โดยส่วนตัวแล้ว ผมเห็นว่าน่าจะเป็นวินัยที่ดีในช่วงท้ายของแต่ละปีที่เราจะมีโอกาสได้สงบใจ ไตร่ตรองถึง 12 เดือนที่ผ่านมา และเรียนรู้บางอย่างจากประสบการณ์ที่กำลังจะผ่านพ้นไปสู่ปีใหม่ เพื่อเราจะไม่อยู่ไปเรื่อยๆโดยไม่ได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่สามารถช่วยเราในหนทางที่จะย่างก้าวต่อไปในปีที่กำลังจะมาถึง
ในปี 2021 ผมได้เรียนรู้สิ่งต่างๆดังต่อไปนี้
1. ไม่ง่ายที่จะหาคำตอบของ WWJD ในแต่ละครั้ง
WWJD ย่อมาจาก What would Jesus do?
นี่เป็นคำถามที่มีคนเสนอเพื่อให้เราคิดพิจารณาว่า ถ้าหากพระเยซูอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ พระองค์จะสนองตอบอย่างไร เพื่อเราจะสนองตอบเหมือนหรือคล้ายกับพระองค์ ข้อเสนอแนะนี้เกิดจากเจตนาดีที่อยากให้เราเลียนแบบองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา แต่ยิ่งผมอ่านพระกิตติคุณทั้งสี่ ผมก็ยิ่งพบว่าบางครั้งการหาคำตอบของคำถามนี้ไม่ง่ายเลย ทั้งนี้ก็เพราะพระเยซูผู้ทรงอวยพรแก่เด็กๆ รักษาคนเจ็บคนป่วย คลุกคลีกับคนชายขอบ และอภัยแก่คนบาปที่กลับใจ เป็นพระเยซูองค์เดียวกันที่คว่ำโต๊ะคนรับแลกเงินและขับไล่คนซื้อขายออกไปจากบริเวณพระวิหาร เรียกนักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่งว่า “เจ้าหมาจิ้งจอก” ขนานนามผู้นำทางศาสนาว่า “คนหน้าซื่อใจคด” ประเมินน้ำมันราคาเกือบแสนที่เทลงบนพระเศียรของพระองค์ว่าเป็น “ความดี” และเรียกสาวกคนสนิทที่พยายามจะทัดทานพระองค์ว่า “เจ้าซาตาน”
2. ในโลกแห่งความฉาบฉวย ยังมีผู้เชื่อไม่น้อยที่ต้องการจะลงลึกในชีวิตของเขา
ในโลกปัจจุบันที่คนมุ่งไปที่ปริญญาบัตรมากกว่าการศึกษาที่มีคุณภาพ มุ่งที่การสร้างเวทีเพื่อให้คนรู้จักภาพหน้าฉากของตนมากกว่าตัวตนที่แท้จริง มุ่งไปที่แนวกว้างโดยไม่ค่อยจะมีความลึก ไม่ว่าจะเป็นด้านความเข้าใจในพระคัมภีร์ ด้านความสัมพันธ์กับพระเจ้าและพี่น้อง คริสเตียนอื่น หรือการดำเนินชีวิตอย่างสมดุล ผมได้เรียนรู้ว่ามีผู้เชื่อไม่น้อยที่โหยหาสิ่งที่เป็นแก่นสาร และหลายต่อหลายคนพร้อมจะลงทุนในการพัฒนาความลึกในด้านเหล่านั้น “ขอให้พงศ์พันธุ์ของท่านทั้งหลายเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆในปีข้างหน้า”
3. การลงทุนกับชีวิตของคนเป็นการลงทุนที่มีผลยืนนานที่สุด
ในบรรดางานต่างๆที่เราทำ คนเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในการทำงานด้วย คนสามารถทำให้เราบาดเจ็บทั้งทางกายและทางใจ ทำให้เรานอนไม่ค่อยหลับในบางคืน ทานอาหารบางมื้อไม่ค่อยอร่อย ยิ้มอย่างสนิทใจไม่ค่อยออก แต่ในเวลาเดียวกัน คนเป็นสิ่งที่มีคุณค่านิรันดร์ดำรงอยู่ตลอดไป วันหนึ่งสิ่งต่างๆที่มีค่าสมมุติในกาลเวลาที่เราอยู่นี้ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียงเกียรติยศ ปริญญาบัตรการศึกษา ชาติตระกูลจะผ่านพ้นไป แต่คนเหล่านั้นที่เราได้ลงทุนในชีวิตของเขาจะยังดำรงอยู่ เมื่อทำงานกับคน ผมเรียนรู้ที่จะมองไกลๆ มองยาวๆ ไกลไปถึงนิรันดร์กาลเลยล่ะ
4. ในความยากลำบากที่เราประสบ มักจะมีคนที่ยากลำบากกว่าเรา
เมื่อเราผจญกับความยากลำบาก แนวโน้มก็คือเราจะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เราประสบจนอาจจะลืมบริบทใหญ่ไป แต่ถ้าเราเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ เรามักจะพบว่าในความยากลำบากที่เรากำลังประสบ มักจะมีคนที่ยากลำบากกว่าเรา ประสบการณ์นี้ช่วยเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความยากลำบากที่เรากำลังเดินผ่าน อันอาจจะนำไปสู่ความสุขใจภายในเมื่อเราหยิบยื่นความช่วยเหลือที่เราสามารถแบ่งปันได้ให้กับคนเหล่านั้นที่ยากลำบากกว่าเรา
5. พระเจ้าสามารถตรัสกับผมผ่านบทเพลงได้
ในประสบการณ์ของผมในการเดินกับพระเจ้า ผมพบว่าพระองค์มักจะตรัสกับผมในแต่ละช่วงผ่านบทเพลงที่มีเนื้อร้องงดงามจากความจริงในพระคัมภีร์ เพลงเหล่านี้บางบทเป็นเพลงที่ผมได้รู้จักตั้งแต่หลายสิบปีก่อน แต่จู่ๆในช่วงที่กำลังประสบภาวะตึงบางอย่าง เพลงเหล่านี้ก็ผุดขึ้นในความทรงจำ บางครั้งทำให้เกิดการปลอบประโลมใจ บางครั้งชูใจให้ความหวัง และบางครั้งทำให้ตารื้นขึ้นมาเมื่อระลึกถึงพระคุณของพระเจ้า
6. ยิ่งเป็นคริสเตียนนานเท่าใด ผมก็ยิ่งตระหนักถึงความจำกัดของตนเองมากเท่านั้น
ความรู้ที่ผมมีอย่างมากก็เท่ากับทรายเม็ดหนึ่งบนชายหาดอันยาวไกล ความสามารถที่ผมมีอย่างมากก็เท่ากับวงล้อเล็กๆในเครื่องจักรขนาดใหญ่มหึมา เวลาในช่วงชีวิตที่ผมมีก็ลดน้อยลงเรื่อยๆกับทุกวันที่ผ่านไป ไม่ว่าผมจะเก่งขนาดไหน ผมก็ถูกจำกัดด้วยเวลาในแต่ละวัน เวลาที่ใช้ไปกับการทำสิ่งหนึ่งก็คือเวลาที่ไม่สามารถเอาไปใช้ทำสิ่งอื่นได้ การพยายามทำอะไรมากเกินไปในความจำกัดเหล่านี้ ก็เหมือนกับการตีแผ่นเหล็กเพื่อครอบคลุมพื้นที่ที่กว้างใหญ่ ยิ่งครอบคลุมกว้างเท่าใด ก็ยิ่งตื้นเขินขาดความลึกเท่านั้น ดังนั้น สิ่งสำคัญก็คือการแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้าว่า พระองค์ทรงประสงค์ให้ผมทำอะไรในความจำกัดที่ผมมี และทำอย่างดีที่สุดเต็มกำลังเท่าที่ผมสามรถทำได้เพื่อพระเกียรติของพระองค์
7. คริสตจักรและคริสเตียนจำเป็นต้องมี “ความร้อน” คู่ “ความรู้” (zeal with knowledge)
ถ้ามีความร้อนแต่ไม่มีความรู้ก็จะเป็นเหมือนหัวรถจักรพลังสูงที่ไม่ได้วิ่งบนราง มันสามารถพาเราเข้ารกเข้าพงและสร้างความเสียหายมากมายได้ แต่ถ้ามีความรู้แต่ไม่มีความร้อนก็จะเหมือนรางรถไฟที่สวยแวววับแต่ไม่เกิดประโยชน์ในเชิงปฏิบัติ แต่ถ้ามีทั้งความร้อนและความรู้ รถไฟขบวนนั้นจะสามารถวิ่งไปสู่จุดหมายปลายทางได้ คริสตจักรไทยโดยรวมและคริสเตียนโดยส่วนบุคคลจึงจำเป็นจะต้องมีทั้ง “ความร้อน” และ “ความรู้” เคียงคู่กันไป เราจึงจะรักษาดุลยภาพที่เหมาะสมไว้ได้
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น