บทความ

ความแตกต่างของ “การเจิม” vs “ความสามารถ”

ไม่ว่าคุณจะเป็นศิลปิน ครีเอทีฟ นักดนตรี พวกใช้จินตนาการ นักลงทุน ผู้บุกเบิก คุณครู ไม่ว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นั้นคืออะไร เราทุกคนล้วนรอคอยใครบางคนที่จะมาค้นพบความสามารถและไอเดียของเราอยู่ โดยส่วนมาก เราจะรอคนที่จะรับฟังเรา จ้างงานเรา โปรโมทเรา หรือเซ็นสัญญากับเรา หรือแม้กระทั่งเราเองที่พยายามหาทางโปรโมทตัวเอง เพราะคำนึงถึงแรงกดดันที่จะต้องเป็นคนสำคัญและมีคุณค่าบนโลกใบนี้

ถ้าคุณเคยถ่ายรูปด้วยกล้องฟิล์ม ก็จะรู้เลยว่ามันอาจไม่เป็นไปตามที่คุณคิดไว้ จนกว่าจะได้ล้างฟิล์มออกมา กล้องฟิล์มถูกออกแบบให้ต้องล้างในห้องมืดและผ่านหลายขั้นตอนในการล้างฟิล์มก่อนจะเห็นว่ารูปออกมาเป็นยังไง ระหว่างนั้น ถ้ามีใครเปิดประตูห้องมืดและเปิดไฟ ฟิล์มม้วนนั้นจะเสียในทันที และเราก็จะไม่ได้เห็นรูปที่ถ่ายไว้เลย

ส่วนยุคของกล้องโทรศัพท์มือถือ เราจะเห็นรูปที่ถ่ายได้ทันที และยังโพสต์ลงโซเชียลมีเดียได้เลยอีกด้วย ในทันทีที่รูปเหล่านั้นถูกอัพโหลดบนโลกออนไลน์ คนจากอีกซีกโลกก็พร้อมเข้าถึงวิถีชีวิตของเราได้ ขั้นตอนการรอคอยนี้ถูกจำกัดออกไปอย่างสิ้นเชิง

คุณไม่จำเป็นต้องค้นหาตัวเอง คุณแค่ต้องถูกพัฒนา ถูกปรับเปลี่ยน
และถูกสร้างชีวิตให้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

พระเจ้าได้ค้นพบตัวตนของเราแล้ว เพราะทรงสร้างเรามา พระองค์อยากนำเราไปในห้องมืด เพื่อหล่อหลอมพระลักษณะของพระองค์เองไว้ในตัวเรา อยู่ในที่ลับซึ่งไม่มีใครมองเห็น แต่ถ้าเราไม่เข้าใจกระบวนการนี้ เราจะสับสนและไปผิดทาง เพราะมัวกังวลว่าสิ่งที่เรามีมันจะสูญเปล่าไปโดยไม่มีใครได้เห็นหรือชื่นชมมัน

นี่เป็นยุคของผู้คนที่วิ่งเข้าไปในห้องมืด แล้วรีบเปิดประตู
เพื่อเผยโฉมพระฉายของพระคริสต์ที่กำลังถูกสร้างขึ้นในเรา
แล้วก็นั่งสงสัยว่าทำไมเราไม่มีสิ่งใดที่จะให้กับคนรอบตัวเราเลย

เรากำลังอยู่กับความคุ้นเคยที่ให้สปอตไลท์ส่องมาที่ตัวเราอยู่ตลอด และถ้าโลกไม่ได้ส่องไฟมาที่เรา เราก็จะส่องไฟนั้นมาที่ตัวเอง โพสต์มันให้โลกได้เห็น แต่ถ้าไฟที่ส่องมายังตัวคุณนั่นใหญ่และสว่างเกินกว่าแสงที่อยู่ภายในตัวคุณ มันจะทำลายคุณ

