บทความ

เมื่อวิกฤตเข้าประชิดตัว คุณจะทำยังไง?

หลายพันปีก่อนมีเมืองแห่งหนึ่งต้องเผชิญกับวิกฤตยิ่งใหญ่ ข้าศึกโอบล้อมเข้าประชิดเมืองของพวกเขาอยู่เป็นเวลานาน จนผู้คนในเมืองเริ่มขาดแคลนอาหาร ข้าวของก็แพงขึ้นหลายสิบเท่า คนเริ่มอดอยาก แทบไม่มีอะไรมากินประทังชีวิต เมื่อกษัตริย์ของเมืองนี้ออกมาเดินตามถนน พบเห็นประชาชนกำลังอดอยากและลำบากสุดๆ ก็เครียดและกลุ้มใจมากไม่รู้จะช่วยคนของตัวเองได้อย่างไร

จนกระทั่งเจอผู้หญิงลูกอ่อนคนหนึ่ง นางนั่งร้องขอความช่วยเหลือ กษัตริย์ผู้ซึ่งรู้ตัวว่าช่วยอะไรไม่ได้ แต่ก็ยังเดินเข้าไปถามไถ่ นางก็บอกว่า หิวมากไม่มีอะไรกิน จึงได้ตกลงกับเพื่อนข้างบ้านว่าจะเอาลูกเล็กของพวกเธอมาต้มกินกัน และเมื่อวานนางก็ได้เอาลูกของตัวเองไปต้มในน้ำเดือดมากินกับเพื่อนแล้ว แต่วันนี้เมื่อถึงคิวของลูกเธอบ้าง เพื่อนเธอกลับเอาลูกไปซ่อนไม่ยอมให้เอามาต้มกิน เมื่อกษัตริย์ได้ฟังก็รู้สึกช็อกกับเรื่องโหดร้ายที่แม่ถึงกับต้องฆ่าลูกตัวเองกิน

แต่แล้วเรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น เมื่อมีคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า วันพรุ่งนี้ทุกอย่างจะกลับมาสู่สภาพปกติ สินค้าข้าวของที่แพงระยับ จะกลับมาขายถูกลงกว่าปกติเสียอีก นายทหารคนหนึ่งที่ได้ยินก็พูดขึ้นทันทีว่า “เป็นไปไม่ได้ แม้แต่พระเจ้าก็ยากที่จะทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นได้”

จนกระทั่งค่ำวันนั้น กลุ่มคนจรจัด 4 คนที่อยู่นอกเมือง กำลังนั่งรอความตาย ก็เลยรวมหัวกันคิดว่าจะทำยังไงดี จะกลับเข้าไปในเมืองก็ไปรอความตาย ก็นั่งอยู่ตรงนี้ที่เดิมก็ไม่รอดแน่ งั้นลองมาเสี่ยงเดินออกไปหากองทัพที่ล้อมอยู่ดีกว่า บางทีเผลอๆ พวกศัตรูอาจไว้ชีวิตเราก็เป็นได้

เมื่อกลุ่มคนจรจัดเดินไปถึงค่ายทหารของศัตรูก็แปลกใจว่า ค่ายดูเงียบเชียบ ไม่พบใครสักคน มีแต่เงินทอง เสื้อผ้า ของกินมากมายวางเรี่ยราดอยู่ตามพื้น ทั้ง 4 คนไม่รีรอรีบหาของกินทันที จากนั้นด้วยความโลภก็ขนเอาเงินทอง เสื้อผ้าไปซ่อนไว้อีกที่ แต่สักพักก็ฉุกคิดได้ว่า สิ่งที่พวกเขาทำนี้มันแย่มาก ไม่ถูกต้องที่จะเอาตัวเองรอดและปล่อยให้คนในเมืองอดตาย พวกเขาจึงรีบกลับเข้าเมืองไปแจ้งข่าวดีนี้กับคนเฝ้าประตูเมือง และข่าวก็ถูกบอกต่อกันไปถึงกษัตริย์

ทีแรกเมื่อกษัตริย์ได้ยินเรื่องนี้ กลับมองว่านี่คือกลอุบายของศัตรูที่ล่อให้เราออกไปเพื่อจะโจมตีเรา แต่ท้ายที่สุดก็ส่งทหารออกไปดูก็เป็นอย่างที่คนจรจัดว่าไว้ เช้าวันต่อมาชาวเมืองผู้หิวโซจึงรีบกรูกันออกจากเมืองไปสู่ค่ายทหารและได้ข้าวของกลับมาจำนวนมาก จนในที่สุดทุกอย่างกลับสู่สภาพปกติ สินค้าก็กลับมาขายกันในราคาถูกกว่าแต่ก่อน

——————-

อ่านจบบางคนอาจรู้สึกคุ้นๆ กับเนื้อเรื่อง บางคนก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้เรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง? แต่นี่คือเรื่องจริงที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้เมื่อหลายพันปีก่อน

หรืออาจยังมีคำถามค้างคาใจว่า
แล้วจู่ๆ ทำไมศัตรูหายไปไหนกันหมด?
แล้วคนที่มาบอกว่าพรุ่งนี้จะกลับสู่ปกติ เขาเป็นใครกัน?

