พระคัมภีร์คือหนังสือที่ขายดีที่สุด พิมพ์ออกมามากที่สุด และส่งอิทธิพลต่อผู้คนมากที่สุดในโลก ที่สำคัญเป็นหนังสือเล่มเดียวที่ได้รับการยอมรับว่าคือ “พระวจนะพระเจ้าที่แท้จริง” มาดูเหตุผลที่คัดเน้นๆ มา 5 ประการ ที่ช่วยให้เรามั่นใจแบบนั้นได้
1) อัศจรรย์แห่งการดลใจจากพระเจ้า
หากพิจารณาจากปัจจัยที่แตกต่างกัน ตั้งแต่เนื้อหามากถึง 66 เล่ม ความหลากหลายในตัวผู้เขียนทั้ง 40 คนที่อยู่ช่วงเวลาต่างกันประมาณ 1,500 ปี เรากลับพบความอัศจรรย์ผ่านเนื้อหาที่ดูเป็นเอกภาพ เหมือนถูกเขียนขึ้นด้วยบุคคลเพียงคนเดียว
ตั้งแต่ปฐมกาลถึงวิวรณ์ ทุกเล่มต่างเล่าถึงเรื่องเดียวกันที่ได้รับการเปิดเผยไว้ และให้คำตอบที่ไปในทางเดียวกันต่อคำถามสำคัญต่างๆ เช่นว่า ทำไมเราจึงอยู่ที่นี่บนโลกนี้? เราจะอยู่เหนือสถานการณ์และยังมีความหวังใจได้อย่างไร? เราจะคืนดีกับพระผู้สร้างของเราได้อย่างไร?
พระคัมภีร์ได้ตอบคำถามเหล่านี้อย่างสอดคล้อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพของพระคัมภีร์ และเหตุผลเดียวที่จะตอบคำถามความอัศจรรย์นี้ ก็คือว่า พระคัมภีร์เป็นพระวจนะที่ได้รับ “การดลใจ” จากพระเจ้า “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า…” (2 ทิโมธี 3:16-17)
เมื่อดูจากภาษากรีก คำว่า “ดลใจ” หมายถึง “พระเจ้าทรงระบายลมปราณ” พระคัมภีร์กำลังอธิบายตัวเองว่าเป็นถ้อยคำที่มาจากการสำแดงพิเศษของพระเจ้า อีกทั้งทำให้เข้าใจว่าขอบเขตการดลใจนั้น ครอบคลุมพระคัมภีร์ทุกข้อทุกตอน มิใช่เพียงบางข้อเท่านั้น
พระเจ้าดลใจผู้เขียนอย่างไร?
แน่นอนว่าคงไม่บอกให้จดเป็นคำๆ เป็นประโยคๆ ตลอดทั้งเล่ม มิฉะนั้นเราจะคงไม่เห็นลีลาและสำนวนการเขียนที่แตกต่างของแต่ละคนแน่ๆ
แม้ว่าจะมีเนื้อหาบางตอนที่พระเจ้าตรัสให้เขียนตามที่พระองค์ทรงบอก เช่น พระบัญญัติ 10 ประการ รายละเอียดเกี่ยวกับตัวพลับพลา หรือบางตอนในวิวรณ์ที่ยอห์นเขียนตามที่พระเยซูตรัส
แต่เนื้อหาของพระคัมภีร์เกิดจากการดลใจของพระเจ้า ซึ่งก็คือความช่วยเหลือของพระเจ้าอันเป็นเหตุให้ผู้เขียน เขียนสิ่งที่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ โดยพระเจ้าไม่ได้ทรงทำให้ผู้เขียนสูญเสียความเป็นปัจเจกบุคคลไป
2) การคัดลอกพิเศษที่ไม่เหมือนสำเนาอื่นใด
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ต้นฉบับพระคัมภีร์ดั้งเดิม (autograph) เช่น ฉบับที่เปาโลบอกให้อาลักษณ์ช่วยเขียนนั้น ปัจจุบันไม่มีต้นฉบับดั้งเดิมแบบนั้นหลงเหลืออยู่ในโลกนี้แล้ว ที่ยังคงมีอยู่คือ ฉบับคัดลอกหรือสำเนา (manuscript)
