เด็กผู้หญิงวัยรุ่นมักจะตกเป็นเหยื่อ 5 คำหลอกลวงที่กำลังกล่าวถึงในบทความนี้ คำโกหกพวกนี้ทำให้พวกเค้าเริ่มสงสัยในคุณค่าของตัวเอง ในบทความนี้ เจสซี่ มินาสเซียน ได้ให้เคล็ดลับเพื่อช่วยคุณรู้ทันคำหลอกลวงเหล่านี้ เพื่อที่คุณจะได้สู้กับมันด้วยความจริงและสอนลูกสาวคุณให้ทำอย่างเดียวกัน
ฉันพบกับสเตซี (นามสมมติ) ตอนเธออายุ 16 ปี เธอต้องการที่จะคุยกับใครซักคนเพราะตอนนั้นเธออยู่ในภาวะที่กำลังคิดสั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเธอต้องการความหวังมากกว่าความตาย เราค่อยๆ ลอกอารมณ์สิ้นหวังของเธอออกทีละชั้น ความจริง (ซึ่งก็คือคำหลอกลวงนั่นเอง) ก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา
เป็นที่รู้กันว่าความเชื่อต่างๆ ของเราไม่ว่าจะในพระเจ้า ตัวตนของเราเอง และโลกใบนี้ย่อมมีผลกระทบกับเรามากกว่าที่คาดคิดไว้เสียอีก นับประสาอะไรสำหรับเด็กสาวที่กระบวนความคิดยังไม่พัฒนามากนัก… หากเค้าลองได้เชื่อคำหลอกลวงแล้ว ก็จะถลำลึกสู่ชีวิตที่มืดมนหรือไม่ก็ไขว่ขว้าทุกสิ่งเว้นแต่พระเจ้า
สเตซี่ตกเป็นเหยื่อของห้าคำหลอกลวงที่เด็กสาวหลายๆ คนก็หลงเชื่อมัน ซึ่งหากคุณซึ่งเป็นพ่อแม่รู้ทันคำหลอกลวง คุณก็จะสามารถช่วยชี้แนะให้ลูกของคุณรู้เท่าทันได้ และที่สำคัญไปกว่านั้นคุณเองต้องรู้ถึง “ความจริง” ซึ่งจะช่วยปกป้องลูกคุณและทำให้เค้าฝ่าฟันมันไปได้
คำหลอกลวงที่ 1: ความรู้สึกของฉันบ่งบอกว่าฉันเป็นคนอย่างไร
ความรู้สึกของสาววัยรุ่นเปรียบได้กับคลื่นที่ก่อตัวใหญ่ขึ้นแล้วก็ซัดโครมลง มันเป็นคลื่นที่ไม่ได้เป็นผลจากอิทธิพลของดวงจันทร์ แต่เกิดจากอิทธิผลของฮอร์โมน เพื่อนในวัยเดียวกัน สื่อต่างๆ และแรงกดดันในการก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ คุณและฉันต่างเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี…แต่เด็กวัยรุ่นนั้นจะยังไม่เข้าใจ
ถ้าเด็กสาวคนนึงมองว่าความรู้สึกของเธอเป็นความจริงอันสูงสุด เธอก็จะถือว่าอะไรก็ตามที่เธอรู้สึกนั้นถูกต้องและเป็นความจริง ทุกการตัดใจสินก็จะเป็นไปตามความรู้สึก “สุข” ของตัวเอง เพราะความสุขทำให้เธอรู้สึกดี แล้วเด็กสาวคนนี้จะมองว่าใครก็ตามที่สงสัยความรู้สึกที่เป็น “ความจริง” ของเธอ ย่อมเป็นศัตรูกับมุมมองอันถูกต้องของเธอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัตถุประสงค์ของชีวิต เรื่องเสรีภาพ เพศสภาพ หรือแม้แต่เรื่องความสัมพันธ์ของเธอ
“ยาต้าน” คำหลอกลวงก็คือการที่เราจดจำความจริงที่พระเจ้าได้กล่าวไว้ (ยอห์น 14:6) และการที่เราเข้าใจว่าทุกความรู้สึกของเราเป็นผลมาจากวิธีคิดของเรา ดังนั้นการที่คุณจะตั้งคำถามกับลูก เช่น “มันเป็นไปได้ไหมนะที่เราจะใช้ความรู้สึกตัดสินว่าอะไรคือความจริงในสิ่งที่เราสองคนเห็นต่างกัน” ก็จะช่วยให้เค้าเห็นถึงความไม่เป็นเหตุเป็นผลของการใช้ความรู้สึกนำชีวิต
ลองนึกย้อนดูจากประสบการณ์ที่ตัวคุณเองได้ละเลยความจริงของพระเจ้าดูสิ กี่ครั้งที่ความคิดของคุณชี้นำความรู้สึก เช่น บางทีคุณอาจเคยพูดว่า “เวลาเห็นบ้านรกฉันรู้สึกขุ่นมัวแล้วก็หัวเสียจังเลย” หรืออาจลองนับว่ากี่ครั้งแล้วที่ความรู้สึกคุณเปลี่ยนเมื่อคุณเอาชนะคำลวงต่างๆ ได้ เช่น “ฉันเคยคิดนะว่าคุณค่าของฉันในทีมขึ้นอยู่กับแต้มที่ทำได้ในการแข่งขัน แล้วมันก็ทำให้ฉันรู้สึกต่ำตมทุกครั้งหลังจบเกม แต่พอคิดได้ว่าความสามารถของฉันไม่ได้เป็นตัวกำหนดว่าตัวตนที่แท้ของฉันเป็นอย่างไร ฉันก็เริ่มมั่นใจมากขึ้นในสนามแข่ง”
คำหลอกลวงที่ 2: พระเจ้าคงไม่อภัยในสิ่งที่ฉันเคยทำหรอก
นี่เป็นเรื่องที่สาวๆ หลายคนคิด… แม้จะเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้าแล้วก็ตาม… พวกเธอติดกับอยู่ในความผิดบาปลับๆ ที่เคยทำ เช่น การแอบทำร้ายตัวเอง นิสัยการกินที่ผิดปกติ ความผิดบาปทางเพศ หรือการเสพติดต่างๆ ซาตานมักพยายามทำให้ลูกของเราเชื่อว่าสิ่งที่เค้าได้ทำลงไปนั้นมันยากเกินกว่าที่พระเจ้าจะให้อภัยได้ และเพื่อนหรือครอบครัวของเค้าก็คงจะอับอายไปตลอดหากบาปลับๆ ที่เค้าซ่อนอยู่ถูกแพร่งพรายออกไป
และเพราะเด็กสาวๆ มักซ่อนความรู้สึกละอายได้แนบเนียน มันจึงจำเป็นที่คุณต้องเปิดอกพูดคุยกับลูกบ่อยๆ เพื่อให้สิ่งนี้เป็นยาต้านคำหลอกลวงสำหรับเค้า แม้ว่าคุณไม่ได้สงสัยว่าลูกกำลังปิดบังอะไรอยู่ก็ตาม แต่การพูดคุยบ่อยๆ ทำให้เค้าเห็นถึงพระคุณพระเจ้า ผ่านความบาปที่คนอื่นทำโดยไม่ตัดสิน และคุณก็สารภาพในบาปที่คุณเองก็เคยทำด้วยความถ่อมใจ
คนส่วนใหญ่มักจะปิดบังความบาปที่เคยทำและไม่อยากเปิดเผยให้ใครรู้ อย่างไรก็ตามการสารภาพบาปจะนำพาให้พระเจ้าเข้ามาเยียวยาจิตใจและคืนอิสรภาพให้เรา (ยอห์น 3:20-21) เพราะไม่มีบาปใดเลยที่พระเจ้าจะไม่อภัยให้ (1ยอห์น 1:9) ลูกคุณจึงมีแนวโน้มที่หันหาความช่วยเหลือจากพระเจ้าเมื่อเธอเชื่อว่าพระองค์จะให้อภัยและตัวคุณเองก็เชื่อในการอภัยบาปจากพระเจ้าเช่นกัน
คำโกหกที่ 3: ฉันสามารถทำทุกอย่างและเป็นทุกอย่างได้ (และทำได้ดีอย่างไร้ที่ติ)
เวลาฉันถามวัยรุ่นสาวๆ ว่าอะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดของการเป็นวัยรุ่น คำตอบที่มักจะได้รับก็คือ “ความกดดัน” ไม่ว่าจะเป็นความกดดันเรื่องผลการเรียน กีฬา เพื่อน แฟน วิทยาลัยที่จะเลือก หรือแม้แต่หนี้ทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่พวกเค้าจะต้องรับผิดชอบในอนาคต สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเธอรู้สึกเครียดมากจริงๆ
ลูกสาวของคุณมีพฤติกรรมเหล่านี้อยู่หรือเปล่า? เช่น วิตกกังวล มีอาการซึมเศร้า ยึดติดกับความสมบูรณ์แบบ คอยเช็ครูปตัวเองบนโลกออนไลน์บ่อยๆ หรือกลุ้มใจเมื่อไม่ได้เกรดตามที่คาดหวังไว้… ถ้าใช่! แปลว่าเธอกำลังจับจดอยู่กับคำหลอกลวงประเภทที่ 3 นี้ และสิ่งที่น่าสะพรึงที่สุดคือ คุณนั่นแหละที่อาจเป็นคนทำให้ลูกเชื่อคำลวงนี้!
ตัวคุณเองเคยยอมให้พระเจ้ามาเกี่ยวข้องในช่วงที่รู้สึกอ่อนแอหรือพบข้อบกพร่องของตัวเองบ้างหรือเปล่า (2 โครินธ์ 12:9) หรือคุณพยายามทำทุกอย่างให้ประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง? คุณได้ทำตัวให้เป็นตัวอย่างแก่ลูกในเรื่องการยอมจำนนต่อพระเจ้าบ้างหรือเปล่า? คุณเหน็บแนมลูกเวลาที่เค้ากังวลเรื่องเกรด แต่ตัวคุณเองกลับละเลยเวลาที่ควรให้ครอบครัวเพื่องานที่จำเป็นต้องส่งหรือเปล่า? หรือแม้แต่เคยปรามลูกไม่ให้ห่วงสวยมากเกินไป…ในขณะที่คุณเองก็ปรนเปรอทั้งเงินและเวลามหาศาลเพื่อความงามของตัวเองเช่นกัน?
เอาหล่ะ! ได้เวลาแล้วที่เราจะต้องเป็นตัวอย่างของ “ความจริง” ที่พระเจ้าได้กล่าวไว้ มันคือความจริงที่ว่าไม่มีใครในโลกนี้สมบูรณ์แบบเว้นแต่พระเจ้า เราควรจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกว่า การเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ คนนึงที่แสวงหาพระเจ้าไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นการให้พระเจ้าได้แสดงพระสิริในความขาดเหลือของเรา
คำหลอกลวงที่ 4: การมีแฟนช่วยเติมเต็มให้ฉัน
พระเจ้าคือความรัก แต่ความรักระหว่างมนุษย์ด้วยกันไม่ใช่พระเจ้า มันง่ายมากๆ ที่เราจะสับสนระหว่างสองสิ่งนี้ เป็นธรรมดาที่เด็กสาวคนนึงจะแสวงหาความสนใจจากเพศตรงข้ามเพราะเธอต้องการคำตอบให้กับคำถามตามสัญชาตญาณว่า “ฉันเป็นคนที่มีคุณค่าพอที่ใครจะต้องการไหม?”
แต่หากเธอมองแค่ว่าคุณค่าในตัวขึ้นอยู่กับว่ามีผู้ชายคนไหนต้องการคบเธอหรือเปล่า…คำโกหกนี้จะทำให้เธอได้พบแต่ผู้ชายที่ยังมีความเป็นเด็กและความโรแมนติกซึ่งไม่ได้นำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดี แย่ไปกว่านั้นคือมันเป็นความสัมพันธ์ที่พ่อแม่ก็ไม่ได้เห็นชอบด้วย
คุณในฐานะพ่อแม่จึงควรหาโอกาสช่วยให้ลูกได้เห็นว่าพระเจ้าเท่านั้นที่เติมเต็มจิตวิญาณของเธอ คุณค่าของตัวเธอไม่ได้ขึ้นอยู่กับการประเมินจากมนุษย์หรือความสุขของเธอเอง คุณพ่อทุกคนมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการยืนยันคุณค่า ความงาม ความน่ายกย่องของลูก บอกลูกคุณซ้ำๆ และทำให้เธอเห็นว่าตัวเธอนั้นมีคุณค่ามากแค่ไหน
คำหลอกลวงที่ 5: ฉันไม่สวยพอ
ผู้หญิงทุกคนมีคุณค่าเพราะเราถูกสร้างขึ้นมาตามพระฉายของพระเจ้า เนื่องด้วยพระเจ้าสร้างเอวาขึ้นให้เป็นคู่ที่น่ารักของอาดัม พวกเราจึงมีความงดงามจากภายในความเป็นผู้หญิงเช่นกัน ความงามนั้นปรากฏได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง ขนาด และสีผมหรือสีผิว น่าเสียดายที่เด็กสาวหลายคนกลับเชื่อตรงกันข้ามกับสิ่งที่กล่าวไป เลยทำให้พวกเค้าคิดว่าตัวเองไม่น่ารักพอ
มาถึงจุดนี้คุณอาจเห็นว่าคำหลอกลวงประเภทที่ 5 นี้เป็นเรื่องหยุมหยิมของเด็กสาวที่ไม่รู้จักโต แต่อย่าลืมนะว่าการที่เค้ามองรูปลักษณ์ตัวเองด้อยค่า มันจะเปลี่ยนเป็นความไม่มั่นใจในตัวเอง ทำให้เค้าหมกมุ่นแค่เรื่องรูปกาย มีอาการซึมเศร้า และเลือกอยู่ในความสัมพันธ์หรือตัดสินใจในสิ่งที่ไม่เหมาะสม ดังนั้นมันสำคัญอย่างมากที่คุณจะช่วยให้ลูกกันตัวเองออกจากคำหลอกลวงนี้ บอกกับลูกว่า “หนูสวยในแบบที่พระเจ้าออกแบบมาเพื่อให้สะท้อนถึงพระลักษณะของพระองค์” จากนั้นคุณควรระมัดระวังเวลาพูดถึงผู้หญิงคนอื่นและตัวคุณเอง เราควรชื่นชมยินดีกับความงามอันหลากหลายและใส่ใจในรายละเอียดที่พระเจ้าได้ถักทอลงใน DNA ของผู้หญิง
พูดความจริงกับลูก
คำหลอกลวงต่างๆ ทำให้เด็กสาวติดกับดัก แต่ความจริงจะปลดปล่อยพวกเค้า พูดง่ายๆ ก็คือ…อย่าประเมินพลังและอิทธิพลในการพูดคุยความจริงจากพระเจ้ากับลูกของคุณต่ำเกินไป และคุณควรทำตามคำสอนของอัครทูตเปาโลที่ว่า “พี่น้องทั้งหลาย ขอให้พวกท่านตักเตือนคนที่เกียจคร้าน หนุนใจผู้ที่ขาดความกล้าหาญ ช่วยเหลือคนที่อ่อนกำลัง และมีความอดทนต่อทุกคน” (1 เธสะโลนิกา 5:14)
และอย่าลืมว่าความจริงจากพระเจ้าทรงพลังมากกว่าคำหลอกลวงใดๆ จากศัตรู อาวุธที่พระเจ้ามอบให้เราคือ ความจริง ความสว่าง พระคุณ และอิสรภาพ เราสามารถใช้อาวุธนี้ทะลายคำลวงที่ติดแน่นในใจได้ เพราะฉะนั้นตระเตรียมลูกคุณให้พร้อมด้วยความจริงที่เธอต้องจำให้ขึ้นใจ เพื่อจะได้โตเป็นคนแบบที่พระเจ้าสร้างให้เธอเป็น
Jessie Minassian เป็นนักพูดและนักเขียนหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับเด็กสาวในช่วงวัยรุ่น รวมไปถึงหนังสือชื่อ Unashamed, Crushed and Backwards Beauty
บทความ: 5 Lies that can destroy your daughter, Jessie Minassian
แปล: กลมกลม
ภาพ: Anton Luzhkovsky on Unsplash
ออกแบบ: Zippy
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น