หาคำตอบได้จากเล่มนี้ครับ…

 

2 พงษ์กษัตริย์ 6:24 -7:20

——————-

เหตุที่ศัตรู (กองทัพซีเรีย) หายไปกันหมด เพราะว่าพระเจ้าทรงทำให้พวกเขาได้ยินเสียงเหมือนมีกองทัพใหญ่ มีรถรบ มีม้าศึก จนเข้าใจไปว่ากษัตริย์อิสราเอลคงไปไหว้วานกองทัพจากอียิปต์และฮิตไทด์ให้มาช่วยรบ ดังนั้นพวกเขาจึงลุกขึ้นหนีตายไปตั้งแต่ช่วงพลบค่ำ ทิ้งของข้าวมากมายไว้อยู่ที่ค่าย

เพราะองค์เจ้านายได้ทรงทำให้กองทัพของคนซีเรียได้ยินเสียงรถรบ เสียงม้า และเสียงกองทัพใหญ่ เขาจึงพูดกันว่า “ดูสิ พระราชาแห่งอิสราเอลได้จ้างบรรดาพระราชาแห่งคนฮิตไทต์ และบรรดาพระราชาแห่งอียิปต์มารบกับเราแล้ว” เขาจึงลุกขึ้นหนีไปในเวลาโพล้เพล้ และทิ้งเต็นท์ ม้า และลาของเขา ทิ้งค่ายไว้อย่างนั้นเอง และหนีเอาชีวิตรอด (7:6-7)

ส่วนคนที่มาบอกนั้นก็คือ ผู้เผยพระวจนะเอลีชา ที่นำถ้อยคำของพระเจ้ามาแจ้งแก่โยรัม ซึ่งเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลเหนือในขณะนั้น

แต่เอลีชาทูลว่า “ขอฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ แป้งอย่างดีถังหนึ่งเขาจะขายกันหนึ่งเชเขล และข้าวบาร์เลย์สองถังหนึ่งเชเขลที่ประตูเมืองสะมาเรีย” (7:1)

และคนจรจัดก็คือ คนโรคเรื้อนทั้ง 4 คน ที่อยู่ตรงทางเข้าประตูเมือง (7:3)

ทุกคนในเมืองต่างเผชิญกับวิกฤตการกันดารอาหารรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ นายทหารคนสนิท ผู้หญิงที่ฆ่าลูก และคนโรคเรื้อน

ความน่าสนใจของเรื่องนี้ คือ การตอบสนองต่อวิกฤตที่แตกต่างกันออกไปของแต่ละคน “ทุกวิกฤตของชีวิตจะมีทางเลือกเสมอ” และการเลือกตอบสนองที่แตกต่าง จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต่างกันด้วย

——————-

กษัตริย์โยรัม

ในภาวะวิกฤตของบ้านเมือง กษัตริย์คือคนสำคัญที่สุด คุณต้องแสดงความเป็นผู้นำลุกขึ้นแก้ปัญหา และที่จริงก็น่าจะคาดการณ์เตรียมรับมือไว้ล่วงหน้า แต่สิ่งที่โยรัมตอบสนองออกมาคือ

  • เมื่อได้ยินเรื่องราวแย่ๆ ก็จมอยู่กับความโศกเศร้า สิ้นหวัง ไม่หาทางออก รอรับชะตากรรม

และเมื่อพระราชาทรงได้ยินถ้อยคำของหญิงนั้น พระองค์ก็ฉีกฉลองพระองค์ (พระองค์กำลังทรงดำเนินอยู่บนกำแพง) ประชาชนก็มองและเห็นพระองค์ทรงฉลองพระองค์ผ้ากระสอบอยู่แนบเนื้อ (6:30)

  • ระบายความโกรธของตัวเองผิดที่ผิดทาง คือจะไปฆ่าเอลีชา ทั้งที่ควรออกไปจัดการทหารซีเรีย

และพระองค์ตรัสว่า “ถ้าศีรษะของเอลีชาบุตรชาฟัทยังอยู่บนบ่าของเขาในวันนี้ ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษเราและยิ่งหนักกว่า” (6:31)

    • โยนความผิดให้พระเจ้า ขาดความเชื่อ

พระราชาเสด็จลงมาหาท่านและตรัสว่า “เหตุร้ายนี้มาจากพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะรอคอยพระยาห์เวห์อีกทำไม?” (6:33)

ทหารคนสนิทของกษัตริย์

เมื่อเอลีชาออกมาพยากรณ์ว่าพรุ่งนี้ข้าวของต่างๆ จะซื้อได้ถูกลง ทหารคนนี้กลับมองว่าเป็นไปไม่ได้ที่ราคาสินค้าจะลดลงอย่างรวดเร็วภายในแค่วันเดียว

  • สิ้นหวังจนขาดความเชื่อว่าพระเจ้าจะคลี่คลายวิกฤตนี้ได้ เขามองว่าเรื่องเหล่านี้ยากยิ่งกว่าจะสร้างหน้าต่างในฟ้าสวรรค์เสียอีก!
  • ผลลัพธ์ของคนที่ขาดความเชื่อ คือ เขาจึงพลาดการมีส่วนในพระพร

และนายทหารคนสนิทก็ได้ตอบคนของพระเจ้าว่า “ถ้าแม้พระยาห์เวห์ทรงสร้างหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้หรือ?” และท่านได้ตอบว่า “ดูสิ ท่านจะเห็นกับตาของท่านเอง แต่จะไม่ได้กิน” และมันก็เกิดขึ้นจริงกับตัวเขา เพราะประชาชนเหยียบเขาจนตายที่ประตูเมือง (7:19-20)

  • เราเห็นว่า คนที่สิ้นหวังจะหยุดตัวเองไว้ไม่ก้าวต่อ และจะมีคำพูดเพื่อยับยั้งคนอื่นไว้ไม่ให้ไปต่อด้วย ทั้งกษัตริย์และทหารคนสนิทมีภาษาแห่งปัญหา พูดถึงแต่ข้อจำกัดหรือความเป็นไปไม่ได้

แม่ที่กินลูกของตัวเอง

  • สถานการณ์จนตรอกที่สุดสามารถทำให้คนสูญเสียมโนธรรมได้ สังเกตว่าหญิงคนนี้ไม่ได้มาร้องขออาหารจากพระราชา แต่มาขอให้ช่วยตามหาลูกของเพื่อนบ้านที่ตกลงกันไว้

แต่พระราชาตรัสถามนางว่า “เจ้ามีเรื่องอะไร?” นางทูลตอบว่า “หญิงคนนี้บอกข้าพระบาทว่า ‘เอาลูกของเจ้ามาให้พวกเรากินวันนี้เถิด และพวกเราจะกินลูกของฉันวันพรุ่งนี้’ เราจึงต้มลูกของข้าพระบาทและกิน และรุ่งขึ้นข้าพระบาทก็พูดกับนางว่า ‘เอาลูกของเจ้ามา เพื่อพวกเราจะกินกัน และนางก็ซ่อนลูกของนางเสีย’ ” (6:28-29)

  • หญิงคนนี้ไม่จมอยู่กับปัญหา เลือกทำอะไรบางอย่าง เพียงแต่ทางเลือกคือ ขอแค่ตัวเองรอด โดยไม่สนใจความถูกต้อง

คนโรคเรื้อน 4 คน

โรคเรื้อนเป็นสิ่งมลทิน ทำให้พวกเขาต้องออกไปอยู่นอกเมือง (หน้าประตูเมือง) และตอนนี้พวกเขามีถึง 3 ทางเลือกว่า

  1. เลือกกลับเข้าไปในเมือง: หนีปัญหา กลับไปสู่อดีต
  2. เลือกนั่งอยู่ที่เดิม:  อยู่นิ่งๆ ใน safe zone ไม่ลงมือทำอะไร ไม่ตัดสินใจอะไร
  3. เลือกจะลุกขึ้นเดินไปข้างหน้า: ไม่ยอมจำนนกับสถานการณ์ ทำบางอย่างเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง
  • สิ่งที่พวกเขาเลือกคือ การไม่ยอมสิ้นหวังต่อสถานการณ์ พวกเขาไม่นั่งรอความตายและลุกขึ้นสร้างการเปลี่ยนแปลง ลงมือทำบางอย่าง

มีคนโรคเรื้อนสี่คนอยู่ที่ทางเข้าประตูเมือง พวกเขาพูดกันว่า “เราจะนั่งที่นี่จนตายทำไมเล่า? ถ้าเราพูดว่า ‘ให้เราเข้าไปในเมือง’ การกันดารอาหารก็อยู่ในเมือง และเราก็จะตายที่นั่น และถ้าเรานั่งที่นี่เราก็ตายเหมือนกัน ฉะนั้นจงมาเถิด ให้เราเข้าไปในค่ายของคนซีเรีย ถ้าเขาไว้ชีวิตของเรา เราก็จะรอดตาย ถ้าเขาฆ่าเรา ก็ได้แต่ตายเท่านั้นเอง” (7:3-4)

  • คนโรคเรื้อนทั้ง 4 คนเป็นตัวแทนของ “คนที่ไม่สิ้นหวังและเดินไปข้างหน้า” เขาเชื่อว่าทุกอย่างมีโอกาสจะดีขึ้นได้ เขาแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับกษัตริย์ผู้มีอำนาจและทหารที่มีกำลัง
  • พระเจ้าเลี้ยงนกทุกตัว แต่ก็ไม่โยนอาหารใส่ถึงรังนก ในทุกวิกฤต จำเป็นต้องมีคนที่ลุกขึ้นมา ลงมือและเดินไปข้างหน้า
  • ทีจริง พวกเขาถูกทดสอบเช่นเดียวกับหญิงที่ฆ่าลูกตัวเอง ด้วยการเอาเงินทองข้าวของไปซ่อน แต่ที่สุดพวกเขาก็กลับใจคิดได้ว่าไม่ควรทำแบบนี้ จึงกลับเข้ามาบอกข่าวดีผู้คนในเมือง

เมื่อคนโรคเรื้อนเหล่านี้มาถึงริมค่าย เขาก็เข้าไปในเต็นท์หนึ่ง กินและดื่ม และขนเงิน ทองคำ และเสื้อผ้าจากที่นั่นเอาไปซ่อนไว้ แล้วเขาก็กลับมาเข้าไปในอีกเต็นท์หนึ่ง ขนเอาข้าวของออกไปจากที่นั่นด้วยเอาไปซ่อนไว้  แล้วเขาพูดกันว่า “เราทำไม่ถูกเสียแล้ว วันนี้เป็นวันข่าวดี ถ้าเรานิ่งอยู่ และคอยจนแสงอรุณขึ้น โทษจะตกอยู่กับเรา เพราะฉะนั้น มาเถิด ให้เราไปบอกสำนักพระราชวัง” (7:8-9)

  • แม้พวกเขาเป็นคนต่ำต้อย เป็นโรคที่สังคมรังเกียจ ดูด้อยศักยภาพ ถูกมองข้าม แต่คนเล็กน้อยเหล่านี้กลายเป็นอุปกรณ์ให้พระเจ้าใช้ จนมีผู้คนอีกมากที่ได้รับพร

——————-

ไม่ว่าชีวิตคุณกำลังรับมือกับปัญหา หรือเผชิญหน้ากับวิกฤติ คุณกำลังจนตรอก มืดแปดด้าน คิดหาทางไม่ออก ความสิ้นหวังกุมใจคุณไว้จนไม่เหลือกำลังจะทำอะไรอีก คุณได้แต่นั่งนิ่งไร้จุดหมาย และแว่บหนึ่งก็อาจมีอีกทางเลือกที่คุณยังลังเลอยู่ เพราะลึกๆ คุณรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง

อย่าลืมว่าไม่ใช่แค่คุณคนเดียวที่ต้องเจอวิกฤตแบบนี้ ท้ายที่สุดทุกคนต้องเลือก บ้างก็เลือกทำสิ่งที่ผิด บ้างก็เลือกทำสิ่งที่ถูก แล้วคุณเองล่ะจะเลือกทางไหน

แต่สิ่งที่คนโรคเรื้อนทำกลายเป็นแรงใจให้คุณเห็นว่า ในภาวะที่ดูเหมือนทำอะไรไม่ได้มาก แต่เพียงแค่ก้าวเล็กๆ ที่คุณตัดสินใจเลือกเดินไปข้างหน้า มันสามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ได้เกินกว่าที่คุณคิด

ที่สำคัญ พวกเขาพึ่งพา “ความเสี่ยง” เพื่อก้าวออกไป แต่พวกเราพึ่งพา “ความเชื่อ” และ “ความหวัง” ในพระเจ้า ย่างก้าวของเราจึงหนักแน่น พร้อมจิตใจอันกล้าหาญ

“ไม่มีสถานการณ์ที่สิ้นหวัง  มีแต่คนที่ยอมสิ้นหวังให้กับสถานการณ์”
แคลร์ บูท ลูซ (Clare Boothe Luce)

 

บทความ:  JK
อ้างอิง:  คำเทศนา อย่าหยุดที่จะก้าวต่อไป (ศจ.ทนนท์) 

ภาพ:  Hillie Chan on Unsplash , Pablo Heimplatz on Unsplash
ออกแบบ:  Zippy

 

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง