บทความ

เปิดวาร์ปอนาคตคริสตจักรในอีก 10 ปีข้างหน้า

เทรนด์การเปลี่ยนแปลงของคริสตจักร (โดยเฉพาะแถบอเมริกา) ใน 10 ปีข้างหน้า

กระแสต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในโลกขณะนี้ สะท้อนให้เห็นมุมมองที่น่าทึ่งของโลกในอนาคต ลองคิดดูว่าสิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การคาดคะเนว่าหน้าตาของคริสตจักรในอนาคต ถือเป็นเรื่องท้าทาย แต่ก็น่าติดตาม

  • แนวโน้ม “หนึ่งคริสตจักร หลายโลเคชั่น” ได้เกิดขึ้นรวดเร็ว ไม่เพียงแต่คริสตจักรขนาดใหญ่ที่กำลังใช้โมเดลนี้ แต่ทั้งคริสตจักรเล็กและใหญ่กำลังเพิ่มจำนวนแคมปัสอย่างมากมาย
  • การตั้งคริสตจักรและองค์กรที่สนับสนุนการตั้งคริสตจักร เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด
  • ยังจำหน้าตาสมุดโทรศัพท์ได้ไหม? สิ่งนี้เคยถูกใช้เป็นช่องทางหลักในการประชาสัมพันธ์
  • แล้วการเกิดขึ้นของโซเชียลมีเดียล่ะ? โซเชียลมีเดีย เกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่นานนัก แต่เราพบว่าทุกวันนี้ คริสตจักรหลายแห่งมีตัวตนผ่านโซเชียลมีเดีย จนมันกลายเป็นช่องทางหลักที่คริสตจักรส่วนใหญ่ใช้สื่อสารกับสมาชิก
  • พันธกิจของวัยรุ่นกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด (ที่จริงการเปลี่ยนแปลงมีมาตลอด แต่ทุกวันนี้ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วมาก) ในพื้นที่ต่างๆ มีการเล่นกีฬาเพียงแค่ช่วงวันจันทร์ถึงเสาร์ แต่ทุกวันนี้ผู้คนเล่นกีฬาในวันอาทิตย์ตลอดทั้งวัน ไม่ใช่แค่ช่วงเย็นเท่านั้น แต่รวมถึงช่วงเช้าวันอาทิตย์ด้วย …นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปในพันธกิจกลุ่มวัยรุ่น
  • “ผู้รับใช้ฆราวาส” หรือ “ผู้รับใช้แบบเย็บเต๊นท์” กลายเป็นเรื่องปกติที่พบเห็นได้บ่อยมากขึ้น Karl Vaters กล่าวว่า “จากผลการสำรวจของ Faith Communities Today ในปี 2015 พบว่า มีศิษยาภิบาล 62.2%% หรือไม่ถึง 2 ใน 3 ของโบสถ์ในอเมริกาที่ยังรับใช้เต็มเวลา ซึ่งลดลงจากสัดส่วน 71.4% ในปี 2010”

และที่กล่าวมาทั้งหมด สรุปได้ว่า มีสิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายในคริสตจักร  ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แล้วอีก 10 ปีข้างหน้าล่ะ? เอาล่ะ! เพื่อนๆ ผู้รับใช้ทั้งหลาย เตรียมรัดเข็มขัดให้แน่น เรากำลังมุ่งสู่เส้นทางการเปลี่ยนแปลงในโค้งข้างหน้า ณ บัดนี้!

1. เกิดกระแส “การส่งไม้ต่อ” แต่คริสตจักรที่เพิกเฉยจะถดถอยอย่างรวดเร็ว

คริสตจักรที่ถูกก่อตั้งขึ้นในช่วง ค.ศ. 1970-1999 และปัจจุบัน ยังคงอยู่ภายใต้การดูแลของศิษยาภิบาลผู้ก่อตั้ง เมื่อศิษยาภิบาลเหล่านี้อายุมากขึ้น ก็จำเป็นจะต้องมีผู้รับไม้ต่อในการดูแลคริสตจักร ซึ่งกระแสนี้มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงเกิดขึ้นกับกลุ่มคริสตจักรที่เน้นการดึงดูดผู้คนเข้ามาเท่านั้น (seeker-sensitive, attractional movement) แต่จะเกิดขึ้นกับคริสตจักรส่วนใหญ่ที่อยู่ภายใต้การนำของศิษยาภิบาลยุค baby boomer (กลุ่มคนที่เกิดในช่วง ค.ศ. 1946-1964 ซึ่งปัจจุบันจะมีอายุราว 56-74 ปี)

ไม่ว่าบริบทของคริสตจักรจะเป็นแบบใด แต่การส่งไม้ต่อจะเกิดขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า คริสตจักรที่เพิกเฉยต่อกระแสนี้ และไม่ได้วางแผนเชิงรุกสำหรับการรับช่วงต่อ  จะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ทันตั้งตัว ซึ่งจะส่งผลให้คริสตจักรจำนวนมากถดถอยไปอย่างรวดเร็ว

ผู้นำ Gen X (คนที่เกิดช่วง ค.ศ.1965-1980 ซึ่งปัจจุบันอายุ 40-55 ปี) และ Millennial (คนที่เกิดช่วง ค.ศ.1981-1997 ซึ่งปัจจุบันอายุ 23-39 ปี) จะกลายเป็นผู้นำอาวุโส ผมเชื่อว่า ผู้นำหลายคนอาจยังนึกภาพไม่ออก แต่สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้น และเกิดอย่างรวดเร็วแน่นอน

คริสตจักรที่ตัดสินใจและมุ่งมั่นวางแผนสำหรับการรับส่งไม้ต่อให้ศิษยาภิบาลรุ่นต่อไป จะอยู่รอดอย่างน้อยในอีก 10 ปีข้างหน้า

William Vanderbloemen ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากคุณอยากรู้ว่าการส่งไม้ต่อที่ดีของศิษยาภิบาล เป็นอย่างไร ให้ลองอ่านเล่มนี้ดู Next: Pastoral Succession That Works

2. การเทศนา และ การสอน จะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น

คริสตจักรที่จะอยู่รอดในอีก 10 ปีข้างหน้า จะมองเห็นอินเตอร์เน็ตเป็นพื้นที่ทำพันธกิจ คำเทศนาในที่ประชุมใหญ่ จะถูกนำกลับมาใช้ซ้ำ สำหรับรับชมผ่านทางวิดีโอและช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ

ผมรู้ว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในขณะนี้ และจะเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกสักระยะ แต่ในที่สุด มันจะเริ่มไต่ระดับขึ้นไปอีกขั้น

กล่าวคือ แทนที่จะสุ่มเลือกคลิปคำเทศนาสักเรื่อง แล้วทำการปรับโฉมใหม่ และนำมันมาใช้อีกครั้ง คริสตจักรจะเริ่มคิดถึงระบบค้นหาคำด้วยคีย์เวิร์ด เพื่อเข้าถึงความสนใจของผู้คนและหาวิธีตอบสนองต่อคนที่สนใจศึกษาพระคัมภีร์

นอกจากนี้ บรรยากาศการสอนในชั้นเรียนวันอาทิตย์ของคริสตจักร จะถูกปรับเปลี่ยนเป็นการสอนผ่านคอร์สออนไลน์

ผู้คนต้องการที่จะเรียน แต่การเพิ่มเวลาอีก 1 วัน เข้าไปในตารางชีวิตที่ยุ่งเหยิงของพวกเขา กลายเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับใครหลายคน

ด้วยเหตุนี้ ชั้นเรียนจึงจะต้องถูกปรับเปลี่ยนเป็นคอร์สออนไลน์ ซึ่งสามารถเลือกเรียนได้ตามช่วงเวลาที่ต้องการ

3. พันธกิจวัยรุ่นจะเป็นวิกฤติสำหรับบางคริสตจักร และเป็นความสำเร็จของอีกหลายคริสตจักร

เป็นเรื่องยากจะพูดชัดเจนได้ว่า พันธกิจวัยรุ่นจะเป็นอย่างไรในอีก 10 ปีข้างหน้า? แต่นี่คือสิ่งที่อาจเกิดขึ้น

