คุณลองนึกดูว่าถ้าไม่มี “พระธรรมสดุดี” ในพระคัมภีร์ พระคัมภีร์คงดูแปลกไปจากที่เราคุ้นเคยสักแค่ไหน และจะทำให้คริสตจักรเปลี่ยนไปขนาดไหน รวมทั้งชีวิตเราเองด้วยว่าจะแตกต่างจากที่เป็นอยู่ไหม
ผมไม่ได้บอกว่าพระธรรมอื่นๆ ไม่ได้สอนความจริงหรือไม่โดนใจ ผมเรียนรู้และเข้าถึงความรู้สึกต่างๆ ผ่านการอ่านพระธรรมทุกเล่มในพระคัมภีร์ แต่เล่มไหนก็ไม่เหมือนการอ่านสดุดีที่ไม่เพียงกระตุ้นความรู้สึกในใจเรา แต่มันดึงเอาสิ่งที่อยู่ภายในเหล่านั้นออกมาตีแผ่อยู่เบื้องหน้า เพื่อนำเสนอประสบการณ์ทางอารมณ์ของผู้ประพันธ์ ท่ามกลางความจริงอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าเป็นฉากหลัง
อารมณ์ที่ถูกถ่ายทอดออกมา
พระธรรมสดุดีไม่เพียงแต่เชื้อเชิญให้เราตอบสนองความจริงที่พระเจ้าทรงเปิดเผยด้วยใจ หากแต่ถ่ายทอดตีแผ่ความรู้สึกนั้นออกมา พระธรรมสดุดีไม่ได้แค่บอกว่าเราควรรู้สึกอย่างไร หากแต่ทำให้เราผู้อ่านมีอารมณ์ร่วมกับความรู้สึกนั้นๆ ราวกับตัวเราอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ จนเราเดินตามต่อพระปัญญาของพระเจ้าอย่างสิโรราบ ยืนอยู่ท่ามกลางความบริสุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ที่น่าอัศจรรย์ของพระองค์ และพำนักอยู่ในความปิติยินดีในพระองค์
หมอนของเราเปียกปอนไปด้วยคราบน้ำตา เพราะได้ยินเสียงร่ำไห้และรับรู้ถึงความทุกข์ ความอับอาย ความเสียใจ ความโศกเศร้า ความโกรธ ความท้อแท้ และความสับสนอลหม่าน แต่ทั้งหมดที่กล่าวมามันก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความเศร้าแบบที่อยู่ในโลกนี้ เพราะว่าเราสัมผัสกับความรู้สึกเหล่านี้ในท่ามกลางความสัมพันธ์ที่เรามีต่อพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์เหนือสรรพสิ่ง
พระเจ้าผู้อยู่เบื้องหลังทุกสิ่ง
หากหัวใจเราปฏิเสธว่าพระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งแล้ว ก็คงยากจะมีความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้ได้
- “คลื่นและระลอกคลื่นทั้งสิ้นของพระองค์ โถมทับข้าพระองค์แล้ว” (สดุดี 42:7)
- “พระองค์ทรงทำให้วันเวลาของข้าพระองค์สั้นแค่สองสามฝ่ามือเท่านั้น” (สดุดี 39:5)
- “แต่พระองค์ได้ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ทั้งหลาย และให้พวกข้าพระองค์ขายหน้า และมิได้เสด็จออกไปกับกองทัพของข้าพระองค์ทั้งหลาย” (สดุดี 44:9)
- “พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นเหมือนแกะที่ใช้เป็นอาหาร และทรงกระจายพวกข้าพระองค์ไปท่ามกลางบรรดาประชาชาติ” (สดุดี 44:11)
- “พระองค์ทรงให้ประชากรของพระองค์พบความลำบาก พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายดื่มเหล้าองุ่นแห่งความซวนเซ (สดุดี 60:3)
- และในทุกสิ่ง “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ได้ทรงตรวจสอบข้าพระองค์และทรงรู้จักข้าพระองค์” สดุดี 139:1)
พระเจ้าอยู่เบื้องหลังในทุกสิ่ง นี่คือสิ่งที่ทำให้พระธรรมสดุดี ต่างจากการคร่ำครวญ การบ่น หรือความเศร้าต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ สำหรับผู้เขียนสดุดีแล้ว พระเจ้าคือความจริงอันหนักแน่น ไม่สั่นคลอน ไร้ผู้ใดจะปฏิเสธได้ และมีอำนาจสมบูรณ์แบบ ฉะนั้นประสบการณ์ทางอารมณ์ของพวกเขาจึงไม่ได้ละเลยฤทธิ์อำนาจและพระปัญญาของพระเจ้าเลย แต่เป็นการรับรู้ว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงครอบครองทุกสรรพสิ่ง “พระเยโฮวาห์พอพระทัยสิ่งใด พระองค์ก็ทรงกระทำในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ในทะเลและที่น้ำลึกทั้งสิ้น” (สดุดี 135:6) นี่คือความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมของผู้เขียนสดุดี “แต่พระเจ้าของเราทั้งหลายอยู่ในฟ้าสวรรค์ สิ่งใดที่พระองค์พอพระทัยพระองค์ก็ทรงกระทำ” (สดุดี 115:3)
