“ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกอย่างโดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”
[ฉันพร้อมสำหรับทุกสิ่งและสามารถรับมือได้ทุกสิ่งได้โดยพระเจ้าผู้ทรงเติมเรี่ยวแรงภายในข้าพเจ้า, ข้าพเจ้าไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใดเพราะพระคริสต์เพียงพอ]
ฟีลิปปี 4:13 (THSV, ผู้แปล)
ฉันโตมากับครอบครัวซึ่งต้องย้ายที่อยู่บ่อยๆ พ่อของฉันเป็นศิษยาภิบาล และทุก 2-3 ปี เราจะต้องเปลี่ยนคริสตจักร ย้ายบ้าน เปลี่ยนเพื่อนบ้าน และย้ายโรงเรียน ฉันจึงกลายเป็นนักเรียนใหม่อยู่เสมอ
โดยธรรมชาติแล้วฉันเป็นคนเก็บตัว ดังนั้นการต้องเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและสิ่งคุ้นเคยบ่อยๆ ยิ่งกลับทำให้ฉันรู้สึกว่าการอยู่ในสังคมเป็นเรื่องยากขึ้น
สถานการณ์ยิ่งดูแย่ลงอีกเมื่อฉันมักมองตัวเองว่าเป็นเพียงคนปานกลางที่ไม่มีอะไรพิเศษ ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็น “คนกลางๆ” ในแทบจะทุกเรื่อง ฉันไม่ได้หน้าตาดี แต่ก็ไม่ได้ถึงกับแย่ ฉันเล่นเปียโนได้ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเก่งอะไร ฉันเรียนได้ค่อนข้างดีแต่ก็ไม่เคยได้รับรางวัลใดๆ แม้ว่าพยายามอย่างหนักก็ตาม ฉันมีเพื่อนที่ดีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยได้อยู่ในกลุ่มเพื่อนที่เจ๋งๆ เลย
จนเข้าสู่ช่วงมหาวิทยาลัย ฉันค่อนข้างมั่นใจว่า แม้ว่าฉันจะรักพระเจ้าสุดหัวใจเพียงใด พระองค์ก็คงไม่สามารถใช้ฉันให้ทำอะไรที่สำคัญๆ ในอาณาจักรของพระองค์ได้หรอก
จนกระทั่งฉันได้พบกับริค วอร์เร็น และไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขากลับคิดว่าฉันเป็นคนพิเศษ ไม่นานหลังจากนั้นเขาขอฉันแต่งงาน เราหมั้นและภายในเวลาหนึ่งปีครึ่ง เราก็ได้แต่งงานกัน
ตอนนั้นริคกำลังเรียนต่อเพื่อจะเป็นศิษยาภิบาล ตอนนั้นเองที่ฉันได้เปลี่ยนจากความฝันที่จะเป็นคนปานกลางในโลกของวิชาการและดนตรี มาสู่การเป็นภรรยาศิษยาภิบาลที่ดีที่สุดให้ได้
แต่เพียงเวลาไม่นานนัก ฉันก็ได้รับรู้อีกครั้งว่าฉันเป็นเพียงคนปานกลางเท่านั้น ฉันไม่สามารถแม้แต่จะเล่าเรื่องจากพระคัมภีร์อย่างถูกต้องให้เด็กๆ ในชั้นระวีฟังได้ด้วยซ้ำ แม้ว่าสามีของฉันจะสุดยอดแค่ไหน แต่ฉันก็เป็นได้แค่คนธรรมดา
วันหนึ่ง ในระหว่างฉันขับรถอยู่ ฉันเปิดวิทยุช่องคริสเตียนช่องหนึ่งฟังเพื่อช่วยดึงความสนใจของตัวฉันเองไม่ให้ต้องจมกับความเศร้า ความไม่พอใจ และความผิดหวังที่ฉันมีต่อตัวเอง ฉันหวังว่าจะค้นพบข้อความที่ช่วยให้ความหวังหรือบทเพลงที่ทำให้ฉันมีกำลังใจขึ้นได้