พันธกิจวัยรุ่นที่เน้น “การขับเคลื่อนด้วยกิจกรรม” จะประสบปัญหา แต่พันธกิจวัยรุ่นที่สร้างสรรค์ ไม่ดำเนินตามรูปแบบเดิมๆ จะประสบความสำเร็จ ปัญหาที่จะเกิดขึ้นคือ คริสตจักรส่วนใหญ่มักจะวัดผลจากความสำเร็จจากจำนวนผู้เข้าร่วมโปรแกรม เป็นเกณฑ์วัด ไม่ว่าพวกเขาจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม

พันธกิจวัยรุ่น ที่มองตัวเองว่าเป็นพันธกิจที่อยู่เพื่อสร้างสาวกวัยรุ่น จะประสบความสำเร็จ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

  • คุณจำเป็นต้องมุ่งเน้นสร้างกลยุทธ์แบบดิจิตอล และการสื่อสารมากยิ่งขึ้น
  • จะต้องมีการอบรมผู้นำเพิ่มขึ้น  พันธกิจวัยรุ่นต้องการผู้ใหญ่จำนวนมากที่เอาใจใส่ และสนใจที่จะทำกิจกรรมร่วมกับวัยรุ่น เช่น เล่นเกม เล่นดนตรี เล่นกีฬา เป็นต้น
  • จะต้องเสริมสร้างประสบการณ์ในการทำสิ่งต่างๆ ที่ไม่สามารถทำได้บนโลกออนไลน์ เช่น ออกไปรับใช้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ
  • โต๊ะสังสรรค์ จะเป็นที่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่วัยรุ่นจะได้พบปะพูดคุยกัน (ไม่ใช่แบบเธียเตอร์)
  • การรับใช้ร่วมกับครอบครัว จะต้องเปลี่ยนจากหลักการและอุดมคติ สู่ความเป็นจริงและการทำพันธกิจ

4. โปรแกรมของคริสตจักรควรเรียบง่าย มิฉะนั้นจะกลายเป็นเหตุให้คริสตจักรไม่เติบโต

ยิ่งคริสตจักรจัดการโปรแกรมและอีเว้นท์ต่างๆ มากขึ้นเท่าไร ผู้คนในคริสตจักรจะยิ่งมีส่วนร่วมน้อยลงเท่านั้น ผมไม่ได้บอกว่า เราไม่ควรจัดโปรแกรมใดๆในคริสตจักร

แต่คริสตจักรที่จะเติบโตได้ จะต้องมีความชัดเจนในนิมิตและพันธกิจ โดยเลือกตัดบางสิ่งออกไป

ท้ายที่สุด คริสตจักรที่ยุ่งเหยิง จะกลายเป็นคริสตจักรที่ไม่เติบโต ส่วนคริสตจักรที่มีโฟกัส จะเป็นคริสตจักรที่เติบโต

การสร้างสาวกผ่านโปรแกรมต่างๆ ควรเป็นไปอย่างเรียบง่าย น้อยในสิ่งที่ทำ แต่สม่ำเสมอ และใน 10 ปีหลังจากนี้ ความจริงนี้จะปรากฏชัดแจ้งยิ่งกว่าเดิม

5. การพลิกฟื้นคริสตจักร (Church Revitalization) จะเป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นแพร่หลาย

ก่อนหน้านี้ เราจะสนใจไปที่การตั้งคริสตจักร ว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นในงานพันธกิจ และผมก็คิดว่าสิ่งนี้ยังคงถูกต้อง

แต่เมื่อผู้นำรุ่นใหม่ได้มีโอกาสรับใช้ในคริสตจักรมากขึ้น จะมีสิ่งใหม่ๆ เข้ามาพร้อมกันอย่างรวดเร็ว นั่นจะเป็น การพลิกฟื้นคริสตจักรและการตั้งคริสตจักรเดิมขึ้นใหม่ (Church revitalization and church replanting)

