“บางทีการได้มองเห็นสิ่งที่ไม่ได้คิดไว้ในใจ หรือไม่ได้คาดหวังเอาไว้ ก็อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ และมันก็สวยไปอีกแบบจริงๆ บางครั้งพระเจ้าก็อยากให้เราได้อยู่ในพื้นที่ใหม่ๆบ้าง ได้เห็นสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดบ้าง ได้เรียนรู้เรื่องราวที่ไม่ได้เตรียมตัวเอาไว้ เพื่อให้เรารู้ว่าโลกนี้มันกว้างใหญ่เกินกว่าที่เราจะเรียนรู้ภายในชีวิตเดียว เราเป็นเพียงแค่คนตัวเล็กๆบนโลกใบนี้เท่านั้น”
ก่อนที่ดอยหลวงเชียงดาวจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าไปท่องเที่ยวเยี่ยมชมในระยะเวลาสั้นๆ คือตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2022 ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2023 ผมได้มีโอกาสร่วมทริปเดินทางกับผู้บริหาร และทีมงานของบริษัท Bertram ที่เป็นบริษัทผู้ให้การสนับสนุนจัดทำนิทรรศการประชาสัมพันธ์เรื่องราวของพื้นที่สงวนชีวมณฑลเชียงดาว ซึ่งได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการแล้วว่าให้เป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลแห่งใหม่ของโลก ให้เราเข้าไปสัมผัส และเยี่ยมชมความงดงามสดชื่นของดอยหลวงเชียงดาวแห่งนี้ เป็นหนึ่งในการทรงสร้างของพระเจ้าที่มีความสวยงามอย่างมาก มีระยะทางในการเดินขึ้นเขาครั้งนี้กว่า 8.5 กิโลเมตร หรือประมาณ 25,500 ก้าว มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,225 เมตร อาจกล่าวได้ว่าสูงราวๆตึก 740 ชั้น ใช้เวลาในการเดินขึ้นไปทั้งหมดเกือบ 6 ชั่วโมงเต็ม
วัตถุประสงค์ของการขึ้นไปบนยอดดอยหลวงเชียงดาวในครั้งนี้ก็เพื่อสร้างความตระหนักให้เราทุกคนเห็นคุณค่า และความสำคัญของพื้นที่ ที่มนุษย์ สัตว์ และธรรมชาติได้อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนในพื้นที่ที่ประเมินค่าไม่ได้แห่งนี้ รวมถึงเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าถึงเหตุผลที่ว่า เหตุผลใดที่เราควรจะต้องอารักขาสิ่งที่เป็นการทรงสร้างของพระเจ้าอย่างดี
“อารักขา มากกว่าการปกป้อง คือการดูแลอย่างรับผิดชอบ”
คนมากมายพยายามจัดการทรัพย์สินของตัวเองให้ถูกใช้อย่างเกิดประโยชน์หลังจากที่พวกเขาจากโลกนี้ไป มีการแต่งตั้งผู้จัดการกองมรดก เขียน ร่างพินัยกรรม และบางคนก็แต่งตั้งมูลนิธิเพื่อให้แน่ใจว่าทรัพย์สินของพวกเขาจะถูกนำไปใช้ในวัตถุประสงค์ที่ดี การกระทำแบบนี้เราอาจเรียกได้ว่าการเป็นผู้ “อารักขา” ที่ดี แต่จริงๆแล้วพระเจ้าไม่ได้เรียกเรามาเพื่อให้เรามาอารักขาเพียงเพราะทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ในมือเราเท่านั้น แต่เรียกเราให้มาครอบครองโลกใบนี้ ถ้าเราได้อ่านใน ปฐก.1:28 ก็จะพบน้ำพระทัยของพระเจ้าที่กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้
ถ้าเราจะมาขยายความคำว่า “อารักขา” ในความหมายตามพจนานุกรมก็คือ การปกป้อง การดูแล และการคุ้มครอง แต่ถ้าเราค้นหาในพระคัมภีร์ (พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971) ก็จะปรากฏเรื่องราวดังข้อต่อไปนี้
สดุดี 121:7 : พระเจ้าจะทรงอารักขาท่านให้พ้นภยันตรายทั้งสิ้น พระองค์จะทรงอารักขาชีวิตของท่าน
สดุดี 121:4 : ดูเถิด พระองค์ผู้ทรงอารักขาอิสราเอล จะไม่ทรงหลับสนิทหรือนิทรา
สดุดี 121:8 : พระเจ้าจะทรงอารักขาการเข้าออกของท่าน ตั้งแต่กาลบัดนี้สืบไปเป็นนิตย์
1 โครินธ์ 4:2 : ฝ่ายผู้อารักขาเหล่านั้นต้องเป็นคนที่ไว้วางใจได้ทุกคน
อิสยาห์ 31:5 : เหมือนนกบินร่อนอยู่ ดั่งนั้นแหละพระเจ้าจอมโยธา จะทรงอารักขาเยรูซาเล็ม พระองค์จะทรงอารักขาและช่วยกู้ พระองค์จะทรงเว้นเสีย และช่วยชีวิต
สดุดี 121:3 : พระองค์จะไม่ให้เท้าของท่านพลาดไป พระองค์ผู้ทรงอารักขาท่านจะไม่เคลิ้มไป
สดุดี 121:5 : พระเจ้าทรงเป็นผู้อารักขาท่าน พระเจ้าทรงเป็นที่กำบังที่ข้างขวามือของท่าน
สดุดี 97:10 : ท่านผู้ที่รักพระเจ้า ก็เกลียดชังความชั่ว พระองค์ทรงอารักขาชีวิตธรรมิกชนของพระองค์ พระองค์ทรงช่วยกู้เขาจากมือของคนอธรรม
อิสยาห์ 30:3 : เพราะฉะนั้น การอารักขาของฟาโรห์ จะกลับเป็นความอับอายของเจ้า และที่กำบังในร่มเงาของอียิปต์กลับเป็นที่ขายหน้าของเจ้า
1 โครินธ์ 4:1 : ให้ทุกคนถือว่าเราเป็นคนรับใช้ของพระคริสต์ และเป็นผู้อารักขาสิ่งล้ำลึกของพระเจ้า
อิสยาห์ 30:2 : ผู้ออกเดินไปยังอียิปต์ โดยไม่ขอคำปรึกษาของเรา เพื่อจะไปลี้ภัยในความอารักขาของฟาโรห์ เพื่อจะหาที่กำบังในร่มเงาของอียิปต์
2 ซามูเอล 19:5 : โยอาบก็เข้ามาในพระราชวังทูลว่า <<วันนี้ฝ่าพระบาทได้ทรงกระทำให้ข้าราชการ ทั้งสิ้นของฝ่าพระบาท ผู้ซึ่งวันนี้ได้อารักขาพระชนม์ของฝ่าพระบาท ทั้งราชบุตรและราชธิดาและชีวิตของบรรดามเหสี และสนมทั้งหลายของฝ่าพระบาทให้เขาได้รับความละอาย
2 พงศาวดาร 25:24 : และพระองค์ทรงริบทองคำ และเงินทั้งหมด และเครื่องใช้ทั้งสิ้นซึ่งพบในพระนิเวศของพระเจ้า ในความอารักขาของโอเบดเอโดม ทั้งคลังทรัพย์ของสำนักพระราชวัง พร้อมกับคนประกันด้วย และพระองค์เสด็จกลับไปยังสะมาเรีย
เอสเธอร์ 2:3 : และขอพระราชาทรงแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทุกมณฑล แห่งราชอาณาจักรของพระองค์ ให้หาหญิงพรหมจารีสาวงามมายังฮาเร็มในสุสาเมืองป้อม ให้อยู่ในอารักขาของเฮกัยขันทีของพระราชาผู้ดูแลสตรี และขอประทานเครื่องประเทืองผิวสำหรับหญิงเหล่านั้น
เอสเธอร์ 2:8 : เมื่อรับสั่งของพระราชา และกฤษฎีกาของพระองค์ประกาศออกไป และเมื่อเขารวบรวมหญิงสาวทั้งหลายเข้ามาในสุสาเมืองป้อม เอสเธอร์ก็ถูกนำเข้ามาไว้ในราชสำนัก อยู่ในอารักขาของเฮกัยผู้ดูแลสตรี
เอสเธอร์ 2:14 : เธอเข้าไปเฝ้าเวลาเย็น และในเวลาเช้าเธอกลับออกมาใน ฮาเร็มที่สองในอารักขาของชาอัชกาส ขันทีของพระราชาผู้ดูแลนางห้าม เธอไม่ได้เข้าไปเฝ้าพระราชาอีก นอกจากพระราชาจะพอพระทัยในเธอ และทรงเรียกชื่อเธอให้เข้าเฝ้า
จากข้อพระคัมภีร์ดังกล่าวพอจะสรุปสั้นๆให้เข้าใจเกี่ยวกับการ “อารักขา” คือ
การปกป้อง ดูแล และคุ้มครอง อะไรก็ตามที่เราได้รับมา หรือได้รับมอบหมายมาจากพระเจ้า ให้ดีที่สุด เกิดผลที่สุดตามวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็น ชีวิต ของมีค่า ธรรมชาติ คริสตจักร มนุษย์ สิ่งแวดล้อม บ้านเมือง จังหวัด ประเทศ โลก ความสัมพันธ์ และทรัพย์สินเงินทอง
ถ้าผู้อ่านท่านใดสามารถตีความให้กว้างกว่านี้ก็สามารถเสนอเข้ามาได้ เพื่อเป็นการแบ่งปันความคิดเห็น และขยายมุมมองให้ทุกคนได้มีปัญญามากขึ้น ก็อารัมภบทกันมาพอสมควร คิดว่าผู้อ่านคงเห็นภาพ และเริ่มทำความเข้าใจกับคำว่า “อารักขา” มาได้บ้างแล้ว
ทีนี้ ผมขอนำประสบการณ์เรื่องราว รวมถึงบรรยากาศสวยๆมาแบ่งปันให้ทุกท่านนะครับ
“ก้าวแรกขึ้นดอยหลวงเชียงดาว”
ก่อนจะก้าวขึ้นดอยหลวง เราจะต้องมาทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ ทั้งภาครัฐ คนที่มีจิตอาสา รวมถึงผู้ที่เป็นคนดูแลท้องที่นั้น มาพูด และเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวต่างๆของดอยหลวงเชียงดาว โดยเริ่มจากประโยคที่มาปลุกจิตสำนึกของทุกคนในทริปนี้มากๆนั่นก็คือ การมาเยือนที่นี่ เราทุกคนคือนักศึกษา ไม่ใช่นักท่องเที่ยว เรามาเพื่อพิทักษ์ ไม่ได้มาเพื่อพิชิต แบกอะไรมา ก็ให้แบกกลับ เราจะไม่ทิ้งอะไรไว้ “เก็บ” แค่ภาพถ่าย “ทิ้ง” ไว้แค่รอยเท้า วิธีคิดแบบนี้คือแนวคิดของการ ดูแล ปกป้อง และคุ้มครอง อย่างแท้จริง
และสำหรับการสร้างจิตสำนึกที่ดี ก็จะมีการประทับตราสแตมป์โดยให้เราเลือกกันเองว่า เราต้องการจะเป็นผู้พิชิต หรือผู้พิทักษ์ โดยอันนึงเป็นผู้พิชิต และอีกอันนึงเป็นผู้พิทักษ์
ถ้าต้องการเป็นผู้พิทักษ์ ก็ให้เราเลือกตราประทับอันซ้าย จะเห็นได้ว่าเราผู้เป็นแขกมาเยี่ยมเยียนพื้นที่นั้นจะถูกรายล้อมไปด้วยธรรมชาติ และสิ่งมีชีวิตอย่างกลมกลืน ดื่มด่ำกับความสวยงาม และการทรงสร้างของพระเจ้า ไม่ทำลาย ไม่ทิ้งสิ่งของแปลกปลอมเอาไว้ ในอีกทางหนึ่งคือถ้าเราเลือกตราประทับอันขวาก็เป็นการแสดงเจตนารมณ์ที่จะบ่งบอกว่าเรามาพิชิตยอดเขาโดยใช้ธรรมชาติ และสิ่งมีชีวิตส่งเสริมให้เราไปถึงยอดนั้นให้ได้
การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์จึงเป็นแนวความคิดตามหลักการของพระคัมภีร์ที่เราควรปลูกฝังให้กับทุกคน โดยเฉพาะตัวเราเอง เพราะเป็นการทำให้การทรงสร้างได้รับการครองครอง และดำรงอยู่ตามวัตถุประสงค์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง
จริงอยู่ที่มีคนเคยบอกไว้ว่าการอยู่บนโลกนี้มันเป็นเรื่องชั่วคราว ใช้ชีวิตให้เต็มที่ไปเลย พิชิตทุกขุนเขา ท้องฟ้า แม่น้ำ และผืนทะเล แต่การเป็นเรื่องชั่วคราวนั้นเป็นแค่ชั่วคราวของเรื่องราวชีวิตเราแต่ละคนเท่านั้น ใจความสำคัญก็คือเรายังคงต้องส่งต่อความสวยงาม ของสิ่งมีชีวิต และธรรมชาติเหล่านี้ไปยังคนรุ่นถัดไปอีก ไม่ใช่ให้หมดสิ้นที่รุ่นของเรา
หลังจากที่เราได้ฟังเจตนารมณ์ของเจ้าหน้าที่และบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว เราก็ร่วมรับประทานอาหารมื้อเบาๆให้พออิ่ม และกลับเข้าที่พักที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ต้นไม้ และความเย็น 20 องศา เพื่อนอนเอาเรี่ยวแรงไปเดินขึ้นดอยหลวงในวันรุ่งขึ้น
ด้วยความที่ 2 ปีที่ผ่านมาเราเผชิญกับการปิดเมืองเนื่องจากโควิด ทำให้หลายโรงแรม และที่พักต่างๆถูกปล่อยทิ้งร้างไปนาน การกลับมาครั้งนี้เราก็ได้สัมผัสถึงความสดชื่นของธรรมชาติ ต้นไม้ และกลิ่นดินที่พร้อมต้อนรับทุกคนที่เดินทางมา ที่นี่เต็มไปด้วยความเขียวสด และเย็นสบาย
เราเข้านอนกันตั้งแต่ 21:00 ฟ้ามืดสนิท อากาศเย็นสบาย และได้ยินเสียงจั๊กจั่นร้องทั้งคืน จากนั้นต้องตื่นตี 5 เพื่อจะต้องขึ้นรถไปที่ทางขึ้นดอยหลวงเชียงดาว ใช้เวลาเดินทางจากที่พักประมาณ 45 นาทีบนหลังรถกระบะ ลมช่วงเช้ามืดในอุณหภูมิกว่า 18 องศา ที่ปะทะเข้าหน้าก็ทำให้หน้าช้าไปขณะหนึ่งเหมือนกัน
เมื่อเดินทางถึงที่หมายแล้ว ก่อนเริ่มเดินทางเราก็ต้องเติมพลังกันก่อน โดยอาหารมื้อเช้าก่อนเดินทางขึ้นไปยอดเขาเชียงดาว ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้จัดมื้ออาหารที่มีพลังงานสูง เรียกได้ว่ารับประทานกันโดยไม่ต้องกลัวอ้วนกันเลย เพราะล้วนแต่เป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่นข้าวเหนียวหมูเป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อจะต้องเตรียมร่างกายให้สามารถเดินทางชัน และไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลังจากรับประทานอาหารเช้าจนอิ่มที่สุดเท่าที่จะอิ่มได้ เราก็มารับฟังกติกา และการเดินทางบนเส้นทางนี้กับเจ้าหน้าที่ที่เดินร่วมไปกับเราด้วยกันอีกครั้ง ซึ่งโทรศัพท์มือถือของเรามีความจำเป็นที่จะช่วยให้การเดินทางครั้งนี้สนุกขึ้น โดยหัวข้อที่เราควรศึกษาและเตรียมตัวทำตามมีดังนี้
เราจะเห็นว่ามีการให้ Download App ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อจะทำให้เรา Scan แต่ละหมุดที่อยู่ตามเส้นทาง เพื่อเรียนรู้ความเป็นมาเป็นไปของพื้นที่นั้นๆ ได้ทั้งความรู้ และความเพลิดเพลินระหว่างการเดินทางขึ้นดอยหลวง
นักศึกษาธรรมชาติทุกท่านที่จะเข้าศึกษาธรรมชาติที่ดอยหลวงเชียงดาวในฤดูกาล 2022 นี้เป็นต้นไป จะต้องดาวน์โหลด Offline Application “Doi Chiang Dao Biosphere” ไว้ในโทรศัพท์มือถือ ก่อนวันออกเดิน โดยสามารถดาวน์โหลดได้จากลิงค์
สำหรับ iOS: Download app on App Store
สำหรับ Android: Download app on Google Play
“มหัศจรรย์ดอยหลวงเชียงดาว พื้นที่สงวนชีวมณฑลขององค์การยูเนสโกแห่งใหม่ในประเทศไทย”
เป็นโครงการออกแบบนวัตกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม Offline application ที่ต้องดาวน์โหลดไว้ก่อนเข้าพื้นที่ ตอบโจทย์เส้นทางศึกษาธรรมชาติดอยหลวงเชียงดาวที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ โดยจะมีจุดติดตั้งฐานสแกน QR CODE ไว้จำนวน 28 ฐานตลอดเส้นทางจนถึงยอดดอยหลวงเชียงดาว
เพื่อช่วยให้นักศึกษาธรรมชาติทุกคนได้เรียนรู้ เข้าใจ เคารพ ซาบซึ้งกับคุณค่าความหลากหลายทางนิเวศน์ระหว่างทาง และสวนดอกไม้นานาพรรณหนึ่งเดียวในโลกของเจ้าหลวงคำแดง เทพอารักษ์ใหญ่แห่งล้านนาบนยอดดอยหลวงเชียงดาว
ขั้นตอนการใช้ DOI CHIANG DAO BIOSPHERE APPLICATION
1. ดาวน์โหลด Application จากลิงค์ไว้ในโทรศัพท์มือถือก่อนวันออกเดิน
2. ณ ที่ทำการหน่วยพิทักษ์ป่าขุนห้วยแม่กอก (เด่นหญ้าขัด) เปิดใช้ application โดยการใส่ชื่อและรหัส 4 ตัวสุดท้ายของรหัสอบรม
3. เริ่มสแกน QR Code จากฐาน QR Code ที่ 00 บริเวณก่อนทางขึ้นไปยังป้ายเส้นทางศึกษาธรรมชาติดอยหลวงเชียงดาว
4. สแกน QR Code ระหว่างทาง พยายามมองหาฐาน QR Code จำนวน 28 จุด ตามแผนที่ใน application เพื่อเรียนรู้เรื่องราวระหว่างทาง
5. การสแกนแต่ละ QR Code จะได้ 1 คะแนนสะสม เมื่อสะสมได้ 20 คะแนนเป็นต้นไป จะได้รับวีซ่า 2022 เป็นรางวัลสำหรับนักศึกษาธรรมชาติตั้งใจเรียนรู้ และใช้เป็นส่วนลดเล็กๆ น้อยๆ กับร้านค้าในเชียงดาวที่ร่วมด้วย
6. หากพลาดสแกน QR Code จุดใด สามารถสแกนใหม่ตอนเดินกลับได้
7. หากใครไม่ได้ขึ้นยอดดอยหลวง อยู่ที่ QR 24 ลานกางเต๊นท์อ่างสลุง สามารถกดอ่าน “บทสรุปแห่งการเดินทาง” ได้เลย
เส้นทางศึกษาธรรมชาติดอยหลวงเชียงดาว ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว จะมีจุด Check In ทั้งหมด 26 จุดบนทางปกติ
ผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าต้องปฏิบัติ 16 ข้อดังต่อไปนี้
1. กำหนดพื้นที่สำหรับกิจกรรมศึกษาธรรมชาติได้ในบริเวณหรือเส้นทางที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนดไว้เท่านั้น เฉพาะบริเวณเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติดอยหลวงเชียงดาว จากหน่วยพิทักษ์ป่าขุนห้วยแม่กอก (เด่นหญ้าขัด) จุดพักแรมอ่างสลุง และยอดดอยหลวงเชียงดาว เท่านั้น ไม่อนุญาตให้เดินออกนอกเส้นทางและ เข้าไปในพื้นที่หวงห้ามอื่น
เราจะมีส่วนร่วมในการรักษา ปกป้อง และดูแลได้อย่างไร
พื้นที่สงวนชีวมณฑลดอยเชียงดาว ไม่เพียงแต่มีความสำคัญในเชิงทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น หากแต่คำว่า มนุษย์และชีวมณฑล (Man and Biosphere) ให้คุณค่าของธรรมชาติและมนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ทั้งนี้ ชุมชนโดยรอบดอย หลวงเชียงดาว ก็มีความหลากหลายทั้งขาติพันธุ์และวิถีชีวิต มีรายได้หลักมาจากการเกษตรและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ มีความเข้มแข็งในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ จากลักษณะเฉพาะดังกล่าว ทำให้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากต้องการเดินทางมาศึกษาธรรมชาติในพื้นที่ ดอยหลวงเชียงดาว ซึ่งเป็นพื้นที่แกนกลาง (Core Area) ของพื้นที่สงวนชีวมณฑลดอยเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีความเปราะบางเป็นอย่างยิ่ง หากขาดความรู้ความเข้าใจ ก็อาจทำให้ทรัพยากรธรรมชาติที่มี คุณค่าระดับสากล รวมถึงวิถีชีวิตดั้งเดิมถูกทำลายได้โดยง่าย จึงมีความเหมาะสมที่จะสร้างนวัตกรรมเพื่อกระตุ้นให้เกิด การท่องเที่ยววิถีใหม่ (New Normal) ตามแนวทางการพัฒนายั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (United Nations) ที่ มุ่งเน้นใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ที่ผ่านมากว่า 10 ปีทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ขับเคลื่อนงานสังคมและสิ่งแวดล้อม อย่างใกล้ชิดกับภาคีเรารักดอยหลวงเชียงดาว ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของภาคประชาชนประกอบไปด้วย เครือข่ายนักวิชาการ นักกิจกรรมด้านศิลปวัฒนธรรม กลุ่มเกษตรกรอินทรีย์ โดยขับเคลื่อนงานด้านการดูแลรักษาสิ่ง แวดล้อมและชุมชน ร่วมกับหน่วยงานองค์กรท้องถิ่นทุกภาคส่วน อุทยานแห่งชาติต่างๆ รวมถึงสถานีวิจัยสัตว์ป่า สถานีป้องกันไฟป่า หน่วยจัดการป่าต้นน้ำ ภาคท้องถิ่น และชุมชนใน อ.เชียงดาว
หากคุณต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติอันทรงคุณค่าระดับโลกของพื้นที่สงวนชีวมณฑลดอยเชียงดาวแห่งนี้ นอกจากการเข้าศึกษาธรรมชาติในเส้นทางศึกษาธรรมชาติดอยหลวงเชียงดาวแล้วยังสามารถเข้าร่วมกิจกรรมทางสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่มีตลอดปี หรือสมทบทุนให้กับกองทุนพื้นที่สงวนชีวมณฑลดอยเชียงดาว ที่ก่อตั้งโดยภาคีเรารักดอยหลวงเชียงดาว เพื่อนำทุนมาสนับสนุนการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทั้งกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว และเครือข่ายชุมชนทั้ง 7 ตำบลของอำเภอเชียงดาว
การระดมทุนที่ผ่านมา อาทิ
– การแก้ปัญหาฝุ่นควันไฟป่า
– การสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่
– การสมทบกองทุนเพื่อดูแลป่าของชุมชนต้นน้ำ
กิจกรรมทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ที่สามารถเข้าร่วมได้ อาทิ
– ทำแนวกันไฟป่ากับเจ้าหน้าที่และชุมชน
– ปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว
– ศึกษาเรียนรู้วิถีเกษตรอินทรีย์
– ท่องเที่ยววิถีชนเผ่าพื้นเมือง
– ห้องเรียนธรรมชาติ
– เดินศึกษาธรรมชาติโดยรอบดอยหลวงเชียงดาว
– เรียนรู้ป่าชุมชน
– บริการออกแบบกิจกรรม CSR ให้องค์กร
โดยสามารถติดต่อทางภาคีเรารักดอยหลวงเชียงดาว ได้จากเฟสบุคเพจนี้
เรารักดอยหลวงเชียงดาว – We love Doi Luang Chiang Dao
เมื่อเราได้รับคำอธิบายเข้าใจจนพร้อมเดินทางแล้ว สิ่งที่เราลืมไม่ได้เลยคือ “ลูกหาบ” ผู้ช่วยแสนดีมีพระคุณที่จะช่วยแบกภาระหนักทั้งปวงขึ้นไปบนยอดดอยนั้น ไม่ว่าจะเป็นถุงนอน เต๊นท์ ข้าวสารอาหารแห้ง อาหารเปียก เสื้อผ้า และเครื่องดำรงชีวิตของเราทั้งหมด เหลือไว้แต่สิ่งที่จำเป็นต่อการเดินทางเท่านั้น เช่นน้ำ และถุงเก็บปัสสาวะ อุจจาระ ยาดม ยาหม่อง เป็นต้น เราต้องประเมินกำลังของเราให้ดีก่อนคิดจะแบกสิ่งของเหล่านั้นขึ้นไปด้วย
บางทีเราก็แอบคิดนะว่าการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้เราแบกอะไรไว้บ้าง บางเรื่องเราแบกโดยที่ไม่จำเป็นต้องแบก ถ้าเรามานั่งคิดดีๆ เรามีเวลาอยู่ไม่นาน เราแบกสิ่งที่จำเป็นเท่านั้นก็พอแล้ว เดินท่องโลกแบบเบาๆแล้วใช้ชีวิตบนโลกใบนี้แบบเพลินๆ บนโลกใบนี้ซึ่งมันคือบ้านหลังใหญ่ของผมนั่นเอง Enjoy Life นะครับ
แล้วเวลานี้ก็มาถึงคือการเริ่มเดินตั้งแต่ก้าวแรกไปอีก 8.5 กิโลเมตร ยอมรับว่าทั้งตื่นเต้น สนุก ท้าทาย และกลัวอยู่ไม่น้อย พร้อมแล้วไปกันเลย
ตลอดเส้นทางเราจะพบสังคมพืชกึ่งอัลไพน์ ที่เชื่อมโยงกันและกัน ตลอดเส้นทางมีความชื้น และความสดชื่นในเวลาเดียวกัน
ทางเดินช่วงเช้า สายๆ ทำให้มีแสงแดดอุ่นๆส่องเข้ามาพอดีๆ เพิ่มสีสันของการเดินทาง ลืมความง่วงไปเลยครับ และการหยิบกล้องตัวโปรขึ้นมาเก็บภาพไว้เป็นความทรงจำก็ทำให้เพลิดเพลิน และโดยเฉพาะมีเพื่อนร่วมเดินกันหลายๆคนก็ยิ่งทำให้เราเหนื่อยน้อยลง หรือบางคนอาจจะเหนื่อยมากขึ้นเพราะพูดไม่หยุดเลย เล่าทั้งประสบการณ์ที่เคยเจอ มุมมองต่อธรรมชาติ และมุกตลกนานาเรื่องราว สร้างความบันเทิงไปอีกระดับ
บางเส้นทางก็เจอต้นไม้หนาแน่นมาก เต็มไปด้วยความชื้น แต่บางเส้นทางก็โปร่งใส ทำให้มองเห็นภูเขาที่สะท้อนกับแสงของดวงอาทิตย์ ทำให้เรามองเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามากยิ่งขึ้นไปอีก ความจริงอย่างนึงคือ ความสว่างทำให้เรามองเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เพราะมันสะท้อนความจริง ความรัก และความเมตตาของพระองค์ พาชีวิตของเรามาอยู่ในความสว่างนะครับ
ต้นไม้ และดอกไม้นานาพันธุ์ สะท้อนความเข้าใจเรื่องบุคลิกของพระเจ้าว่าพระองค์ทรงประกอบไปด้วยความอ่อนโยน ความสุภาพ และการใส่ใจทุกการแต่งแต้มของสีสันลงไปบนสิ่งมีชีวิตต่างๆ เชื่อไหมว่า บางจังหวะที่เราได้เดิน ก็มีลมเย็นๆพัดมาโดนแก้มของเรา พร้อมการโบกไหวของดอกไม้ ราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นกำลังพูดคุยกับเรา ต้อนรับเรา และอยากสนทนาทักทายปราศรัยอย่างมีมิตรไมตรีกับเรา นี่แหละที่เขาเรียกว่า “สิ่งมีชีวิต”
สิ่งมีชีวิตหลายชนิดปรากฏตัวระหว่างทางให้เราได้เห็น บางเส้นทางเดินที่เราเดินเงียบๆคนเดียวก็รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาตั้งใจเดินทางมาต้อนรับผู้พิทักษ์อย่างเราๆ มาแสดงความยินดี ท่าทางการกินอาหารที่น่ารัก และพวกเขาก็ยังรู้สึกปลอดภัยเมื่อพวกเราเยี่ยมเยียน สัมผัสได้จริงๆเลยว่าเขาอุ่นใจ ปลอดภัย และมีไมตรี
สิ่งที่รู้สึกแปลกใจ และรู้สึกดีมากๆก็คือ ที่แห่งนี้ไม่มีขยะให้เห็นเลยแม้สักชิ้นเดียว เป็นการยืนยันว่าบุคคลที่ดูแล รวมถึงนักท่องเที่ยวที่เคยมาที่นี่ต่างก็ตั้งใจ และเตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อที่จะมาเป็นผู้พิทักษ์ มาดูแล มาปกป้อง และรักษา พระเจ้าคงพอพระทัยอย่างมากที่ไม่มาทำลายความตั้งใจที่อุตส่าห์สรรสร้างมาอย่างดีเพื่อให้มาดูแลมนุษย์
ยิ่งเดิน ยิ่งเพลิน ยิ่งได้ใคร่ครวญถึงชีวิต ทบทวนเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา และนึกถึงอนาคตที่พระเจ้าเป็นเจ้าของเวลาเหล่านั้นด้วย เราได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุดในรอบปี ความสุขุม สติ และสมาธิ ก็ทำให้เรา Focus พระเจ้าได้ชัดเจนขึ้นไปอีก
ถ้าได้มาเห็นด้วยตัวเอง ทุกภูเขาที่สะท้อนกับแสงอาทิตย์ ก็ตรึงความรู้สึกให้เราสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าจริงๆ บางภาพกดชัตเตอร์ครั้งเดียว ไม่ต้องประดิษฐ์มากก็สวยแล้ว ธรรมชาติที่นี่เป็นแบบนั้นจริงๆครับ
การได้เดินเป็นขบวนทำให้เราได้พูดคุย และแลกเปลี่ยนความคิดเรื่องธรรมชาติ วิธีคิดที่จะทำให้โลกนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้น รวมถึงประสบการณ์ดีๆของแต่ละคน ทำให้การเดินถึงแม้จะไกล ชัน หนาวบ้าง ร้อนบ้าง เป็นเรื่องที่ง่ายถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น
ความสุขจริงๆอาจจะไม่ได้หมายถึงการได้พิชิตสถานที่ แต่เป็นการเรียนรู้ และเป็นนักศึกษาระหว่างทางเดิน ซึ่งจริงๆความสุขมันคงจะซุกซ่อนอยู่ละแวกนั้นแหละ พระเจ้าคงมีพระทัยที่ได้สร้างสิ่งเหล่านี้มาเพื่อให้เราได้ดูแล และในขณะเดียวธรรมชาติก็คงจะดูแลเรากลับเช่นกัน
หลังจากที่เราได้เดินไปสักพักก็พบว่าแถวการเดินเริ่มห่างกันมากขึ้น แถวแตก แรงเริ่มหมด บางคนก็ต้องการปลดทุกข์ บางคนเริ่มหิวน้ำ บางคนก็เมื่อยขา แขน หิว เราก็จะเริ่มเห็นการช่วยเหลือเกื้อกูล แบ่งปัน และให้กำลังใจกันในระหว่างทางนั้น
ไม่นานนักเราก็ได้นั่งพักทานอาหารมื้อเล็กๆ จนหายเหนื่อย เมื่อได้พักจนเรี่ยวแรงเริ่มกลับคืนมา เราก็ออกเดินทางกันต่อ แต่ต้องยอมรับว่าครึ่งหลังจากนี้เราเดินกันช้าลงกว่าตอนแรกมาก เนื่องจากความล้า และความชันที่ยิ่งมากยิ่งขึ้น ความเย็นก็ยิ่งเข้ามาปกคลุมเรามากขึ้นอีก ซึ่งเป็นความเย็นที่มาจากธรรมชาติ ป่าเขา บางจุดแทบจะมองไม่เห็นแสงอาทิตย์เลย เพราะถูกป่าไม้บดบัง แต่ก็สวยและกลมกลืนไปอีกแบบหนึ่ง
ในที่สุดก็ถึงยอดดอยหลวงเชียงดาว ต้องบอกว่าเฮือกสุดท้ายจริงๆ แต่ในความเหนื่อยนั้นเมื่อขึ้นมาถึงข้างบนก็พบว่าเราถึงจุดหมายด้วยขาเราจริงๆ และระหว่างทางเราก็ไม่ได้ทำลายธรรมชาติเลยซักนิดเดียว ไม่ทิ้ง ไม่เด็ด ไม่หัก และไม่ฆ่า และพบเพื่อนๆหลายคนขึ้นมาถึงแล้วนั่งพักอยู่ในเต๊นท์ ยืดเส้นสายสบายตัว บนยอดนั้นลมพัดตลอดเวลา ทั้งแรงและเบา อุณหภูมิ 14 – 19 องศา
และก็ต้องขอบคุณพระเจ้า และทีมงาน Staff ที่เป็นเรี่ยวแรงในการกางเต๊นท์ให้เราเป็นที่เรียบร้อย เราสามารถเลือกได้เลยว่าจะนอนเต๊นท์ไหนดี
และเราก็เลือกเต๊นท์ที่อยู่ไกลที่สุดเนื่องจากเรามาช้าที่สุด เพราะมัวแต่เก็บภาพมาให้พี่น้องทุกคนได้อ่านได้ดูในบทความนี้
แต่การขึ้นดอยหลวงยังไม่จบเพียงแค่นั้น ถ้าต้องเห็นวิวจากจุดที่สูงที่สุดจะต้องขึ้นไปอีกประมาณ 30 นาทีจากที่พัก ซึ่งเป็นทางที่ชัน และต้องใช้ความระมัดระวังสูง รวมถึงความกดอากาศก็เริ่มเปลี่ยน อุณหภูมิก็เปลี่ยนเร็วมาก ลมก็แรงอีก แต่ก็ยังมีคนกว่า 80% ของทริปนี้เลือกที่จะไปต่อ เพียงเพื่อให้ได้เห็นวิว และดวงอาทิตย์บนจุดสูงสุดนั่นเอง
ยิ่งขึ้นไป ก็ยิ่งเห็นหมอกที่หนาขึ้นจนแทบไม่เห็นอะไรเลย อุณหภูมิก็ลดลงทุกระดับเลยครับ
บางทีการได้มองเห็นสิ่งที่ไม่ได้คิดไว้ในใจ หรือไม่ได้คาดหวังเอาไว้ ก็อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ และมันก็สวยไปอีกแบบจริงๆ บางครั้งพระเจ้าก็อยากให้เราได้อยู่ในพื้นที่ใหม่ๆบ้าง ได้เห็นสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดบ้าง ได้เรียนรู้เรื่องราวที่ไม่ได้เตรียมตัวเอาไว้ เพื่อให้เรารู้ว่าโลกนี้มันกว้างใหญ่เกินกว่าที่เราจะเรียนรู้ภายในชีวิตเดียว เราเป็นเพียงแค่คนตัวเล็กๆเท่านั้น
ปัญหาในชีวิตบางอย่างของเราเมื่อเอาไปเทียบกับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าก็คงจะเล็กไปเลย อาจจะเป็นวิธีคิดที่จะทำให้เราไว้วางใจในพระเจ้าได้มากขึ้น เพราะเรื่องบางเรื่องก็ใหญ่ และยากเกินสิ่งที่เราจะควบคุมได้ คงเป็นที่มาของคำว่า “ไว้วางใจ” พระเจ้า
ในที่สุดก็ได้ขึ้นมาถึงจุดที่สูงที่สุดของยอดดอยหลวงเชียงดาว
และเราก็รออยู่บนนั้นกว่า 30 นาที ชื่นชมความกว้างใหญ่ และความเย็น แต่ท้ายที่สุดกลับมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ตกดินตามที่คิดไว้ เนื่องมาจากหมอกที่หนาจัดบดบังแสงอาทิตย์จดหมด
ผมไม่ได้เสียดายที่เรามองไม่เห็นแสงอาทิตย์ หรือวิวสวยๆสูงยอดเขา ทั้งๆที่เราปีนขึ้นมา และต้องการจะเห็นมัน แต่เราขอบคุณพระเจ้าที่เรายังได้สัมผัสถึงความเย็นราว 10 องศา และได้เห็นหมอกที่หนาจัดพัดผ่านร่างกายเราไปอย่างช้าๆ เหมือนพระเจ้ากำลังโอบกอดเราด้วยความสดชื่นและบอกกับเราอีกว่า ไม่ต้องเสียดาย พรุ่งนี้ก็มีอีก 1 วัน และก็จะมีอีก 1 วันไปเรื่อยๆ แล้วแต่พระเจ้าจะให้โอกาสเรากี่เดือน กี่ปี ในการที่จะใช้ชีวิตดูแลความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ต้องมาอีกแน่ๆครับ
สำหรับทริปนี้ต้องขอขอบพระคุณพี่นา สุวรรณา เอี่ยมพิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบอร์แทรม (1958) จำกัด ที่เห็นคุณค่าของสิ่งทรงสร้างที่มาจากพระเจ้า ลงทุน ลงแรง ในการสร้างจิตสำนึกของการเป็นผู้พิทักษ์ให้เกิดขึ้น ทั้งการจัดนิทรรศการบอกเล่าเรื่องราวของดอยหลวงเชียงดาว รวมทั้งจัดทริปที่มีคุณค่าให้ผมได้ไปสัมผัส และชมความงดงามในครั้งนี้ ซึ่งถ้าไม่ได้ไปเห็นด้วยตาตัวเองก็จะไม่เชื่อเลยว่าสวยงามขนาดนี้
การมาขึ้นดอยหลวงเชียงดาวในครั้งนี้ ต้องขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ สื่อมวลชน เพื่อนร่วมเดินทาง ได้สอนและทำให้รู้ว่าเราในฐานะของมนุษย์ที่เป็นส่วนหนึ่งของการทรงสร้างจากพระเจ้า ก็ต้องดูแล อารักขา ทุกอย่าง เป็นอย่างดี เพื่อชีวิตที่เราอยู่ในโลกชั่วคราวนี้จะส่งต่อความสวยงามไปถึงคนรุ่นถัดไป
เปลี่ยนจาก “ผู้พิชิต” มาเป็น “ผู้พิทักษ์” ด้วยกันนะครับ
ขอบพระคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตอนท้ายสุดนี้ ถ้ามีเรื่องราวดีๆที่อยากให้ผมช่วยเขียน ช่วยเล่า ช่วยเดินทางไปทำเรื่องราว ก็ติดต่อมาได้ส่วนตัวเลยนะครับ Inbox มาที่ Page Christlike ได้เลยนะครับ
ขอพระเจ้าอวยพระพร
MR.PROMISE
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น