“ชีวิตคริสเตียนในโลก เป็น การเดินทางเพื่อเติบโตในความเชื่อ” และนั่นก็คือปัญหาหลักที่พวกเราเจอ ในเหตุการณ์หรือปัญหา เรามักพยายามด้วยกำลังของเราก่อน แล้วพอไม่สำเร็จเราจึงพยายามใช้ความเชื่อที่มี ซึ่งหลายครั้งที่มันก็ดูไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนรู้สึกว่าพระเจ้าไม่ได้ฟังเรา หรือไม่ก็รู้สึกว่าความเชื่อเราคงไม่มากพอ เราดูกลายเป็นผู้เชื่อที่ไร้ความเชื่อ จนส่งผลลบต่อความเติบโตในชีวิตคริสเตียน
อะไรทำให้อับราฮัมยอมทิ้งบ้านเกิดตัวเอง และออกเดินไปโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปที่ไหน จนบางทีเราคิดไปว่า ความเชื่อก็คือความบ้าบิ่นแบบหนึ่ง เช่นเดียวกันคุณไม่สามารถบังคับความเชื่อโดยบอกตัวเองว่า “ครั้งนี้ ฉันจะเชื่อให้สุดๆ” ความเชื่อของอับราฮัมไม่ใช่ความเชื่อที่ไม่มีปี่ไม่ขลุ่ย แต่มันต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่แข็งแรง เป็นเหมือนฐานรับรองความเชื่ออยู่เบื้องหลัง เราพบอย่างน้อย 3 องค์ประกอบที่เห็นจากชีวิตอับราฮัมจนถูกยอมรับว่าเป็น บิดาแห่งความเชื่อ
มั่นใจในการทรงเรียกของพระเจ้า
สิ่งแรก คือ อับราฮัมมี การทรงเรียก ที่ชัดเจน “โดยความเชื่อ เมื่ออับราฮัมได้รับการทรงเรียกให้ออกเดินทางไปยังที่ที่ท่านจะรับเป็นมรดก ท่านก็เชื่อฟังและเดินทางออกไปโดยไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน” (ฮีบรู 11:8)
การทรงเรียก เป็นปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางและการตัดสินใจในชีวิต การทรงเรียกทำให้เรากล้าออกจาก comfort zone การทรงเรียกช่วยให้เราตัดสินใจลงมือทำบางสิ่งที่นอกเหนือตรรกะเหตุผลของมนุษย์ ชีวิตเราทุกคนจึงจำเป็นต้องพบการทรงเรียก และจำเป็นต้องมั่นใจด้วยว่า การทรงเรียกนั้นมาจากพระเจ้า
การทรงเรียกไม่ใช่แค่คำท้าทายของคนอื่นๆ ไม่ว่าคำท้าทายเหล่านั้นน่าสนใจเพียงใด แต่เป็นความรับผิดชอบของเราที่ต้องแสวงหาให้พระเจ้ายืนยันทิศทางเหล่านี้ให้ชัดเจน
แม้พระเจ้ามีการทรงเรียกเจาะจงสำหรับผู้เชื่อทุกคน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มั่นใจในการทรงเรียกนั้นจนกล้าตอบสนองแบบอับราฮัม นั่นอาจเป็นเพราะคุณต้องการแรงสนับสนุนจากสิ่งที่สอง
ใคร่ครวญ : วันนี้คุณพบการทรงเรียกในชีวิตหรือยัง? ถ้ายังคุณจะแสวงหาการทรงเรียกในชีวิตอย่างไร? ถ้าพบแล้วอะไรทำให้คุณมั่นใจในการทรงเรียกของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตคุณ?
ยอมรับเป้าหมายและพระประสงค์ในชีวิตเรา
ฮีบรู 11:13-16 ให้เหตุผลหนึ่งว่า ทำไมอับราฮัมถึงตัดสินใจออกจากบ้านเกิดเมืองนอนตัวเองได้
พวกเขา (อับราฮัมและลูกหลาน) “ยอมรับว่าพวกเขาเป็นคนแปลกถิ่นที่ท่องเที่ยวไปในโลก เพราะคนที่พูดอย่างนี้ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า พวกเขากำลังแสวงหาเมืองที่จะได้เป็นของตนเอง ถ้าพวกเขาคิดถึงบ้านเมืองที่จากมานั้น พวกเขาก็คงจะมีโอกาสกลับไปได้ แต่ความจริงพวกเขาปรารถนาบ้านเมืองที่ประเสริฐกว่านั้นคือเมืองสวรรค์…” อับราฮัมไม่ได้มัวแต่คิดถึงการกลับบ้าน เขาจอจ่ออยู่กับบ้านที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้ไว้
คริสเตียนไม่ได้แค่แตกต่างจากคนในโลก เพียงเพราะได้เชื่อพระเจ้า แต่เราเป็นคนของพระเจ้าที่ถูกส่งมาทำภารกิจในโลกช่วงสั้นๆ เมื่อถึงเวลาเราจึงกลับไปอยู่บ้านถาวรที่สวรรค์ ดังนั้นเมื่อเราเข้าใจถึงพระประสงค์พระเจ้าที่มีต่อชีวิตเรามากขึ้น เราจะยิ่งหนักแน่นทั้งในความเชื่อและการกระทำของเรา
เราต้องแตกต่างจากคนในโลกทั้งเป้าหมายและการใช้ชีวิต คนของโลกใช้ชีวิตผ่านสิ่งที่มองเห็น คนของพระเจ้าใช้ชีวิตโดยความเชื่อ (2 โครินธ์ 5:7) เป้าหมายของพระเจ้า คือให้แผ่นดินของพระเจ้ามาตั้งอยู่ ฉะนั้นเราต้องถามตัวเองว่า เป้าหมายหลักของชีวิตคืออะไร? เป็นเป้าหมายเดียวกับพระเจ้าไหม และนั่นคุณจะเป็นคนที่พระเจ้าพอพระทัย (2 โครินธ์ 5:9)
เมื่อเป้าหมายคุณชัดเจน คุณจะไม่สับสนว่ากำลังทำเพื่อใคร? ตัวคุณเองหรือพระเจ้า? คุณจะไม่ท้อแท้ เพราะคุณไม่โฟกัสอยู่เพียงหนึ่งเหตุการณ์ สายตาคุณอาจยังไม่เห็น แต่ความเชื่อจะเป็นด่านหน้าที่พาคุณก้าวต่อไป ความเชื่อรักษาความหวังไว้กับคุณ เป้าหมายที่คุณเห็นตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในการขยายอาณาจักรพระเจ้าซึ่งเป็นเหมือนการทรงเรียกในภาพใหญ่ จะขัดเกลาการทรงเรียกที่เจาะจงของคุณและหล่อหลอมความเชื่อคุณให้มั่นคง
ใคร่ครวญ : อะไรคือสาเหตุที่คริสเตียนไม่สามารถดำเนินชีวิตตามพระประสงค์พระเจ้าได้?
แสวงหาและรู้จักพระเจ้าเป็นส่วนตัว
ปัญหาของคริสเตียนส่วนใหญ่คือ รู้ดีว่าควรต้องทำอะไร ทำอย่างไร แต่ไม่มีพลังใจมาขับเคลื่อนชีวิต ให้ทำสิ่งที่ตัวเองรู้ได้ หากคุณไม่ได้ผูกพันกับเจ้าของงานนั้น คุณก็มีแนวโน้มไม่ให้ความสำคัญกับงานนั้น
วัตถุประสงค์หลักของชีวิตคริสเตียนไม่ใช่แค่การทำสิ่งต่างๆ เพื่อพระเจ้า แต่เป็นการได้รู้จักและมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า เราต้องมาถึงจุดที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางชีวิต เพราะ “อะไรก็ตามที่อยู่ศูนย์กลางชีวิตของเรา จะเป็นแหล่งความมั่นคง การนำทาง สติปัญญา และกำลังของเรา” – สตีเฟน โควีย์
“โดยความเชื่อ อับราฮัมได้รับพลังที่จะมีบุตร แม้ท่านชรามากแล้ว และนางซาราห์เองก็เป็นหมัน เพราะท่านถือว่าพระองค์ผู้ทรงสัญญานั้นซื่อสัตย์” (ฮีบรู 11:11) ความเชื่อของอับราฮัมว่าจะมีบุตรได้ มาจากพื้นฐานชีวิตที่รู้จักและมีประสบการณ์กับพระเจ้าเป็นส่วนตัว ทำให้เขามั่นใจในพระลักษณะพระเจ้าที่ทรงซื่อสัตย์ ดังนั้นทุกคำตรัสของพระเจ้ามีน้ำหนักพอให้อับราฮัมไว้วางใจได้
ที่จริงอับราฮัมก็เคยเป็นอย่างเรา เคยตอบสนองผิดพลาด เคยสงสัยไม่มั่นใจในพระเจ้า และจัดการหาทางด้วยกำลังตัวเอง (ปฐมกาล 17:17) แต่ประสบการณ์ชีวิตทำให้เขาเรียนรู้จักพระเจ้ามากขึ้น และวางใจได้มากขึ้น การรู้จักพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง เป็นคำตอบเดียวของการเพิ่มพูนความเชื่อให้หนักแน่น
นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อับราฮัมตัดสินใจถวายอิสอัคได้อย่างไม่ลังเล ก็เพราะเขารู้ว่าพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าที่ลังเล พระองค์ตรัสกับเขาก่อนหน้านี้แล้วว่า จะให้เชื้อสายของอับราฮัมสืบต่อไปทางเชื้อสายของอิสอัค (ปฐมกาล 17:16, 21:12) ฉะนั้นความเชื่อของอับราฮัมวางอยู่บนคำตรัสของพระเจ้าที่เขารู้จัก เขาย่อมต้องมั่นใจว่าพระเจ้าจะมีวิธีที่ช่วยเหลืออิสอัค และบททดสอบนี้ก็ทำให้อับราฮัมเรียนรู้จักพระเจ้าในอีกแง่มุมหนึ่งว่า ทรงเป็น ยาห์เวห์ยิเรห์ พระเจ้าผู้ทรงเห็นและจัดเตรียม
ความเชื่อจำเป็นต้องถูกทดสอบ! และเราจะผ่านบททดสอบได้เมื่อเรารู้จักพระเจ้าและรักพระองค์ และทุกบททดสอบแห่งความเชื่อ จะเป็นประสบการณ์ที่หล่อหลอมให้คุณเติบโตขี้นในการรู้จักพระเจ้า คุณจะไม่สามารถผ่านบททดสอบใหญ่ๆ ของชีวิตไปได้ด้วยการรู้จักพระเจ้าเพียงตื้นเขิน หากคุณตั้งเป้าจะลงทุนชีวิตกับหนึ่งเรื่องที่คุ้มค่าและสำคัญเหนือทุกสิ่ง อยากหนุนใจให้เริ่มที่ การแสวงหาพระเจ้า
ใคร่ครวญ : คุณจำบททดสอบก่อนหน้านี้ที่ทำให้คุณรู้จักพระเจ้าได้มากขึ้นหรือไม่?
อ้างอิง
บทความ: JK
ภาพ: Kyle Cottrell on Unsplash
ออกแบบ: Nan Tharinee
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น