ในตอนนั้นเอง บทเพลงนมัสการเก่าเพลงหนึ่งชื่อ “คนธรรมดา” (Ordinary People) กำลังเล่นอยู่ เนื้อเพลงนั้นพูดถึงการที่พระเจ้านั้นทรงใช้คนธรรมดาๆ ที่เต็มใจมอบหัวใจทั้งหมดแด่พระองค์ เนื้อเพลงยังบอกต่อไปอีกว่า
“แม้เล็กน้อยก็กลายเป็นมากมาย
เมื่อท่านมอบสิ่งนั้นไว้ ในพระหัตถ์ของจอมเจ้านาย”
ช่วงเวลานั้นเองที่มุมมองของฉันถูกเปลี่ยน ว่าแท้จริงแล้วพระเจ้าทรงเป็นผู้ใดและพระองค์ได้ทรงสร้างฉันให้เป็นใคร ฉันร้องไห้ออกมาด้วยความโล่งใจและโมทนาขอบพระคุณ เพราะในที่สุดแล้ว การค้นหาตัวตนและเป้าหมายในชีวิตของฉันอันแสนยาวนานได้จบลง คำตอบที่ตามหาแท้จริงแล้วคือการที่พระเจ้าทรงเลือกที่จะสร้างให้ฉันเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ แบบนี้
จริงๆ แล้วพระองค์ทรงสามารถสร้างให้ฉันสวยกว่านี้ ฉลาดกว่านี้ มีพรสวรรค์และโด่งดังมากกว่านี้ก็ได้ แต่พระองค์ก็ทรงไม่ทำ ในทางกลับกัน พระประสงค์ของพระองค์คือเพื่อให้ฉันถวายพระเกียรติแด่พระองค์ด้วยสิ่งเล็กน้อยที่ฉันมี ด้วยความเป็นคนปานกลางของฉัน ด้วยความธรรมดาของฉันเอง และพระองค์จะทรงทวีคูณสิ่งเล็กน้อยเหล่านั้นให้ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าที่ฉันเคยคิดฝันไว้เสียอีก
การเดินทางเพื่อจะเป็น “คนพิเศษ” ของฉันได้หยุดลง ภารกิจของฉันที่จะเป็น “ที่สุด” ในบางเรื่องได้ถูกพับเก็บไว้ ความสนใจของฉันได้ถูกเปลี่ยนกลายเป็นการยอมรับและมีความสุขกับการเป็นคนที่พระเจ้าทรงสร้างให้ฉันเป็น เป็นคนกลางๆ เป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ที่ปรารถนาอยากมอบถวายทุกสิ่งที่มีเพื่อพระองค์ผู้ทรงสร้างและปั้นฉันมาความรัก
ฉันเริ่มที่มอบถวายตัวตนที่ฉันเป็นให้แด่พระเจ้า หากพระองค์ทรงเปิดประตู ฉันก็จะเดินเข้าไป หากพระองค์ทรงปิดประตูใด ฉันก็จะวางใจในพระองค์ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอดีตหรือปัจจุบัน ฉันก็ยอมให้พระองค์ทรงกระทำตามที่พระองค์ทรงปรารถนา
ถึงอย่างนั้นฉันก็มีบางสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ฉันต้องปรับเปลี่ยนมุมมองที่ฉันมีต่อตัวเอง แทนที่จะมองตัวเองว่ายังขาดแคลนหรือไร้ความสามารถ เช่น ขี้อายเกินไป เป็นคนเก็บตัวมากเกินไป ไม่เก่งหรือฉลาดพอ แต่ฉันต้องเริ่มที่จะใช้ความเชื่อในความจริงจากฟีลิปปี 4:13 ที่ว่า “ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกอย่างโดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” เราเผชิญได้ทุกอย่างจริงๆ แน่นอนว่าไม่ใช่โดยกำลังของเรา! แต่โดยกำลังของพระเจ้าที่เติมเราอย่างเต็มล้น!
บทความต้นฉบับ: เคย์ วอร์เร็น (คลิกที่นี่)
แปล: จิรัฎฐ์ สำราญสุข
เรียบเรียง: ธารา วงศ์ศิริสิน
ภาพ: freestocks.org on Unsplash
ออกแบบ: Nan Tharinee
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น