เราจึงจำเป็นต้องมีหลักในการพิจารณาความน่าเชื่อถือของสำเนาที่พบ โดยมี 3 เรื่องหลักคือ
จำนวนสำเนาที่พบ : ยิ่งพบมาก ยิ่งน่าเชื่อถือ
เมื่อพิจารณาดูสำเนาโบราณอื่นๆ ที่มีชื่อเสียง ถ้าพบสำเนาสัก 10-12 ชิ้น ก็ถือว่าน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับนักวิชาการแล้ว ซึ่งปรากฎว่า สำเนาที่พบน้อยที่สุด คือข้อเขียนของ Tacitus แค่ 3 ฉบับ และที่พบมากสุด คือข้อเขียนของ Suetonius ประมาณ 200 ฉบับ
แต่เชื่อไหมครับ พระคัมภีร์มีต้นฉบับคัดลอกแบบมหาศาลจริงๆ แค่เฉพาะพันธสัญญาใหม่ พบต้นฉบับคัดลอกทั้งที่เป็นบางส่วนและทั้งเล่มมากกว่า 5,700 ฉบับ
เนื้อหาในสำเนา : ยิ่งแตกต่างน้อย ยิ่งน่าเชื่อถือ
กลุ่มคนที่ทำหน้าที่คัดลอกพระคัมภีร์ เราเรียกว่า “อาลักษณ์” จะต้องเชี่ยวชาญในพระวจนะพระเจ้า เช่น เอสรา หนึ่งในอาลักษณ์ที่เชี่ยวชาญเรื่องธรรมบัญญัติโมเสส (เอสรา 7:6)
อาลักษณ์จะใช้วิธีนับจำนวนตัวอักษรเวลาคัดลอกสำเนาพระคัมภีร์ เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เมื่อคัดลอกเสร็จ เขาจะทำลายสำเนาเดิมทิ้ง เพราะเชื่อว่าสำเนาใหม่ที่คัดลอกนั้นไม่ได้ผิดเพี้ยนจากสำเนาเดิม จึงไม่จำเป็นต้องเก็บสำเนาเดิมเพื่อเปรียบเทียบอีก
ดี.ซี.ปาร์เกอร์ (D.C. Parker) ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ต้นฉบับ ได้สรุปว่า “การคัดลอกพันธสัญญาใหม่ของอาลักษณ์รุ่นแรกๆ เฉลี่ยแล้วทุก 1000 คำ จะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเพียง 5 จุดเท่านั้น” นั่นทำให้สำเนาพระคัมภีร์ใหม่ที่คัดลอกมีความเหมือนกันอย่างมาก จะแตกต่างกันก็เพียงแค่รายละเอียดเล็กน้อย เช่น วิธีการสะกดคำ เท่านั้น
ยิ่งพอเข้าสู่ช่วงคริสตจักรสมัยแรก วิธีคัดลอกหนังสือยิ่งผิดพลาดน้อยลงอีก เพราะใช้หัวหน้าของนักบวชเป็นคนอ่าน แล้วให้กลุ่มนักบวชหรือบาทหลวงเป็นคนเขียนตาม จึงสามารถตรวจสอบข้อผิดพลาดได้มากกว่าการคัดลอกเพียงคนเดียว
ช่วงเวลาคัดลอกสำเนา : ยิ่งเขียนใกล้กับต้นฉบับเท่าไร ยิ่งน่าเชื่อถือ
ความน่าเชื่อถือยังเกี่ยวข้องในแง่ของเวลาการเขียน หลักคิดคือ หากฉบับคัดลอกถูกเขียนขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกับต้นฉบับจริงเท่าไร ก็จะยิ่งน่าเชื่อถือมากขึ้น
ปรากฏว่า สำเนาพระคัมภีร์ยอห์นฉบับหนึ่ง (ปัจจุบันเก็บไว้ห้องสมุดในเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ) ถูกค้นพบในช่วงต้นศตวรรษที่ 2 ซึ่งห่างจากช่วงที่ยอห์นเขียนเพียงไม่กี่สิบปี ระยะเวลาที่ห่างกันไม่มากนัก ทำให้ช่วยขจัดข้อสงสัยที่ว่า งานเขียนเหล่านี้จะมีการเพิ่มเติมข้อมูลอื่นๆ เข้ามาภายหลัง
3) มาตรฐานของสารบบพระคัมภีร์
คำว่า “สารบบ” (Canon) แปลว่า มาตรฐาน หรือ บรรทัดฐาน เป็นคำที่ถูกใช้เพื่ออธิบายว่าหนังสือเล่มย่อยๆ ใดบ้างที่ได้มาตรฐานและเป็นหนังสือที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า จนถูกคัดเลือกไว้ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
สารบบของพันธสัญญาเดิม
ชาวยิวใช้วิธียอมรับที่ตัวผู้เขียน หากคนไหนถูกนับว่าเป็นผู้สื่อสารของพระเจ้า หนังสือที่คนเหล่านั้นเขียนก็จะได้รับการยอมรับว่าเป็นพระวจนะด้วย
เช่น โมเสส ผู้ที่รับพระบัญญัติจากพระเจ้าโดยตรง หนังสือที่โมเสสเขียนทั้ง 5 เล่ม คือ พระธรรมหมวดเบญจบรรณ จึงได้รับการยอมรับว่าเป็นพระวจนะพระเจ้า
การรวบรวมหนังสือต่างๆ เข้าเป็นพันธสัญญาเดิม สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นในสมัยของเอสรา (เอสรา 7, เนหะมีย์ 8) ดังนั้นสารบบพระคัมภีร์เดิมจึงรวบรวมเสร็จเรียบร้อยแล้วก่อนสมัยของพระเยซูคริสต์ และชาวยิวก็ยอมรับว่าหนังสือเหล่านี้เป็นพระวจนะของพระเจ้า
สารบบของพันธสัญญาใหม่
คริสตจักรในยุคแรกยอมรับพันธสัญญาเดิมก็เพราะพระเยซูทรงยอมรับว่าเป็นพระวจนะพระเจ้า คริสตจักรไม่ยอมรับวรรณกรรมอื่นๆ ของคนยิวแม้ว่าพวกคนยิวอาจจะอ้างอิงถึงอยู่เรื่อยๆ ก็เพราะพระเยซูไม่ทรงยอมรับ
ส่วนเรื่องราวของพระเยซูคริสต์และคำสอนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของคริสเตียนนั้น อัครทูตและผู้นำคริสตจักรสมัยแรกเริ่มต้นสอนด้วยปากเปล่าและเขียนจดหมาย ภายหลังที่พวกเขาสิ้นชีวิตไป คริสตจักรจึงได้รวบรวมสิ่งที่พวกอัครทูตได้เขียนไว้ เพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานในการสอนและการดำเนินชีวิต
ผู้นำคริสตจักรสมัยแรกได้ใช้บรรทัดฐานต่อไปนี้ในการยอมรับว่าหนังสือเล่มใดเป็นพระวจนะของพระเจ้า
1) ผู้เขียนเป็นอัครทูตหรือเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับอัครทูตหรือไม่
2) หนังสือได้รับการยอมรับจากคริสตจักรของพระคริสต์ส่วนใหญ่หรือไม่
3) เนื้อหาคำสอนได้รับการยอมรับจากผู้นำคริสตจักรสมัยแรกหรือเหล่าอัครปิตาหรือไม่ (เช่น โปลีคาร์ฟ – Policarp ผู้เป็นสาวกของยอห์น)
ฉะนั้นสารบบของพระคัมภีร์ใหม่ไม่ได้เกิดจากการลงมติของคริสตจักรแห่งใดแห่งหนึ่ง แต่เป็นการคัดกรองร่วมกัน เพื่อให้มีบรรทัดฐานในเรื่องคำสอนที่ใช้ปกป้องความเชื่อที่ถูกต้อง
มติของสภาคริสตจักรทั้งหมดจึงไม่ใช่เพียงแค่ลงชื่อรายการหนังสือที่ได้รับการยอมรับเข้าสู่สารบบเท่านั้น แต่ยังเป็นการป้องกันไม่ให้หนังสือที่ไม่ได้รับการยอมรับถูกเพิ่มเติมเข้าไปด้วย
4) เนื้อหาที่ไม่มีข้อผิดพลาด
แนวคิดเรื่องความไม่ผิดพลาดของพระคัมภีร์ (inerrancy) ถือเป็นหัวใจหลักของความเชื่อคริสเตียน อันเป็นผลมาจากความเชื่อว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้าอย่างสมบูรณ์
และแม้ว่าจะมีข้อโต้แย้งในบางประเด็นที่ไม่สำคัญ เช่น จำนวนตัวเลข ระยะเวลา ซึ่งเราเชื่อว่าความผิดพลาดเหล่านั้นสามารถเกิดขึ้นได้จากการคัดลอกสำเนา
ถึงอย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบเนื้อหาของพระคัมภีร์ทั้งผ่านแง่มุมของประวัติศาสตร์ โบราณคดี และแม้กระทั่งวิทยาศาสตร์ เราพบว่าเนื้อหาพระคัมภีร์กลับช่วยตอบคำถามสำคัญๆ และไขข้อข้องใจมายมายที่เป็นปริศนาของโลกใบนี้
5) ความแม่นยำของคำพยากรณ์
ความน่าสนใจของพระคัมภีร์อย่างหนึ่งคือ มีคำพยากรณ์หรือคำทำนายล่วงหน้าถูกบันทึกไว้ตลอดทั้งเล่มมากกว่า 8,000 ข้อ และที่อัศจรรย์กว่านั้นคือ ยังไม่มีคำพยากรณ์ใดที่เกิดขึ้นแล้วผิดพลาดเลย ทุกข้อที่เกิดขึ้นล้วนแต่ยืนยันความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์ทั้งสิ้น
คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์จะเกี่ยวข้องกับอนาคตของชนชาติต่างๆ รวมถึงอิสราเอล, จุดจบของโลก อนาคตของมนุษยชาติ และการเสด็จมาของผู้หนึ่งที่จะเป็นพระเมสสิยาห์ที่จะเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของทุกคนที่เชื่อในพระองค์ สิ่งเหล่านี้ล้วนแตกต่างจากคำพยากรณ์ในหนังสือที่เกี่ยวกับศาสนาเล่มอื่นๆ
คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์มีรายละเอียดชัดเจน เช่น คำพยากรณ์เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์กว่า 300 ข้อในพระคัมภีร์เดิม เช่นว่าพระองค์จะทรงมาบังเกิดที่ไหน กับครอบครัวใด และยังบอกอีกว่าจะทรงสิ้นพระชนม์อย่างไร และฟื้นคืนพระชนม์ภายใน 3 วันอีกด้วย
ไม่มีคำอธิบายใดที่สามารถบอกได้ว่า ทำไมคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์จึงสำเร็จเป็นจริง นอกจากจะเชื่อว่า พระคัมภีร์คือพระวจนะที่มาจากพระเจ้า
บทความ: JK
ภาพ: freestocks.org from Pexels
ออกแบบภาพ: Sinn
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น