คุณเป็นคนนี้หรือเปล่า
– คนที่คิดว่าทำไมเราต้องสนใจเรื่องที่เรื่องที่มันผิดพระคัมภีร์ชัวร์ๆด้วย เรื่องนี้ก็ผิดเห็นๆอยู่แล้ว พระคัมภีร์ก็เขียนไว้ชัดเจน
– ต่อด้วยการอ้างอิงจาก มัทธิว 5:37 ที่ว่า “จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแต่เพียงนี้ก็พอ คำพูดเกินนี้ไป มาจากความชั่ว (หรือ มารร้าย)”
– พระคัมภีร์ก็เขียนไว้ชัดเจนอยู่แล้ว ทำไมคริสเตียนถึงมีพวก LGBTQ+ มาเรียกร้องอะไรกันนักหนา ไม่รู้หรือว่ามันผิดพระคัมภีร์
ถ้าคุณคือคนนี้ คุณมาอ่านถูกบทความแล้วครับ
ผมจะบอกเหตุผลว่าทำไมคริสเตียนไทยถึงยังไม่สามารถจัดเรื่องนี้ได้ ถ้ายังทำ 3 ข้อนี้อยู่
- ไม่คุยกับ LGBTQ+
ถ้าคุณยังไม่เคยพูดคุยกับคนที่เป็นประเด็นอยู่ คุณจะสามารถเข้าใจประเด็นอย่างถ่องแท้ได้อย่างไร
– คุณจะไม่สามารถแก้ปัญหา “LGBTQ+” ได้ตรงจุด ถ้าคุณไม่เคยพูดคุยและรับฟังกลุ่มคนจาก LGBTQ+
– คุณจะไม่สามารถแก้ปัญหา “การค้าประเวณี” ได้ตรงจุด ถ้าคุณไม่เคยพูดคุยและรับฟังปัญหาจากคนขายบริการทางเพศ
– คุณจะไม่สามารถแก้ปัญหา “ลูกติดเกม” ได้ตรงจุด ถ้าคุณไม่เคยพูดคุยและรับฟังลูก
ถ้าคุณอยากจะแก้ปัญหาไม่ว่าจะเรื่อง LGBTQ+, เรื่องการทำแท้ง, เรื่องค้าประเวณีถูกกฏหมาย ไม่ว่าจะเรื่องไหน ทุกเรื่องมีจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาเหมือนกัน นั่นคือการพูดคุยและรับฟัง
ถ้าเราไม่เคยคุยกับคนที่เป็น Gay เราจะรู้ได้อย่างไรว่า Gay คิดอย่างไร
ขอเอาข้อความที่แชร์กันต่อมาจากโบสถ์ต่างประเทศอันหนึ่งที่ผมชอบอันนึง ข้อความเขียนว่า
“Don’t just invite people to Church. Invite them to lunch, invite them to your home, invite them to your heart, tell them you love them. Tell them you’ll always be there for them. You are the Church, not a building”
แปลเป็นไทยคือ “อย่าแค่เชิญคนไปคริสตจักร แต่เชิญพวกเขาไปกินอาหารกลางวัน เชิญพวกเขาไปที่บ้านคุณ เชิญพวกเขาเข้าไปในหัวใจของคุณ บอกว่าคุณรักพวกเขา บอกพวกเขาว่าคุณจะอยู่ที่นั่นเพื่อพวกเขาเสมอ คุณคือคริสตจักร ไม่ใช่อาคารสถานที่
ประเด็นคือคนที่คุณจะเชิญจำเป็นต้องเป็นแค่ชายกับหญิงหรือเปล่า
คุณจะเชิญแค่คนที่ดูเป็นคนดีปราศจากความบาปมาคริสตจักรหรือเปล่า
คนที่พระเยซูไปคุยด้วยบ่อยๆคือใคร
พระเยซูมักจะไปหาคนที่สังคมตีตราว่าเป็นคนบาปทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นโสเภณี คนเก็บภาษี คนที่ผีเข้า คนป่วย คนที่สังคมถือว่าเป็นมลทิน
ถ้าคริสตจักรไม่เริ่มต้นที่จะคุยกับคนทุกประเภทอย่างที่พระเยซูทำ ก็เป็นการยากที่คริสตจักรจะสามารถทำเป้าหมายที่พระเจ้ามอบให้คริสตจักรได้
- ไม่แสวงหาความเข้าใจจาก LGBTQ+
ถ้าคุณผ่านข้อแรกมาได้คือการได้พูดคุยกับ LGBTQ+ แล้ว คุณอาจจะมีปัญหาที่ข้อนี้ก็ได้คือ คุณคุยกับคนกลุ่มนี้ไม่เป็น
ผมมั่นใจมากๆว่าคนส่วนใหญ่เวลาไปคุยกับ LGBTQ+ จะมีสัดส่วนการพูดจะเยอะกว่าการรับฟัง หรือเท่าๆกัน และเรามักจะมีความคิดว่า
– เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผิดพระคัมภีร์
– พวกเขาควรได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระเจ้า
– เราจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร
แต่นั่นแหละครับที่เป็นปัญหา การตัดสินไปก่อนแล้วทำให้การสื่อสารมันเป็นการที่เราพูดทางเดียว ซึ่งสำคัญที่จะทำให้คนเปิดใจได้จริงๆไม่ได้อยู่ที่ว่าเราพูดอะไร แต่อยู่ที่การรับฟังต่างหาก
โดยปกติเวลาที่คนเราเห็นอะไรไม่ตรงกัน โดยเฉพาะเรื่องละเอียดอ่อนเช่นการเมือง คนมักจะด่ากันมากกว่าการคุยด้วยเหตุผล ดังนั้นผมถึงชอบพวกรายการ debate ที่เอาคนจาก 2 ฝ่ายมาคุยกันด้วยเหตุด้วยผล เพราะเราจะได้เข้าใจความคิดเห็นของทุกฝ่ายมากขึ้น
ถ้าผมเกิดมีความเห็นที่ไม่ตรงกับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ที่มักหนีปัญหาไม่อยากคุยลึกกับเด็ก ก็มักจะอ้างความถูกต้อง อ้างอายุ หรือสั่งการแบบไม่ฟังเหตุผล ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไรรู้สึกอย่างไร แล้วก็มักจะไม่พยายามทำความเข้าใจของอีกฝ่ายด้วย หรือบางรายก็เดินหนีไม่คุยหายไปดื้อๆเลย
แต่ผมจะดีใจมากถ้ามีผู้ใหญ่ที่คิดไม่เหมือนกับผม มาคุยกับผมด้วยเหตุและผล ว่าเขาคิดเรื่องนี้อย่างไร ทำไมเขาถึงคิดแบบนั้น สิ่งที่เขาเชื่อมั่นมาจากอะไร และเราสามารถคุยกันโดยไม่ด่วนตัดสินอีกฝ่ายก่อนที่จะได้ทำความเข้าใจกันซะก่อน
ถ้าจะให้ผมแนะนำ อัตราส่วนในการพูดและการฟังควรจะเป็น เราพูด 10% และรับฟัง 90%
แล้วเราควรจะพูดอะไรในโควต้า 10% นั้น
สิ่งที่เราจะพูดนั้น ไม่ต้องแสดงความคิดเห็นอะไร แค่ถามคำถามแสวงหาความเข้าใจก็พอแล้ว
– ถามคำถามเพื่อจะเข้าใจอีกฝ่ายอย่างแท้จริง
– ไม่ต้องบอกว่าอะไรผิดอะไรถูก
– วางพระคัมภีร์และศีลธรรมความคิดทุกอย่างลงไว้ก่อน และเริ่มด้วยการรับฟัง
– จำไว้เสมอว่าเราไม่ได้มาเพื่อเทศนาว่าเขาบาปหนาขนาดไหน เรามาเพื่อรับฟังความคิดของเขา ความเชื่อของเขา ตัวตนของเขา
– รับฟังว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนั้น อะไรคือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลัง
การตัดสินไปก่อน โดยไม่เปิดใจพร้อมรับฟัง เป็นบ่อเกิดของแทบทุกปัญหาที่เป็นประเด็นในสังคม เมื่อต่างฝ่ายต่างติดสินอีกฝ่ายไปแล้ว โดยไม่เคยรับฟังกันจริงๆ
ดังนั้นถ้าอยากจะแก้ปัญหาจริงจัง เราต้องเริ่มต้นที่การรับฟังปัญหาจากเจ้าของเรื่องก่อน ยังไม่ต้องรีบไปคิดว่าคริสตจักรเราจะจัดการปัญหาเรื่องนี้อย่างไร จะวางมาตรการอย่างไรไม่ให้มี LGBTQ+ ในคริสตจักร ทิ้งเรื่องพวกนั้นไปก่อนและเริ่มต้นกับการเรียนรู้ความคิดของคนอื่นให้มากขึ้นได้เลยครับ
คุณอาจจะเคยเห็นการจัดสัมมนาของคริสตจักรต่างๆเกี่ยวกับเรื่อง LGBTQ+
– โดยส่วนมากก็จะเป็นงานที่เอาศิษยาภิบาล ศาสนาจารย์มาพูดคุยกันถึงเรื่องนี้
– หรือบางงานก็จะมีนักจิตวิทยาหรือว่าหมอมาร่วมด้วย
แต่จะมีสักกี่งานที่เชิญคริสเตียนที่กล้าบอกว่าตัวเองเป็น LGBTQ+ มาพูดคุยกันอย่างเคารพและให้เกียรติกัน
การจัดงานสัมมนาคือการพูดทางเดียว คือการบอกว่าฉันคิดอะไร และฉันต้องการอะไร ไม่ใช่การรับฟังปัญหาอย่างแท้จริง การรับฟังคือการถามว่า เธอคิดอะไร และเธอต้องการอะไร เพื่อทำให้เกิดการพูดคุยกันอย่างเข้าใจที่สุด
ถ้าจะเข้าใจอย่างแท้จริง คุณไม่เพียงแต่ต้องคุยกับกลุ่ม LGBTQ+ แต่คุณต้องพยายามอย่างดีที่สุดที่จะทำความเข้าใจ ซึ่งเราจะไม่สามารถแสวงหาความเข้าใจได้เลยถ้าเราไม่รับฟังอย่างจริงใจ
- คุยด้วยเหตุผล แต่ไม่มีความรักอยู่ในนั้น
ถ้าคุณผ่าน 2 ข้อแรกมาได้ เริ่มต้นคุยและรับฟังด้วยเหตุและผล อีกจุดหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือความรัก
สิ่งที่สำคัญ ซึ่งอาจจะสำคัญกว่าการแก้ปัญหาซะด้วยซ้ำ คือการเปิดใจพร้อมรับฟังโดยไม่ตัดสิน ไม่ว่าเราจะรู้สึกว่าเรื่องนั้นผิดมากขนาดไหนก็ตาม
ย้ำอีกครั้งนะครับ “รับฟังโดยไม่ตัดสิน”
เพราะถ้าเราไปด้วยเหตุและผล ศีลธรรมต่างๆมากมายในหัวที่เราได้เรียนมาจากพระคัมภีร์ มีแนวโน้มสูงมากที่เราจะตัดสินหรือพิพากษากลุ่ม LGBTQ+ ไปในใจแล้วเรียบร้อย
พระเยซูจัดการกับหญิงโสเภณีที่ถูกจับออกให้พระเยซูตัดสินอย่างไร
ถ้าว่ากันตามกฏหมาย ใครถูกจับได้ฐานประเวณี ต้องถูกเอาหินขว้างให้ตาย
แต่คำตอบของพระเยซูเท่มากๆ พระเยซูบอกว่าใครไม่มีบาปให้เอาหินปาก่อนได้เลย
เรากำลังปาหินใส่ LGBTQ+ ที่กำลังเดินเข้าคริสตจักรหรือเปล่า
เรากำลังทำให้คริตจักรไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยสำหรับ LGBTQ+ หรือเปล่า
เรากำลังผลักคนออกห่างพระเจ้ามากกว่าดึงคนมาหาพระเจ้าหรือเปล่า
ก่อนจะทำสิ่งใดอยากให้ลองคิดดู WWJD: What would Jesus do ถ้าเป็นพระเยซูจะทำอย่างไรในสถานการณ์นี้
สรุป
สรุปอีกครั้งนะครับ สำหรับ 3 ข้อที่เราพลาดกันอยู่
- ไม่คุยกับ LGBTQ+
- ไม่พยายามทำความเข้าใจ
- มีเหตุผลแต่ไม่มีความรัก
ถ้าคริสเตียนไทยยังทำ 3 สิ่งนี้อยู่ คงเป็นการยากที่คริสเตียนจะเป็นพระพรกับ LGBTQ+
ดังนั้นข้อแนะนำของผมคือ
- เริ่มต้นพูดคุยกับกลุ่ม LGBTQ+ หรือกลุ่มคนที่สนับสนุนเรื่องนี้
- พยายามทำความเข้าใจอย่างมากที่สุด วางข้อพระคัมภีร์ทุกข้อที่มีในหัวไปก่อน และเริ่มต้นคุยกันอย่างสุภาพและไม่ตัดสิน
- อธิษฐานขอความรักของพระเจ้าที่จะมีมากพอในชีวิตเราที่จะพูดคุยกันด้วยเหตุผลและเต็มไปด้วยความรักต่อทุกคนที่เราจะคุยด้วย
บทความนี้ผมจะไม่ได้พูดถึงว่าอะไรถูกอะไรผิดหรืออะไรคือขั้นตอนถัดไปนะครับ เพราะเรื่อง LGBTQ+ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ก่อนจะไปถึงเรื่องวิธีการแก้ปัญหาใดๆ เราทุกคนควรจะมีความรู้ความเข้าใจที่เกิดจากการพูดคุยซึ่งกันและกันก่อน ซึ่งผมคิดว่าถ้าเราได้คุยกันอย่างจริงจังแล้ว เราจะมีความเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น และสามารถเป็นพระพรต่อกลุ่ม LGBTQ+ ได้แน่นอนครับ
บทความ: สิทธีร์ ธีรกุลชน
ออกแบบภาพ: สิทธีร์ ธีรกุลชน
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น