ลองชิมดูจะรู้ว่าพระเจ้านั้นทรงประเสริฐ
ผู้ประพันธ์บทสดุดีไม่เคยต่อต้านพระเจ้าหรือปฏิเสธพระองค์ แม้เจอภัยพิบัติใดๆ ก็ตาม มีแต่คนโง่เขลาเท่านั้นที่ปฏิเสธว่าพระเจ้าไม่มีจริง (สดุดี 14:1) มันจึงไม่เคยอยู่ในความคิดของผู้เขียนเลย ไม่แม้แต่จะคิดว่าความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาหนีหายจากพระเจ้าได้ เพราะพวกเขาจะหนีไปไหนได้ล่ะ?! “ถ้าข้าพระองค์ขึ้นไปยังสวรรค์ พระองค์ทรงสถิตที่นั่น ถ้าข้าพระองค์จะทำที่นอนไว้ในนรก ดูเถิด พระองค์ทรงสถิตที่นั่น” (สดุดี 139:8) เพราะพระเจ้าก็คือพระเจ้า… ฉะนั้นทุกอารมณ์ความรู้สึกถูกเชื่อมโยงเข้ากับการมีพระเจ้าอยู่ด้วยในชีวิตเรา พระองค์รับรู้เข้าถึงทุกอารมณ์ ไม่มีอะไรหลุดรอดไปได้
เหตุผลที่พระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจเหนือทุกอย่างนั้นไม่ใช่เรื่องหลักที่ทำให้ผู้เขียนสดุดียังตั้งมั่นอยู่ในพระองค์ แต่เป็นเพราะพวกเขารู้จากประสบการณ์ของตนเองว่าพระเจ้านั้นดีและสัตย์ซื่อเสมอ พวกเขารู้ว่า ถ้าวางใจในพระเจ้า พระองค์จะทรงช่วยพวกเขา (สดุดี 37:5) นี่เป็นสิ่งที่ผู้เขียนเป็นพยานได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
- “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ได้ทรงทวีพระราชกิจอันมหัศจรรย์ของพระองค์ และพระดำริของพระองค์แก่ข้าพระองค์” (สดุดี 40:5)
- “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์จะยอพระเกียรติพระองค์ เพราะพระองค์ทรงดึงข้าพระองค์ขึ้นมา และมิได้ทรงให้คู่อริของข้าพระองค์เปรมปรีดิ์เพราะข้าพระองค์” (สดุดี 30:1)
- “พระองค์ประทานโล่แห่งความรอดของพระองค์ให้ข้าพระองค์” (สดุดี 18:35)
- “โอ ข้าแต่พระเจ้าแห่งความชอบธรรมของข้าพระองค์ ขอทรงโปรดสดับเมื่อข้าพระองค์ร้องทูล เมื่อข้าพระองค์จนตรอก” (สดุดี 4:1)
- “ข้าพระองค์ร้องทูลขอความอุปถัมภ์จากพระองค์ และพระองค์ได้ทรงรักษาข้าพระองค์ให้หาย” (สดุดี 30:2)
- “พระองค์ทรงเห็น เออ พระองค์ทรงพิเคราะห์ความยากลำบากและความโกรธเคืองแล้ว เพื่อพระองค์จะได้ทรงดำเนินคดีด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ คนยากจนมอบตัวไว้กับพระองค์ พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยคนกำพร้าพ่อ” (สดุดี 10:14)
- “เพราะพระองค์ทรงให้ความยุติธรรมและความเที่ยงตรงแก่ข้าพระองค์ พระองค์ประทับบนพระที่นั่งและประทานการพิพากษาอันชอบธรรม” (สดุดี 9:4)
- “สำหรับข้าพระองค์ พระองค์ทรงเปลี่ยนการไว้ทุกข์เป็นการเต้นรำ” (สดุดี 30:11)
- “พระองค์ได้ประทานความชื่นบานให้แก่จิตใจของข้าพระองค์มากกว่าเมื่อพวกเขาได้ข้าวและน้ำองุ่นมากมาย” (สดุดี 4:7)
วางใจคุณไว้ตรงนี้!
พระเจ้าทรงมอบพระธรรมสดุดีให้กับพวกเราด้วยพระกรุณาและพระปัญญา ทรงเลือกพระธรรมเล่มนี้ให้อยู่ตรงกลางเล่มพระคัมภีร์ซึ่งได้รับการดลใจ นี่จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลย ถ้าใจเราเป็นศูนย์กลางของอารมณ์ความรู้สึกของชีวิตฉันใด หนังสือจากใจของพระเจ้าก็อยู่ตรงกลางพระคำของพระองค์ฉันนั้น เปิดง่าย! หาง่าย!
นี่จึงเป็นคำเชื้อเชิญจากพระเจ้า… พระองค์ทรงปรารถนาจิตใจของเรา ทรงตามหาและถนอมดวงใจของเราด้วยน้ำมันแห่งการเยียวยาจากพระธรรมสดุดี ทรงปั้นแต่งดวงใจของเราใหม่
จงตอบรับคำเชิญจากพระองค์ และก้าวผ่านเข้าสู่ประตูที่พระองค์เปิดรับ พระเจ้าทรงให้คำสัญญากับเราว่า…จงก้าวเข้ามาและค้นหาความปีติสุขด้วยใจที่ตั้งมั่นในเรา…
คุณจะเป็น “เฉกเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็จะไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จะจำเริญขึ้น” (สดุดี 1:3)
บทความ: God Wants to Shape Your Wants, An Invitation to the Psalms
แปล: ปราง
ภาพ: Aziz Acharki on Unsplash
ออกแบบ: Zippy
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น