ถ้าคุณมีชีวิตอยู่ด้วยคำสรรเสริญของคนอื่น
คุณก็จะตายด้วยคำวิจารณ์ของพวกเขาเช่นกัน
– Bill Johnson –

เราอยู่ในยุคที่ทุกวันนี้สามารถเข้าถึงคำเทศนา เพลงนมัสการ ช่องวิทยุและทีวีคริสเตียน พอดแคสต์คริสเตียนได้มากมาย แต่ทำไมยังมีคนอีกมากที่อยู่ใต้พันธนาการฝ่ายวิญญาณและถูกโซ่ล่ามอยู่? เกิดอะไรขึ้นกับผู้คนที่เข้ามาในคริสตจักร และกลับออกไปด้วยชีวิตแบบเดิมที่เข้ามา?

ความสามารถดึงดูดคนให้เต็มห้อง สร้างความตื่นเต้น และปลุกเร้าผู้คน
แต่การเจิม ปลดแอก หักโซ่ตรวน และปลดเปลื้องพันธนาการ

แม้คุณจะมีของประทาน มีความสามารถ แต่อะไรล่ะที่ทำให้คุณถูกเจิมตั้งให้เป็นผู้นำ เป็นผู้นำนมัสการ ผู้สร้างผลงาน หรือเป็นสาวกพระคริสต์? ในพระคัมภีร์ เมื่อผู้เผยพระวจนะเจิมตั้งบางคนให้เป็นพระราชา น้ำมันมะกอกจะถูกเทลงบนศีรษะเพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงการแยกออกเพื่อการรับใช้พระเจ้า น้ำมันมะกอกนี้มาจากการบดและกดผลมะกอกเพื่อให้ได้น้ำมันออกมา

เช่นเดียวกับชีวิตของเราที่ต้องถูกรับการปั้นแต่งในห้องมืดด้วยการบดขยี้ของพระเจ้า เมื่อเราเผชิญกับสถานการณ์และฤดูกาลที่ยากลำบาก การถูกบดขยี้จะได้เริ่มขึ้น และในระหว่างกระบวนการบดขยี้ มันจึงจะมีเรื่องราวและคำพยานชีวิตที่มอบให้กับโลกนี้ได้ นั่นก็คือน้ำมันของเรานั่นเอง นี่เป็นหลักคิดเดียวกับการผลิตไวน์ ที่ผลองุ่นจะต้องถูกเหยียบย่ำ

หากปราศจากกระบวนการสร้างและการบดขยี้จากพระเจ้า ความสามารถที่เรามีก็เป็นเพียงแค่ความสามารถ มันจะไร้ซึ่งพลังและการเจิม แต่ถ้าเรานำของประทานความสามารถของเราเข้าไปในห้องมืด ให้พระเจ้าขัดเกลามัน พระคริสต์จะสร้างพระลักษณะของพระองค์ไว้ในเรา

ถ้าเราเป็นยุคที่มีแต่ผู้คนเดินพาเหรดมากกว่าถูกบดขยี้
เราก็จะเต็มไปด้วยผู้คนที่เปี่ยมพรสวรรค์ แต่ขาดคนที่มีการเจิม

ใน 1 ซามูเอล 16 ดาวิดได้ถูกเจิมตั้งเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอล ตั้งแต่เมื่อเขายังเป็นเด็กเลี้ยงแกะ แต่หลายปีผ่านไป ดาวิดก็ยังไม่ได้ขึ้นครองเป็นกษัตริย์จนกระทั่งอายุ 30 ในช่วงเวลาระหว่างที่รอนี้ ดาวิดเป็นคนเสิร์ฟอาหารให้ทหารกองทัพอิสราเอล คอยปรนนิบัติกษัตริย์ซาอูลด้วยการเล่นพิณ ได้เป็นทหารและเป็นผู้นำกองทัพในที่สุด ในระหว่างนั้น กษัตริย์ซาอูลพยายามฆ่าดาวิดหลายครั้ง บีบให้ดาวิดต้องหนีเอาชีวิตรอดไปอยู่ที่ดินแดนอื่นอยู่หลายปี

ลองจินตนาการว่า หากดาวิดได้เป็นกษัตริย์ทันทีหลังจากที่ถูกเจิมตั้งเมื่อตอนยังเด็ก เขาคงไม่มีประสบการณ์ ไม่มีทางเข้าใจว่าจะบริหารปกครองบ้านเมืองยังไง แต่เมื่อได้ผ่านการรับใช้กษัตริย์ซาอูล ได้เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ ดาวิดคงได้เรียนรู้วิธีบริหารบ้านเมืองและรู้ยุทธวิธีรบ ดาวิดได้ผ่านฤดูกาลบดขยี้ การถูกไล่ล่าและลอบฆ่าโดยกษัตริย์ซาอูล เขาต้องซ่อนตัวในถ้ำหรือในภูเขา ไม่แน่ใจว่าจะอยู่หรือจะตาย เขาเคยถึงขั้นว่าจะลอบสังหารซาอูลได้ แต่เขาก็เลือกจะไว้ชีวิตกษัตริย์

ยิ่งกว่านั้น เราก็ชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากด้วย
เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น ทำให้เกิดความทรหดอดทน
และความทรหดอดทนทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ 
และการที่เป็นเช่นนั้นทำให้มีความหวัง และความหวังจะไม่ทำให้ผิดหวัง
เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา
โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว
– โรม 5:3-5 –

เราจะมอบความหวังให้โลกใบนี้ได้อย่างไร หากเราเองยังไม่มีเหตุผลในการอยู่อย่างมีความหวัง?

“การทนทุกข์” ให้โอกาสเราในการพึ่งพาพระเจ้าและไว้วางใจพระองค์ให้เข้ามาเยี่ยมเยียนเรา สิ่งนี้จะหล่อหลอมความอดทน เอกลักษณ์ และความหวัง มันจะเป็นผลที่คนอื่นเข้ามาเก็บเกี่ยวได้เมื่อยามที่พวกเขาเจอปัญหา

ผลของชีวิตที่เติบโตขึ้นจากความวางใจพระเจ้าผ่านความเจ็บปวดและทนทุกข์ คือองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เราดูแลรักษาการเจิมของพระเจ้าไว้เสมอ ดังนั้นเมื่อเรายืนอยู่ในเวที มันไม่ใช่แค่ตัวเราและความสามารถของเรา แต่มันคือ อัตลักษณ์ของพระเจ้า ความบากบั่น และความหวังที่หนุนเราไว้ ผสานรวมกับการเจิมที่ทำลายโซ่ตรวนทั้งหลาย และจะยกบรรยากาศที่ประชุมขึ้น

ไม่ว่าคุณต้องอยู่บนเวทีทุกสัปดาห์ หรือแต่งเพลงอยู่ในห้องนอน ความสำคัญของคุณนั้นยังคงเหมือนเดิม เราต้องไม่วัดความสำคัญจากสิ่งที่โลกมองเห็นเรา ถ้าอยู่บนเวที คุณก็ยังต้องรักษาความสมดุลของการอยู่ในห้องมืด และการยอมให้พระเจ้าทำงานในชีวิต ก่อนที่จะกลับไปขึ้นบนเวที ลองทูลถามพระเจ้าถึงฤดูกาลที่คุณกำลังเผชิญอยู่ ว่าคุณจะร่วมมืออย่างไรกับสิ่งที่พระเจ้ากำลังทำในชีวิตคุณ

 

บทความ:  Christine Caine: The Difference Between Anointing and Gifting (WorshipU)
แปล:  Sawanya Honglawan
ภาพ:  Alexis Antoine on Unsplash
ออกแบบ:  Nan Tharinee

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง