กับทีม
มี 3 สิ่งที่ผมจะพูดถึงเกี่ยวกับขอบเขตในการต่อสู้
- จงอย่าสู้ – Don’t fight
- คุณต้องสู้ – You must fight
- อย่าเพียงแค่สู้ – Don’t just fight
สิ่งแรก: จงอย่าสู้ เพราะไม่ใช่ทุกศึกที่ควรแก่การต่อสู้ จงเลือกว่าภูเขาลูกใดที่คุณจำเป็นต้องสู้ตาย ไม่ถอย
สอง : มีบางศึกที่คุณต้องสู้ คุณต้องต่อสู้เพื่อความจริง คุณต้องต่อสู้เพื่อปกป้องค่านิยมหลัก
ในคริสตจักรของผม ผมเป็นผู้นำที่สุภาพและพูดจานุ่มนวล แต่ก็มีบางเรื่องที่ผมที่ไม่สามารถยอมผ่อนปรนให้ได้ มีภาษิตแมนดาริน ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า “หากคุณล้ำเส้น ผมจะเป็นคนต่อสู้กับคุณเอง” และทีมงานผมสามารถเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังได้ดี
ทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะมีบางเรื่อง ที่ผู้นำต้องมีความกล้าหาญและชัดเจนที่จะยืนหยัดต่อสู้
สิ่งที่สามที่ผมต้องการจะบอกคุณเกี่ยวกับการต่อสู้ : อย่าเพียงแค่สู้ จงสร้างทีม เพราะหากคุณทุ่มเทกับการสร้างทีม คุณจะต่อสู้น้อยลง และน้อยลงเรื่อยๆ
และเมื่อศึกมาถึง คุณจะไม่ต่อสู้เพียงลำพัง คุณต้องมีทีมที่มี DNA เหมือนกับคุณ
จงมุ่งมั่นกับการสร้างทีม เพราะ ความสามารถในการเป็นผู้นำขึ้นอยู่กับทีม
2. ตรวจสอบรอยร้าว (Examine the fault lines)
หัวใจของความเป็นผู้นำ คือ ความไว้วางใจ ผมไม่ได้หมายถึง พวกศิษยาภิบาลมือใหม่ หรือศิษยาภิบาลซึ่งอยู่ในคริสตจักรที่มีปัญหา ผู้นำเหล่านั้นเขาต้องรับมือกับความไม่ไว้วางใจอยู่แล้ว แต่ผมกำลังพูดถึงศิษยาภิบาลอาวุโส ผู้มากด้วยประสบการณ์ ในคริสตจักรขนาดใหญ่ (megachurches)
มีศิษยาภิบาลอาวุโสท่านหนึ่งซึ่งมีสมาชิกเข้มแข็งกว่า 6,000 คน แต่กลับไม่ใส่ใจในการสร้างความไว้วางใจในฐานะผู้นำ สุดท้ายจึงเกิดวิกฤติผู้นำที่สั่นคลอนจนเขาถูกโหวตให้ออกจากตำแหน่ง
และนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เกิดขึ้น ผมพบเห็นเหตุการณ์แบบเดียวกัน เกิดขึ้นในประเทศอื่น เมืองอื่น มันเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า – เหตุการณ์ที่ศิษยาภิบาลสูญเสียงานรับใช้เพราะพวกเขาล้มเหลวในการสร้างความไว้วางใจ
ผมอยากให้มุมมองภาคปฏิบัติในเรื่องนี้สักเล็กน้อย มีหลายวิธีในการสร้างความไว้วางใจ แต่หนึ่งในวิธีที่ผมใช้กับทีมบริหารของคริสตจักร Covenant Evangelical Free Church คือ จัดประชุมอธิษฐาน 6 โมงเช้าทุกวันเสาร์ นอกเหนือจากประชุมอธิษฐานประจำเดือน เพราะอธิษฐานร่วมกัน จึงอยู่ฝ่ายเดียวกัน
ดังนั้น นอกจากประชุมทีมบริหารที่เราได้หารือ แลกเปลี่ยนความเห็น และโต้แย้งกันในบางครั้ง การประชุมอธิษฐานวันเสาร์ เป็นที่ที่ได้นำใจพวกเรามาร่วมกันในการทรงสถิตของพระเจ้า
การอธิษฐานร่วมกันสร้าง ความเห็นพ้องต้องกัน (resonance) ด้วย ไม่เพียงแต่ ตกปากรับคำเฉยๆ (agreement) ในฐานะผู้นำ ผมเรียนรู้ว่ามันแตกต่างอย่างมากระหว่างผู้นำที่เห็นพ้องต้องกัน กับผู้นำที่มีข้อตกลงร่วมกัน
และการเป็นผู้นำ เราจำเป็นต้องสร้างบรรยากาศความเห็นพ้องต้องกัน
3. จดจ่อที่ผลปลายทาง (Focus on the bottom line)
จงมุ่งไปที่ผลปลายทาง เพราะเรื่องสำคัญของการเป็นผู้นำ คือ อนาคต
ผลปลายทางที่พูดถึง ไม่ใช่เพียงแค่กำไร ขนาดองค์กร หรือการเติบโต แต่คือ อนาคต
พื้นฐานของความเป็นผู้นำ คือ อนาคต ผู้นำใช้ชีวิตอยู่กับอนาคตและนึกถึงภาพอนาคต นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมในความเป็นผู้นำ พวกเขาเปรียบเสมือนผู้สร้างความหวัง เมื่อผู้นำสูญสิ้นความหวัง เขาก็สูญเสียความเป็นผู้นำ
ความเป็นผู้นำ ต้องตั้งอยู่โดยมีพระสัญญา การทรงสถิต และ ลิขิตแห่งสวรรค์ เป็นศูนย์กลาง
จงเพิ่มพูนความหวัง และอย่าสูญสิ้นความหวัง เพราะพระเจ้ากำลังทำกิจแห่งอนาคตที่ทรงเรียกให้เราเดินไป เราจึงไม่ได้เพียงเล็งเป้าหรือคาดหวังถึงอนาคต แต่ผู้นำของพระเจ้าต้องสร้างความหวังผ่านทางความเชื่อ
นั่นเป็นผลเหตุว่าทำไมภาคปฏิบัติของการรับใช้ การเน้นย้ำกับคนรุ่นที่สาม จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ หลักการก็คือ “บทพิสูจน์ความเป็นผู้นำ จะไม่ได้พบในคนรุ่นที่สอง แต่บทพิสูจน์นี้จะพบได้ในคนรุ่นที่สาม”
อีกแง่หนึ่ง ผู้นำควรตั้งเป้าไม่เพียงแต่จะทำงานให้สำเร็จลุล่วงเท่านั้น แต่ต้องตั้งเป้าเพื่อความยั่งยืนด้วย
ผมรู้จักคริสตจักรขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนีย ที่สมาชิกค่อยๆ ลดจำนวนลงจาก 1200 คน เหลือเพียง 280 คน ภายหลังจากที่ศิษยาภิบาลอาวุโสได้ออกไปรับใช้ในงานด้านอื่น ส่วนในชิคาโก มีคริสตจักรอีกแห่ง สมาชิกราวๆ 1,600-1,700 คน ต่อมาศิษยาภิบาลอาวุโสลาออก และคริสตจักรก็ลดลงเหลือเพียง 680 คน สมาชิกหายไปเกือบ 1,000 คน
หากทุกอย่างในคริสตจักรดูราบรื่นตราบเท่าที่ศิษยาภิบาลอาวุโสยังอยู่ ผมขอเรียกพวกเขาว่า คริสเตียรอยด์ (Christianity-on-steroids) แทน เพราะต้องคอยถูกกระตุ้นตลอด ไม่สามารถยืนด้วยตัวเองได้
ผู้นำที่แท้จริง จะตั้งเป้าเรื่องความยั่งยืนสำหรับอนาคต นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมอนาคตจึงมีความสำคัญเกี่ยวข้องกับการเป็นผู้นำ
4. จัดการความติดขัดในระบบ (Tackle the pipeline)
ท่อที่ขับเคลื่อนความเป็นผู้นำ คือ การเสริมสร้าง
สายท่อ (pipeline) คือ ระบบและโครงสร้าง ที่ช่วยเสริมสร้างทีมงานและคริสตจักรให้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน
หากปราศจากระบบหรือโครงสร้าง คุณก็เหมือนรถเฟอร์รารี่ที่ติดอยู่บนจราจรแออัด
คำเตือนสำหรับเรื่องระบบและโครงสร้าง คือ มันจำเป็นและมีประโยชน์ แต่ก็ต้องระมัดระวังที่จะไม่ควบคุมมันมากเกินไป จนกลายเป็นระบอบเผด็จการ
น่าเสียดายที่บ่อยครั้ง คริสตจักร มักเน้นเรื่องการจัดการมากเกินไปจนละเลยเรื่องการนำ เราไม่ได้พูดถึงแค่เรื่องบริหารจัดการ ซึ่งก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่เรากำลังพูดถึงเรื่องความเป็นผู้นำ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ เราจึงต้องระมัดระวังที่จะไม่ใช้ความเป็นผู้นำมาจัดการและควบคุมมากจนเกินไป
ทำไมน่ะหรือ?
ผมขออธิบายสั้นๆ … เมื่อองค์กรเติบโต มันเพิ่มความซับซ้อนขึ้นด้วย และวิธีที่ผู้นำใช้จัดการกับความซับซ้อน คือ การควบคุม แต่สิ่งที่อันตราย คือ การควบคุมที่มากจนเกินไป หรือ โอนอ่อนผ่อนตามมากเกินไป จนมันทำลายล้างความคิดสร้างสรรค์และการเสริมสร้าง
ใช่ การไปในทิศทางเดียวกันเป็นสิ่งสำคัญ แต่อันตรายของมันคือ การที่เราทุกคนทำสิ่งต่างๆ เหมือนๆ กัน จนเราลืมคิด ไม่ใช่แค่ว่าเรากำลังทำอะไร หรือคืบหน้ายังไง? แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือทำไมเราจึงทำสิ่งที่เราทำอยู่?
และผู้นำให้ความสำคัญกับการตั้งคำถามว่า “ทำไม”
5. รักษามาตรฐาน (Honour the plumb line)
นี่เป็นส่วนที่สำคัญสุด คุณต้องตระหนักว่าความท้าทายของการเป็นผู้นำ คือ การเปลี่ยนแปลงชีวิต
เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเราในฐานะผู้นำ การเปลี่ยนแปลงคริสตจักร เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม เปลี่ยนแปลงประเทศชาติ นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง คือ ส่วนที่เห็นด้วยตา
แต่ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นนิรันดร์และเกี่ยวพันในแง่ศาสนศาสตร์ ซึ่งเราในฐานะผู้นำ ต้องเข้าใจอย่างแท้จริง นั่นคือในที่สุด ความเป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณเป็นเรื่องเกี่ยวกับ การเป็นเหมือนพระคริสต์ เป็นดั่งพระฉายของพระบุตร
สายดิ่ง (plumb line) จึงเป็นเหมือนมาตรฐานอันแท้จริงที่จะวัดความเป็นผู้นำในฝ่ายวิญญาณ ซึ่งแตกต่างจากความเป็นผู้นำในฝ่ายโลก นั่นคือ การเปลี่ยนให้คริสตจักรเป็นเหมือนพระคริสต์ (*สายดิ่ง คือ เชือกที่ปลายด้านหนึ่งผูกติดกับลูกดิ่งสำหรับใช้วัดความลึกของน้ำ ตรวจสอบเสาหรือกำแพงเป็นต้นว่าตั้งตรงหรือไม่)
ในอีกแง่หนึ่ง ผมขอยอมรับอย่างถ่อมใจว่า ความเป็นผู้นำ ก็คือ การเติบโตเป็นเหมือนพระคริสต์ ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับพระเยซู ไม่เกี่ยวกับขนาดองค์กร, ประสิทธิผลขององค์กร หรือสิ่งอื่นๆ ที่น่าตื่นเต้น
————————-
บทสรุปของผมคือ เมื่อคุณได้ใคร่ครวญอย่างรอบคอบถึงองค์ประกอบสำคัญของความเป็นผู้นำ ผ่านแง่มุมทั้ง 5 ประการ ผมอยากให้คุณตระหนักว่า การเป็นผู้นำนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และเราต้องการพระคุณพระเจ้า
ขอพระเจ้าทรงโปรดช่วยเราให้เติบโตในความเป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณ
** บทความนี้อ้างอิงจาก คำแบ่งปันของ ศจ.เอ็ดมันด์ ชาน ในสัมมนา LoveSingapore Summit ปี 2019
บทความ: What are the makings of a good leader? Here are Reverend Edmund Chan’s five essentials
แปล: Mix
ภาพ: Alyona Grishina on Unsplash
ออกแบบ: Nan Tharinee
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น