1) เปิดใจ
ผมได้เรียนรู้ว่าจะต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทายอยู่เสมอ แม้ในบางครั้งสิ่งที่ต้องเรียนรู้นั้นดูเหมือนจะรู้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นเพียงสิ่งที่ “เคยรู้” ยังไม่ใช่สิ่งที่ “ควรรู้” การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อาจจะทำให้เราดูมีเกียรติน้อยลงแต่กลับทำให้เรามีศักดิ์ศรีมากยิ่งขึ้นในพระเจ้าผู้ทรงปรารถนาให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่นั้น
2) หนุนใจ
ในขณะที่ทุกคนต่างอยู่ในสถานการณ์ที่น่าหวาดกลัวและขาดความแน่นอน ใครๆ ต่างก็ต้องการการหนุนใจ ต้องการกำลังใจ และอยากให้คนอื่นๆ เข้าใจความลำบากที่ตนเองกำลังประสบ แต่ผมได้เรียนรู้ว่าเมื่อเรามองตัวเราเองให้น้อยลง และหันไปมองความทุกข์ลำบากของคนอื่น รวมถึงเอื้อมมือเอื้อมใจของเราออกไปหนุนใจให้กำลังคนอื่นๆ แล้วเราจะพบว่ามันเป็นเรื่องน่าแปลกที่ตัวเราเองกลับได้รับกำลังใจมากขึ้นผ่านทางการหนุนใจคนที่กำลังทนทุกข์ลำบากเช่นเดียวกับเรา และนี่อาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดความทุกข์ยากในชีวิตของเราก็เป็นได้
3) กลับใจ
สถานการณ์ที่ยากลำบากทำให้เราไม่สามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างที่เราเคยทำได้ในช่วงเวลาปกติ และหลายสิ่งหลายอย่างที่เราทำไม่ได้ในขณะนี้นั้นบางสิ่งก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะทำ เป็นสิ่งที่เราไม่สมควรทำในฐานะคนของพระเจ้า แต่บางครั้งเราเองกลับไม่มีกำลังมากพอที่จะหยุดทำสิ่งที่ไม่น่าจะทำเหล่านั้น แต่วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นกลับช่วยทำให้เราหยุดทำสิ่งที่ไม่ควรทำเหล่านั้นโดยปริยาย เราควรจะขอบคุณพระเจ้าและใช้โอกาสนี้ในการกลับใจจากวิถีชีวิตที่ไม่ถูกต้อง และกลับใจมาดำเนินชีวิตใกล้ชิดติดสนิทกับพระองค์อีกครั้งผ่านทางผลพลอยได้ของวิกฤตินี้
4) เตรียมใจ
วิกฤตการณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าคำพยากรณ์ต่างๆ เกี่ยวกับยุคสุดท้ายนั้นกำลังเกิดขึ้นทีละเรื่องอย่างต่อเนื่องและเพิ่มความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะเตรียมจิตใจของเราในการต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งจะเป็นวันที่พระองค์จะพิพากษาทั้งผู้ที่เชื่อและผู้ที่ไม่เชื่อ
5) พอใจ
สถานการณ์ที่ขับขันทำให้เราต้องเรียนรู้ที่จะใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากยิ่งขึ้น มีวินัยทางการเงินมากยิ่งขึ้น และทำสำคัญคือผมได้เรียนรู้ที่จะ “พอใจ” กับสิ่งที่มีอยู่แล้วมากยิ่งขึ้น เพราะความพอใจนี้เป็นเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้เกิดวินัยทางการเงินและสอนให้เราใช้จ่ายอย่างถูกต้องเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ต่อให้วิกฤตินี้ผ่านพ้นไป นิสัยแห่งการพอใจในสิ่งที่ตนเองมีนี้ก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไปและจะยิ่งที่ทำให้เรามั่นคงยิ่งขึ้นอีกในช่วงเวลาปกติด้วย
6) วางใจ
ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น สังคมเราก็ตกอยู่ในความหวาดกลัวที่มีต่อโรคภัยต่างๆ และต่อสถานภาพทางเศรษฐกิจ แต่ผมได้เรียนรู้ว่าความหวาดกลัวไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น แม้การระมัดระวังเป็นเรื่องที่ดีแต่ความระมัดระวังจนกลายเป็นความหวาดกลัวนั้นกลับทำให้เรายิ่งตกอยู่ในความเสี่ยงอีกประเภทหนึ่ง คือความเสี่ยงที่จะสูญเสียสันติสุขและความสมดุลในชีวิต (ซึ่งก็ทำให้ชีวิตสั้นลงเช่นกัน) ผมจึงเรียนรู้ที่จะวางใจในพระเจ้าและการปกป้องของพระองค์ ในขณะที่ผมดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวังผมก็ไม่ลืมที่จะไว้วางใจในพระเจ้าผู้ทรงพิทักษ์รักษาชีวิตของผมและครอบครัว ซึ่งทำให้ผมยังคงออกไปรับใช้พระองค์ในที่ต่างๆ ได้บ้างในขอบเขตที่เหมาะสมต่อสถาการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้น
7) น้ำใจ
เมื่อเราไม่ขาดสิ่งดีและสิ่งจำเป็นในชีวิตของเรา เราก็ควรจะเรียนรู้ที่จะแบ่งปันสิ่งที่ดีและจำเป็นให้แก่ผู้อื่นด้วยเช่นกัน แม้แต่คนที่ขาดแคลนก็ยังรู้จักที่จะแบ่งปัน ดังนั้นคนที่มีมากเพียงพอก็ยิ่งต้องเรียนรู้ที่จะแบ่งปันสิ่งต่างๆ ให้ผู้อื่นด้วยเช่นกัน แม้ปีที่ผ่านมาจะเป็นปีที่เราไม่ได้รับมาก แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นปีที่ทำให้เราต้องกลายเป็นคนที่ให้น้อยลง น้ำใจที่แท้จริงนั้นไม่ได้เกิดจากการมีมากเสมอไป เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นคนมีน้อยก็คงจะมีน้ำใจไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงที่เราได้เห็นนั้นคนที่มีน้ำใจจำนวนมากก็ไม่ใช่คนที่มีมากกว่าคนอื่นในสังคม ผมจึงเรียนรู้ที่จะยังคงแสดงน้ำใจต่อไปไม่ว่าปริมาณของสิ่งที่ได้รับนั้นจะผกผันมากสักเท่าใดก็ตาม (ถึงกระนั้นพระเจ้าเองก็ยังทรงพระเมตตาและประทานกลับคืนมาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ)
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น