ในขณะที่คริสตจักรบางแห่งที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง มีหลายคริสตจักรที่เลือกจะไม่ทำตามรูปแบบเดิมๆ  ที่คุ้นชิน เพื่อจะได้เข้าถึงผู้คนอีกมากมายที่ยังไม่รู้จักพระเยซู

และด้วยเหตุนี้  แนวโน้มที่คริสตจักรจะกลายเป็น “คริสตจักรที่จะปฏิรูปตัวเอง” จะเพิ่มสูงขึ้น

คริสตจักรจำนวนมากจะเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนตำแหน่งที่ตั้ง หรือ ปรับปรุงสถานที่ปัจจุบัน เปลี่ยนกลยุทธ์การสร้างสาวก เปลี่ยนรูปแบบการนมัสการ เมื่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สิ้นสุดลง คริสตจักรจะเดินหน้าและเปลี่ยนแปลงยิ่งขึ้นในก้าวต่อไป

Thom Rainer ผู้ที่สนใจศึกษาการเปลี่ยนแปลงนี้ กล่าวไว้ว่า

“ในบรรดาคริสตจักร 300,000 แห่งที่จำเป็นต้องพลิกฟื้นตัวเอง จะมีคริสตจักร 100,000 แห่ง ที่ฟื้นฟู (revitalize) จากระบบและสภาพภายในของตัวเอง และ อีก 100,000 แห่ง จะถูกพลิกฟื้นผ่านการตั้งคริสตจักรเดิมขึ้นใหม่ (replant)”

อาจดูห้าวหาญเกินไป ที่จะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงในตอนนี้ แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นแน่นอนในอีก 5-10 ปีข้างหน้า

แล้วคริสตจักรอีก 100,000 แห่งล่ะ? Thom Rainer คาดการณ์ว่าคริสตจักรอีก 100,000 แห่งจะตกต่ำลงและล้มหายไปในที่สุด

ความเป็นจริง คือ อีก 10 ปีข้างหน้า คริสตจักรที่พลิกฟื้นและตั้งคริสตจักรเดิมขึ้นใหม่จะเป็นวาระสำคัญ

สำหรับคริสตจักรที่คิดว่าการบุกเบิกตั้งคริสตจักร เป็นเส้นทางแห่งการทรงเรียก  พวกเขาจะเห็นความจำเป็นและตอบรับการทรงเรียกให้เป็นผู้นำที่สร้างการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะนำการฟื้นฟูมาสู่คริสตจักรที่ตัวเองอยู่ และนั่นเป็นสิ่งที่สวยงาม

อาจเป็นเรื่องยาก แต่เป็นสิ่งที่สวยงาม

6. เครือข่ายเชื่อมต่อศิษยาภิบาล จะเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด

คริสตจักรที่ผมอยู่เป็นส่วนหนึ่งของ the Restoration Movement ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกคริสตจักรอิสระหรือคริสตจักรที่ไม่สังกัดนิกายใดๆ  ปัจจุบัน เราสามารถพบเห็นคริสตจักรแบบนี้ได้ทั่วไป

ข้อดีของการรับใช้ในคริสตจักรอิสระ คือ เราไม่ต้องถูกจำกัดหรือถูกควบคุมโดยสังกัดหรือคณะนั้นๆ แต่ก็มีข้อเสียใหญ่หลวงประการหนึ่ง นั่นก็คือ ผู้นำจะขาดกลุ่มเพื่อนผู้รับใช้ที่คอยขัดเกลาชีวิตกัน

เพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายนี้ ผมเชื่อว่าเราจะเห็นรูปแบบเครือข่ายผู้นำทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการเกิดขึ้น ซึ่งเชื่อมต่อจนเราสามารถนัดพบกันเป็นประจำ และแบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในงานพันธกิจต่างๆ รวมถึงการช่วยเหลือและอธิษฐานเผื่อกันและกัน

โดยเครือข่ายนี้ จะไม่เกิดขึ้นเพียงเพื่อผู้นำในคริสตจักรอิสระเท่านั้น แต่เครือข่ายเหล่านี้จะขยายแวดวงไปยังคริสตจักรภายใต้นิกายอื่นๆ เช่นกัน

7. การสัมผัสประสบการณ์เสมือนจริง  (Virtual Reality) กลายเป็น “ประตูบานแรก” ที่ต้อนรับผู้สนใจมาใหม่

สิ่งที่ผมจะกล่าวถึงนี้ อาจจะแปลกไปสักหน่อย แต่ผมอยากให้คุณนึกภาพตาม

เว็บไซต์ของคริสตจักร และ คริสตจักรออนไลน์ กลายเป็น ด่านแรกสำหรับผู้คนมากมายที่กำลังคิดจะเข้าร่วมรอบประชุมนมัสการ แต่เพราะความล้ำหน้าของเทคโนโลยี จึงทำให้เกิดช่องทางในการสัมผัสประสบการณ์เสมือนจริง

หากมีใครบางคนสามารถ “เข้ามา” ในคริสตจักรคุณ จากทางบ้านของเขาได้ เพื่อสำรวจดูว่าคริสตจักรคุณเป็นยังไงบ้างล่ะ?

พวกเขาเห็นปุ่ม “มาใหม่?” บนเว็บไซต์คุณ เมื่อกดคลิก ลิงค์นั้นก็พาพวกเขาไปยังหน้าที่มีตัวเลือกว่าลองสัมผัสประสบการณ์เสมือนจริงในการเข้าร่วมรอบประชุมนมัสการ หรือ เยี่ยมชมบรรยากาศของคริสตจักร

และเมื่อพวกเขาคลิกปุ่มเสมือนจริง มันก็พาพวกเขาไปยังลานจอดรถ พาเดินเข้าไปในคริสตจักร พวกเขาสามารถเข้าถึงประสบการณ์ที่แตกต่างได้ ไม่ว่าพวกเขาจะมีลูกหรือไม่ก็ตาม จากนั้นพวกเขาก็ได้เข้าร่วมรอบนมัสการ ได้ฟังทีมนมัสการเล่นดนตรี และร้องตามได้หากพวกเขาต้องการ และสามารถดูและฟังคำเทศนาได้เสมือนนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องประชุม

แม้ในตอนนี้ สิ่งที่ผมพูดอาจดูไกลเกินจริง แต่อีกไม่นาน สิ่งนี้จะเกิดขึ้น

8. ทรัพยากรต่างๆ จะถูกทุ่มเทไปยังพันธกิจเด็กมากขึ้น

เราจะเห็นสภาพแวดล้อมที่คริสตจักรขนาดใหญ่ได้จัดเตรียมให้สำหรับพันธกิจเด็ก จะถูกนำมาปรับใช้ในคริสตจักรเล็กๆ เช่นกัน

แทนที่เด็กๆ จะได้พบกันในห้องใต้ดินคับแคบ คริสตจักรจำนวนมากจะทุ่มทรัพยากรต่างๆ ให้แก่พันธกิจเด็ก มากเป็นอันดับต้นๆ

ทรัพยากรและพื้นที่ห้อง จะถูกใช้งานได้แบบอเนกประสงค์ในวันอาทิตย์ เช่นเดียวกับการใช้งานมันตลอดอาทิตย์

ทีมงานพันธกิจเด็กจะได้รับการจัดสรรทรัพยากรมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงแค่เรื่องสภาพแวดล้อมรอบตัว แต่รวมถึงโปรแกรมภาคฤดูร้อน  หรือโปรแกรมที่ใกล้เคียงกัน หรือแม้แต่การเพิ่มทีมงานพันธกิจเด็ก

หากเด็กๆ รักคริสตจักรของคุณ พ่อแม่เด็กย่อมอยากจะกลับมาคริสตจักร แต่ถ้าหากเด็กๆ มีใจจดจ่ออยากจะกลับบ้าน พ่อแม่เด็กก็มีแนวโน้มที่จะไม่กลับมาอีกเช่นกัน

9. คริสตจักรหลายแห่งจะออกแบบแคมปัสให้เป็นจุดที่ผู้คนในชุมชนมารวมตัวกันได้

ผมคิดว่าเราจะเริ่มเห็นสิ่งเหล่านี้มากขึ้น

คริสตจักรที่สร้างอาคาร ซึ่งสามารถใช้เป็นพื้นที่พักผ่อนของชุมชน ใช้สำหรับเล่นกีฬาระหว่างสัปดาห์ และเป็นที่ประชุมของคริสตจักรในวันอาทิตย์

คริสตจักรที่สร้างอาคารที่มีพื้นที่ด้านนอก เช่น สวน อัฒจันทร์ และทางสำหรับเดินเล่น ซึ่งเปิดให้ผู้คนในชุมชนเข้ามาใช้พื้นที่ได้ทุกวัน

คริสตจักรจะร่วมมือกับร้านกาแฟ เพราะต้องการสร้างพื้นที่รวมตัวของครอบครัวที่เอานำลูกหลานเข้ามาได้อย่างสบายใจ (ลองนึกถึงการมีพื้นที่ที่ปลอดภัยให้เด็กเล่น ล้อมรอบด้วยโต๊ะของบรรดาพ่อแม่และปู่ย่าตายาย เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อผ่อนคลายและพูดคุยกับผู้ใหญ่คนอื่นๆ) เด็กวัยรุ่นได้ใช้เป็นที่พบปะหลังเลิกเรียน เป็นต้น และอาจมีดนตรีสดในยามเย็น เพื่อดึงดูดผู้คนในชุมชนให้ได้เข้ามาสัมผัสกับบรรยากาศของคริสตจักร

มีความเป็นไปได้หลายอย่างที่จะเกิดขึ้น แต่ที่ยกตัวอย่างไปนั้น อาจจะช่วยให้คุณนึกภาพออกว่าจะเป็นอย่างไรในอนาคต

ไม่มีใครสามารถดึงดูดผู้คนในชุมชนได้ดีเท่ากับคริสตจักรท้องถิ่น คริสตจักรในอนาคตจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และจะสร้างพื้นที่ที่ให้ผู้คนได้พบปะกัน ไม่ว่าจะเป็นคนที่มาโบสถ์เฉพาะเทศกาลสำคัญ คนที่เคยมาโบสถ์ สมาชิกของโบสถ์อื่น

10. การศึกษาด้านงานพันธกิจจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

สถาบันการศึกษาระดับสูงจำนวนมากกำลังประสบปัญหา วิทยาลัยและสถาบันสอนพระคัมภีร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น เนื่องจาก แนวโน้มของคริสตจักรจำนวนมากไม่ได้ต้องการทีมงานที่จบการศึกษาจากวิทยาลัยหรือสถาบันสอนพระคัมภีร์เหมือนแต่ก่อน และการเปลี่ยนแปลงของงานพันธกิจการศึกษาในอนาคต

คริสตจักรจำนวนมาก เลือกที่จะเริ่มต้นสถาบันอบรมผู้นำ เพื่ออบรมผู้นำรุ่นต่อไปของคริสตจักรด้วยตัวเอง ผู้นำในงานพันธกิจด้านต่างๆ จำนวนมาก เริ่มจัดทำคอร์สออนไลน์ และคุณสามารถคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ถึงตอนนี้ ได้โปรดอย่าเข้าใจผิด การศึกษาพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพียงแต่วิธีที่เราจะศึกษากำลังเปลี่ยนไป และการอบรมการทำพันธกิจในภาคปฏิบัติก็กำลังเปลี่ยนไปเช่นกัน

คริสตจักรแห่งอนาคต – เส้นทางน่าตื่นเต้นที่รออยู่ข้างหน้า

การเปลี่ยนแปลงกำลังจะมาถึง แต่เส้นทางข้างหน้านั้นช่างน่าตื่นเต้น ผมหวังว่าคุณจะเห็นแบบนั้นเช่นกัน เราจะพบกับความท้าทายนานัปการ แต่พระเจ้าจะทรงนำเราให้ก้าวผ่านไป

 

บทความ:  Future Church: 10 Predictions for the Next 10 Years, Brandon Kelley -January 1, 2019
แปล:  Mix
ภาพ:  Twixes on Unsplash
ออกแบบ:  Nan Tharinee

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง