บทความ

7 สิ่งที่ได้เรียนรู้ในปี 2021 — ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ —

7 สิ่งที่ได้เรียนรู้ในปี 2021 —ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ —

1.LET GO & LET GOD

(รู้จักปล่อยและวางให้พระเจ้าจัดการแทน)

ผมได้เรียนรู้ว่า อะไรที่ผ่านมาแล้ว อย่าไปติดยึดกับมัน ต้องรู้จักวาง หรือปล่อยมันไป ไม่ว่าจะเป็น
1).ความสำเร็จ หรือ ความล้มเหลว
2).ความรักหรือความเกลียด
3).ความสุขหรือความทุกข์เจ็บปวด
ทุกอย่างจะเหลือเป็นแค่ความทรงจำ ถ้าเป็นความทรงจำดีๆ ก็ถือว่าเป็นของขวัญสำหรับชีวิตก็เก็บเอาไว้
ส่วนความทรงจำใดไม่ดีก็ถือว่าเป็นบทเรียน และรู้จักปล่อยวางลง อย่าเอามันติดตัวมาสร้างปัญหาอีกไม่ว่าจะในปัจจุบันหรือในอนาคตเลย

ผมตระหนักว่า ไม่ว่าจะเจอะเจอเหตุการณ์ หรือ สถานการณ์อะไรมา ในอดีต หรือ ในปัจจุบัน
เราจะต้องไม่ตระหนกจนเกินเหตุ คือทำอะไรไม่ได้ หรือไปต่อไม่เป็น
ผมต้องรู้จักพึ่งพิงพระเจ้าอย่างสุดใจ และยอมมอบให้พระองค์เข้าควบคุมชีวิตและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเผชิญกับวิกฤติอันหนักหนาสาหัสสักเพียงใด ด้วยความไว้วางใจในพระองค์
แล้ว ผลที่ตามมาจะดีขึ้นเอง แบบที่ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า พระเจ้าทรงทำให้มันเป็นไปเช่นนั้นได้อย่างไร

“จงมอบทางของท่านไว้กับพระยาห์เวห์
จงวางใจในพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงช่วยท่าน”
‭‭ ~สดุดี‬ ‭37:5‬ ‭THSV11‬‬

2. PREPARE FOR THE WORST,EXPECT FOR THE BEST
(เตรียมเผชิญสิ่งเลวร้ายสุดและหวังในสิ่งดีสุด)

ผมได้เรียนรู้จักบทเรียนล้ำค่ายิ่งประการหนึ่ง จากประสบการณ์ที่บอบช้ำทางเศรษฐกิจอย่างหนักในปีก่อนหน้าจนถึงปีนี้นั่นคือ

1).เราต้องรู้จักเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ที่อาจเกิดขึ้นกับเราเมื่อไรก็ได้แบบไม่ทันตั้งตัว
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาทางสัมพันธภาพกับคนใกล้ชิด คนในครอบครัว คนในคริสตจักร คนในที่ทำงาน คนในพันธกิจต่างๆ หรือคนในสังคม ~พูดง่ายๆคือ เราควรคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่าอาจจะมีเรื่องร้ายๆแย่ๆ เกิดขึ้นกับเรา แต่เรา็ตั้งใจไว้แล้วเช่นกันว่า ไม่ว่าจะเรื่องนั้นจะเลวร้ายสักเพียงใดเราก็จะไม่ปล่อยให้เกิดออกอาการไปต่อไม่เป็น และอย่างมากก็ให้ชะงักไปเพียงครู่หนึ่ง แล้วก็ไปต่อ
2).เราต้องรู้จักคาดหวังในสิ่งดีที่สุดที่พระเจ้าจะประทานให้ในภายหน้า หรือในบั้นปลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราควรเชื่อมั่นตามพระสัญญาของพระองค์ที่ปรากฏเด่นชัดในพระคัมภีร์ ที่ว่า

‬ “เรารู้ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างร่วมกันก่อผลดีแก่คนที่รักพระเจ้า
คือแก่คนทั้งหลายที่พระองค์ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์”
‭‭ ~โรม‬ ‭8:28‬ ‭THSV11‬
“We know that God works all things together for good
for the ones who love God, for those who are called according to his purpose.”
‭‭ ~Romans‬ ‭8:28‬ ‭CEB‬‬

3.REDEFINE LIFE’S & MINISTRY’ S PURPOSE
(ทบทวนวัตถุประสงค์ของชีวิตและพันธกิจอีกครั้ง)

ผมได้เรียนรู้อีกว่า บางครั้งวิกฤติหรือปัญหาที่เกิดขึ้นกับชีวิตหรืองานที่ผมทำนั้น มาจากพระเจ้าเพื่อสะกิด หรือปลุกให้ผมตื่นขึ้นจาก ความยุ่ง(busyness)กับการทำกิจกรรมทางศาสนามากมาย จนอาจลืมจุดประสงค์แท้ของชีวิต หรือของพันธกิจที่ ผมได้รับมอบหมายมากระทำ

1).เราต้องได้สติ ทบทวนถึงวัตถุประสงค์ในชีวิตของเราว่า
~เราได้รับการมอบหมายจากพระเจ้าให้มาอยู่ในโลกนี้เพื่ออะไร?
~เรากำลังหลงทางไปกับหลายสิ่งหลายอย่าง จนลืม สิ่งที่สำคัญที่สุดไปหรือเปล่า?
2).เราต้องได้สติ และประเมินโดยเร็วว่า เรากำลังทำงานรับใช้ตรงนำ้พระทัย หรือเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่?
~เรากำลังทำงานแบบหลงทาง หรือ ยังอยู่ในทางแต่ ที่ทำอยู่นั้นเป็นแค่กิจวัตรแบบหมดไฟ
~เรากำลังทำงานนั้นอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อพันธกิจที่ได้รับมาหรือไม่?
~เรายังทำงานของเราตามวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายยังคงเหมือนเดิมหรือไม่?
และหากยังเหมือนเดิม
~เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวิธี หรือ แนวทางอะไรในการทำงานบ้างหรือไม่
เพื่อบรรลุให้เป้าหมายนั้นอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น?

แล้ว เรารู้พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับสิ่งที่เราทำหรือไม่?

“พระองค์ทรงประสงค์ให้ทุกคนได้รับความรอดและรู้ความจริง”
~‭‭1 ทิโมธี‬ ‭2:4‬ ‭THSV11‬‬

4.RECOGNIZE THE BLESSINGS IN DISGUISE
(มองเห็นพระพรที่ซ่อนอยู่หรือที่ปลอมมาในรูปของความทุกข์ยาก)

ผมได้เรียนรู้ว่า ว่าบางครั้ง พระพรอาจปลอมตัวมาในรูปโฉมของ
~ความล้มเหลว
~ ความผิดหวัง
~ความพ่ายแพ้
~ความขาดทุน หรือแม้แต่
~การถูกต่อต้าน หรือในรูปแบบที่สุดแสนปวดร้าวใจคือ
~การการแตกแยกกันเองในท่ามกลางพี่น้อง หรือ
~การถูก คนรัก คนใกล้ชิด หรือ เพื่อนหักหลังหรือทอดทิ้งเราไป อย่างปราศจากเยื่อใย

ดังนั้น

1).เราต้องสามารถเห็นส่วนดี ในท่ามกลางเรื่องที่ชวนเจ็บปวด เหมือนเห็นความงามของดอกกุหลาบในพงหนามที่ทิ่มแทงนิ้วมือของเรา
2).เราต้องอดทนนานมากเพียงพอที่จะเห็นการเฉลยคำตอบ หรือผลคะแนน จากการทดสอบและการทดลองในชีวิตที่เราเจอะเจอมาอย่างหนักหน่วง มายาวนาน
แล้วเราก็จะหายเหนื่อยทั้งกายใจและเป็นสุข!

“‘ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรท่าน และพิทักษ์รักษาท่าน”
‭‭ ~กันดารวิถี‬ ‭6:24‬ ‭THSV11‬‬

5.PREPARE or SAVE FOR THE WINTER
(รู้จักวางแผนและจัดเตรียมปัจจัยที่จำเป็นไว้สำหรับช่วงเวลาวิกฤติ)

ผมได้เห็นธุรกิจ และพันธกิจมากมายล้มหายตายจากไปต่อหน้า เพราะผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด ~19 ที่ยาวนานและกลายพันธ์ุเป็นว่าเล่น
และสาเหตุหลักก็คือการขาดเงินทุนหมุนเวียนยาวพอที่จะทำพันธกิจนั้นต่อไปจนรอด
ผมได้รู้ซึ้งถึงความเสี่ยง และความเปราะบางของการกระทำพันธกิจโดยพึ่งขาคนอื่นเพื่อยืนและเดิน
หรือ การต้องยืมจมูกคนอื่นเพื่อหายใจ
ดังนั้น ทุกๆพันธกิจที่เราคิดจะทำ เราต้องเลิกรับใช้โดยอ้างความเชื่ออย่างเดียวแล้ว
เพราะมันมักจะนำไปสู่การต้องจ่ายเชื่อ เนื่องจากไม่มีเงินมาจ่ายสด
อีกทั้งยังอาจต้องบากหน้าขอเงินถวายตรงๆจากคนนั้นคนนี้อย่างน่าเวทนา
เพราะว่าไม่มีเงินที่จะจ่ายค่าแรงคนงาน หรือ ค่าใช้จ่ายในการดูแลคนในพันธกิจ เช่นเด็ก คนป่วย คนต้องขัง คนแก่ และอื่นๆ

1).เราต้องรู้จักขอ รับ และ นำสิ่งที่ได้รับมาบริหารและพัฒนาให้เพิ่มพูนขึ้นเพื่อเลี้ยงดูคน และพันธกิจต่อไปให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ~โดยให้ทุกคนที่เราดูแลได้มีส่วนร่วมในการเพิ่มพูนทุนหรือรายรับ ไม่ใช่ปล่อยให้พวกเขาเป็นแต่เพียงผู้รับไปจนถึงวันตายขององค์กร หรือหน่วยงานที่ทำพันธกิจนั้น
กล่าวคือเราต้องเรียนรู้ที่จะไม่รับปลามาให้คนของเรากินจนหมดไปภายในมื้อเดียว
แต่เราและคนของเราจะต้องได้รับการฝึกให้รู้จักจับปลาด้วย เพื่อเราทุกคนจะมีปลากินได้อย่างยาวนานไปจนถึงในวันหน้าด้วย

2).เราต้องรู้จักกฎแห่งการปลูกหว่าน การเก็บเกี่ยว และ การเก็บพันธุ์พืช และผลิตผลสำหรับรับประทานในช่วงฤดูหนาวที่ไม่อาจเพาะปลูกได้
เราต้องเรียนรู้จักบริหารและสะสมเสบียง(กองทุน)ไว้ เพื่อจะมีปัจจัยพร้อมสำหรับการทำพันธกิจใหม่ๆ ในอนาคตและ พร้อมรับมือกับสภาวะวิกฤติที่ไร้ความช่วยเหลือจากบุคคลภายนอก

“บุตรชายที่เก็บสะสมไว้ในฤดูแล้งก็เป็นคนฉลาด แต่บุตรชายผู้หลับในฤดูเกี่ยวก็นำความอับอายมา”
‭‭ ~สุภาษิต‬ ‭10:5‬ ‭THSV11‬‬

6.MAKE HAY WHILE THE SUN SHINES
(รู้จักฉวยโอกาสที่พระเจ้าเปิดให้ แบบน้ำขึ้นให้รีบตัก)

ผมได้เห็นโอกาสดีๆใหม่ๆเกิดขึ้นตลอดเวลา ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้ง
1).ในช่วงเวลาปกติ
~ที่ในทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน มักมีโอกาสใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา
ดังนั้น บางทีพระเจ้าอาจทรงนำให้เราได้พบคนใหม่ๆ จังหวะใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ หรือข้อเสนอใหม่ๆ ในท่ามกลางตารางพันธกิจที่เราทำกันอยู่เป็นประจำตามปกติ
เราจึงควรรู้จักฉวยโอกาสให้เกิดประโยชน์สูงสุด และต่อยอดในสิ่งที่มีอยู่แล้ว ให้ เจริญพัฒนามากขึ้น

“จงใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์
เพราะว่าทุกวันนี้เป็นยุคสมัยที่ชั่วร้าย”
‭‭ ~เอเฟซัส‬ ‭5:16‬ ‭THSV11‬‬

2).ในช่วงเวลาวิกฤติ
~ในทุกครั้งที่เราประสบกับวิกฤติ มักจะมี 2สิ่งนี้ เสมอ คือ
ก.อันตราย
ข.โอกาส
ขอให้เรามองให้เห็นโอกาสนั้น และฉวยโอกาสที่อยู่ตรงข้างหน้าของเรา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่วิกฤติโหมกระหน่ำ ถาโถมเข้าซัดใส่เรา
ผมเห็นโอกาสพิเศษเช่นนั้นเกิดขึ้นในท่ามกลางวิกฤติที่ผมประสบอยู่บ่อยครั้ง
อย่างเช่น การเกิด พันธกิจ ShareTheLoveForward ที่เกิดจากขึ้นจากตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งต่อเนื่องยาวนาน และก่อเกิดรายการดีๆมีคุณค่าต่อคนไทยทั่วโลก
หรือการเปิดชั้นเรียนออนไลน์ของโรงเรียนพระคัมภีร์อย่างBBSที่ทำให้มีผู้สมัครเข้าเรียนนับพันคน มากที่สุดในประวัติศาสตร์
คริสตจักรไทย

นับว่า ช่างวิเศษจริงๆ!

7.REDEEM THE TIME

ผมได้เรียนรู้ว่า เวลาเป็นทรัพยากรอันล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใด หรือแม้แต่เงินทองหรือความสำเร็จ
คนเราถูกหลอกมาอย่างยาวนานว่า
“เวลาเป็นเงินเป็นทอง!”
ทั้งๆที่ ความจริงแล้ว
“เวลาคือชีวิต!”
ผมได้เห็นคนหลายคนจากไปก่อนเวลาอันควรโดยไม่ขึ้นกับอายุ
และที่น่าสะเทือนใจยิ่ง คือ เห็นพ่อแม่ผู้ชราและเจ็บป่วยต้อง สาละวนกับการจัดงานศพให้กับลูกๆของตนเองด้วยความเศร้าโศกเสียใจ

และด้วยความไม่แน่นอนของชีวิต และความจำกัดของเวลา เราต้องไม่ดำเนินชีวิตแบบเฉื่อยชา ประมาท หรือทำลายเวลาอันมีค่าไปให้เสียไปเปล่าๆ
# “เวลาเป็นสิ่งมีค่า อย่าไปฆ่าเวลา!”

เราต้องไถ่ถอนเวลา
(REDEEM THE TIME)
กลับคืนมา!

ดังนั้น เวลานี้ ผมจึง ไม่ปล่อยให้เวลาที่ผมยังมี ต้องเสียไปโดยเปล่าประโยชน์อีกต่อไป
ผมตั้งใจใส่คุณค่าและคุณประโยชน์ลงไปในทุกนาทีที่ผมมีอยู่ ทั้งต่อคริสตจักรและต่อโลกนี้

อะไรที่ผมพอจะทำได้ ผมจะไม่ชักช้า หรือมัวรีรอ แต่ผมจะลงมือทำเลย แม้ไม่รู้ว่าจะเกิดผลหรือไม่ หรือ จะเกิดผลเมื่อไร

ผมจึงขอเชิญชวนพี่น้องที่รักให้พร้อมจ่ายราคาเพื่อไถ่ถอนเวลาคืนมาเพื่อทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าก้าวหน้า หรือสำเร็จ

ให้เราวางแผนประหนึ่งว่า พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับในอีก100ปีข้างหน้า
แต่ให้เราทุ่มเททำงานรับใช้ตามพระบัญชา และพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างเต็มที่ราวกับว่า พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาเวลาใดเวลาหนึ่งในวันนี้
เพียงแต่เราไม่ทราบจริงๆว่า พระองค์จะเสด็จกลับมาในชั่วโมง หรือนาทีใด?

แต่ให้เราพร้อมที่จะพบกับพระองค์ด้วยความยินดี
ไม่ว่าในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ หรือในยามที่เราต้องจากโลกนี้ โดยความตาย
…แต่ก่อนที่วาระสุดท้ายในชีวิตของเราจะมาถึง ก็ขอให้เราทำหน้าที่เป็นพยานช่วยคนให้รอดก่อน จะดีไหม?

“แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ถือว่าชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งมีค่าสำหรับตัวเอง ขอแต่เพียงให้ข้าพเจ้าได้ทำหน้าที่ของข้าพเจ้าและทำพันธกิจที่ได้รับจากพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าให้สำเร็จ คือการเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐที่สำแดงพระคุณของพระเจ้า”
‭‭~กิจการ‬ ‭20:24‬ ‭THSV11‬‬

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง