บทความ

ข้าจะใคร่ครวญถึงพระองค์ในยามรุ่ง

เมื่อตอนที่ผมสูญเสียภาระใจและความตั้งใจในการใช้เวลาส่วนตัวกับพระเจ้า ผมก็เริ่มมองไม่เห็นพระองค์ แม้ว่าผมยังอ่านพระคัมภีร์และอธิษฐานอยู่ แต่ผมไม่ได้มองเห็นพระองค์ชัดเท่าที่ควรจะเป็น ราวกับว่ามีหมอกบางๆ ค่อยๆ พัดเข้ามาหลายวันหลายสัปดาห์จนบดบังความงามของพระองค์ไปจากตาใจของผม

มันทำให้ความปรารถนาที่จะพบพระเจ้าของผมนั้นด้านชาไป และกีดกันผมไม่ให้พบกับความสุขที่ลึกซึ้งและเข้มแข็งยิ่งกว่าในพระองค์

บางทีคุณอาจคุ้นเคยกับหมอกร้ายนั้นอยู่แล้วเหมือนกับกษัตริย์ดาวิด ดาวิดนั้นเฝ้ารอคอยถึงสิ่งที่เขาจะได้เห็นและสัมผัสเมื่อถึงเวลาที่เมฆหมอกนั้นจางหายไป:

จิตใจของข้าพระองค์จะอิ่มหนำดังได้กินอาหารชั้นเลิศ
           และปากของข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ด้วยริมฝีปากที่ชื่นบาน
เมื่อข้าพระองค์ระลึกถึงพระองค์ขณะอยู่บนที่นอน
           และใคร่ครวญถึงพระองค์ทุกๆ ยาม  (สดุดี63:5-6)

ดาวิดได้สอนเราให้ผ่านหมอกควันนี้ไปด้วยการใคร่ครวญเฝ้าเดี่ยว และไม่ใช่หมายถึงเพียงแค่การใคร่ครวญถึงพระคำเท่านั้น แต่คือการใคร่ครวญถึงพระเจ้าพระองค์เอง ดังที่สดุดีบอกว่า “ข้าพระองค์ระลึกถึงพระองค์ขณะอยู่บนที่นอนและใคร่ครวญถึงพระองค์” การใคร่ครวญนั้นจึงหมายถึงการหวนคิดคำนึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงพระเจ้าในพระคัมภีร์ ทั้งนี้ก็เพื่อหัวใจของเราเอง

“เมื่อเราใคร่ครวญบนพระคำของพระเจ้า เราก็กำลังใคร่ครวญถึงพระเจ้าพระองค์เอง”

เมื่อเราแช่ตัวและจิตวิญญาณของเรา ไม่ว่าจะเป็นในพระธรรมอพยพ เลวีนิติ บทเพลงสดุดี ผู้เผยพระวจนะน้อย พระกิตติคุณ คริสตจักรในยุคแรก และจดหมายฝากของเปาโล  เราก็กำลังใคร่ครวญไม่ใช่เพียงแค่บนตัวอักษรบนกระดาษ แต่กำลังใคร่ครวญถึงพระเจ้า พระองค์ทรงสำแดงพระองค์เองแก่เราผ่านตัวอักษรเหล่านั้น

เรากำลังได้เห็นพระองค์ในพระสิริอันงดงาม ได้ยินถ้อยคำแห่งสติปัญญานิรันดร์จากพระองค์ และได้สัมผัสถึงความสุขที่ไม่สามารถหาได้จากที่ใด ซึ่งพระองค์ได้ทรงเติมเต็มในจิตวิญญาณของเรา

เราจึงไม่ได้แค่ตื่นเช้าเพียงเพื่อจะเรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้าหรือฝึกฝนวินัยส่วนตัวเท่านั้น  แต่เราลุกขึ้นแต่เช้า “เพื่อที่จะพบพระองค์” สดุดี 145:5 กล่าวว่า“ข้าพระองค์จะตรึกตรองถึงความยิ่งใหญ่ในศักดิ์ศรีอันสูงส่งของพระองค์ และตรึกตรองถึงการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์”

ไม่ว่าเราจะนั่งลงใคร่ครวญตรึกตรองในเวลาเช้าตรู่ ช่วงสาย บ่าย หรือแม้ยามค่ำคืน เราสามารถคาดหวังในพระสิริ ความงดงามและความยิ่งใหญ่ เราสามารถคาดหวังได้ว่าจะพบพระเจ้า

สำคัญยิ่งกว่าการนอนหลับ

เวลาในการเฝ้ายามกลางคืนนั้น (Watches of the night) ถูกกำหนดขึ้นจากการเฝ้าดู ป้องกันภัยและคอยระมัดระวังศัตรู ความปลอดภัยนั้นสำคัญยิ่งกว่าการนอนหลับพักผ่อน จึงต้องมีบางคนที่เสียสละการนอนเพื่อให้คนในเมืองที่เหลือปลอดภัยจากศัตรู

แม้คริสเตียนจำนวนมาก โดยเฉพาะในโลกตะวันตก มักจะไม่กังวลใจว่าจะมีใครบุกเข้ามาในบ้านของเราเพื่อปล้นและทำร้ายกลางดึกก็ตาม  แต่ก็ยังมีสิ่งที่สำคัญมากกว่าการนอนหลับ ผู้เขียนสดุดีได้กล่าวไว้ว่า

“ข้าพระองค์ตื่นขึ้นก่อนรุ่งอรุณ ทูลขอความช่วยเหลือ
ข้าพระองค์หวังในพระวจนะของพระองค์
ดวงตาของข้าพระองค์ตื่นอยู่ทุกเวลายามค่ำคืน
เพื่อตรึกตรองพระดำรัสของพระองค์” (สดุดี 119:147-148)

แม้ว่าการนอนหลับพักผ่อนนั้นจะสำคัญ แต่เขารู้ว่าการใคร่ครวญกับพระเจ้านั้นน่าอิ่มใจยิ่งกว่า เขาจึงยินดียอมลุกขึ้นจากเตียง สละเวลานอนเพื่อให้ได้พบพระเจ้าแม้เพียงเล็กน้อย

หากเราละเลยในการใช้เวลากับพระคำพระเจ้าและการอธิษฐานอยู่เป็นประจำ เพียงเพราะว่าเรารักในการนอนแล้ว เราก็กำลังพลาดจากน้ำพระทัยของพระองค์

แน่นอนว่าการนอนเป็นสิ่งสำคัญ (สดุดี 127:2) แต่ไม่สำคัญที่สุด อาหารก็เป็นสิ่งที่สำคัญ (1 ทิโมธี 4:4; 6:8) แต่ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด การสมรสและครอบครัวก็เป็นสิ่งที่สำคัญ (สุภาษิต 18:22; สดุดี 127:3) แต่นั่นก็ยังไม่สำคัญที่สุด

การสามัคคีธรรมกับพระเจ้า คือการได้รู้จักและใช้เวลากับพระองค์โดยปราศจากความเร่งรีบ เพื่อที่จะใคร่ครวญและอธิษฐานต่อพระองค์ นี่ต่างหากคือสิ่งสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใดที่เราทำทั้งหมด ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเรียกร้องความเร่งรีบเร่งด่วนจากเราเพียงใดก็ตาม

หากพระเจ้าทรงทำให้เราต้องนอนดึกหรือทรงปลุกเราให้ตื่นตั้งแต่เช้ามืด นั่นอาจเป็นเพราะมีบางสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการนอน  พระองค์ทรงทราบดีว่าเวลาไหนที่เราควรจะต้องพัก หรือเวลาไหนที่เราควรต้องใช้เวลาใคร่ครวญอธิษฐาน

โดยพระคุณพระองค์อาจทรงทำให้เราได้ลืมตาตื่นก่อนที่เสียงนาฬิกาปลุกจะดังขึ้น เพื่อให้เราได้เห็นแม้เพียงอีกเสี้ยวหนึ่งของพระสิริที่ให้เราได้ชื่นชมยินดี หรืออาจเพื่อรับฟังภาระหนักของเราก่อนที่เราจะล้มตัวลงนอนก็เป็นได้

เราอาจคิดว่าที่เรายังนอนไม่หลับเป็นเพราะความเครียด อาหารไม่ย่อย หรือการที่สมดุลร่างกายผิดปกติอื่นๆ  แต่จริงๆ แล้ว ที่เรานอนไม่หลับ อาจเป็นเพราะพระคุณก็เป็นได้  พระเจ้าอาจทรงกำลังเชื้อเชิญเราลุกออกจากเตียงนอนไปสู่บางอย่างที่มีคุณค่าและน่าอิ่มเอมใจเสียยิ่งกว่าการนอนหลับ

ด้วยความรักที่จดจ่อ

อย่างไรก็ตาม เราจะไม่มีทางสัมผัสได้ว่าการใคร่ครวญนั้นเป็นพระคุณของพระเจ้า หากปราศจากการจดจ่อ  โดยส่วนใหญ่แล้ว การใคร่ครวญผ่านอินเตอร์เน็ตนั้น มักไม่ช่วยให้เราใช้ได้เวลาใคร่ครวญนานๆ มากนัก  แทบทุกเว็บไซต์ที่เราเข้าไปนั้นมักทำให้เราต้องคลิก กด เลื่อนไปเลื่อนมาเพื่อหาสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ  ดังนั้นการจดจ่อต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างแท้จริงจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แม้ว่าพระเจ้ากำลังตรัสอยู่ต่อหน้าท่านก็ตาม

“สามัคคีธรรมกับพระเจ้านั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดที่เราทำทั้งหมด ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเรียกร้องความเร่งรีบเร่งด่วนจากเราเพียงใดก็ตาม”

อีกครั้งหนึ่ง ผู้เขียนสดุดีได้กล่าวว่า “ข้าพระองค์จะตรึกตรองข้อบังคับของพระองค์ จะใส่ใจในวิถีทั้งหลายของพระองค์” (สดุดี 119:15)  ครั้งสุดท้ายที่คุณให้ความสนใจในระดับนั้นกับอะไรสักอย่างคือเมื่อไร?

เมื่อไรบ้างที่คุณใส่ใจ จดจ่อกับอะไรบางอย่างจนไม่ยอมละสายตาจากมัน ไม่แม้แต่จะพักเพื่อตอบไลน์ พักเพื่อทานขนม พักฟังข่าวด่วนหรือแม้แต่เช็คผลฟุตบอล

หากว่าความชื่นชมยินดีในแบบที่ถูกบันทึกไว้ในพระธรรมสดุดีนั้นช่างดูไม่คุ้นเคย และหาไม่ได้จากชีวิตประจำวันของเรา  นั่นอาจเป็นเพราะเรากำลังตีตัวเองให้ออกห่างจากการใคร่ครวญ ห่างจากการแสวงหาพระเจ้าอย่างแน่วแน่  เราเองกำลังสูญเสียความหิวกระหายในพระเจ้าอย่างเอาจริงเอาจังหรือไม่?

การใคร่ครวญ จึงไม่ใช่แค่การให้ความสนใจอย่างจดจ่อ หรือการอ่านและคิดโดยปราศจากทิศทาง  แต่เป็นความปรารถนาที่รุนแรงที่จะพบ ไม่ใช่การยอมทำตามอย่างไร้ความรู้สึก เป็นดั่งเชื้อเพลิงที่ผลักดันให้เราไล่ตามแสวงหาพระเจ้า

ดังเช่นใน สดุดี 119:48 “ข้าพระองค์จะชูมือทั้งคู่ของข้าพระองค์ต่อพระบัญญัติของพระองค์ซึ่งข้าพระองค์รัก และข้าพระองค์จะตรึกตรองกฎเกณฑ์ของพระองค์”  การใคร่ครวญจึงเป็นความรักที่ต้องจดจ่อ ใส่ใจ ใช้ความสม่ำเสมอ  ดังเช่นในตัวอย่างในสดุดี 1:1-2 ที่กล่าวว่าความสุขเป็นของบุคคล “ผู้ที่ความปิติยินดีของเขาอยู่ในธรรมบัญญัติของพระยาเวห์ และเขาใคร่ครวญธรรมบัญญัติของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน”

แม้ในเช้าที่ยากลำบากและไม่เป็นใจ

อาจดูเหมือนว่าการใคร่ครวญนั้นต้องอาศัยช่วงเวลาเช้าที่แสนจะ “ปกติ” เป็นเช้าที่เงียบสงบ ปราศจากการรบกวน หรือเรื่องใดๆ ก็ตามที่ควบคุมไม่ได้  แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าช่วงเวลาเช้าที่แสนสงบนั้นจริงๆ แล้วเป็นเช่นไร

เราทุกคนล้วนคุ้นชินกับเช้าที่วุ่นวายและคาดเดาไม่ได้มากกว่า จนความไม่ปกตินั้นกลายมาเป็นเรื่องปกติของเรา  ต่อให้เราตั้งใจวางแผน ซื้อสมุดเพื่อจดบันทึก ตั้งนาฬิกาปลุก  แต่ความวุ่นวายในชีวิตก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดี  ในที่สุดเวลาของเราก็เหลือน้อยกว่าที่เราคาดไว้ และหลายครั้งดูเหมือนว่าจะไม่มีเวลาเหลือด้วยซ้ำไป  เราอาจถูกคนรอบข้างเรียกร้องเวลาจากเราได้ตลอด

นั่นทำให้เราเริ่มเข้าใจว่าทำไมดาวิดจึงเลือกช่วงเวลาเฝ้ายามกลางคืนเพื่อใคร่ครวญ เพราะนั่นเป็นเวลาที่คนอื่นๆ หลับใหลกันหมดแล้ว

อาจมีบางวันหรือบางฤดูกาลของชีวิตที่เหมาะสมและช่วยให้เราใช้เวลาใคร่ครวญกับพระเจ้าได้ดีเป็นพิเศษ  แต่ในพระธรรมสดุดีได้แสดงให้เห็นว่า เราไม่สามารถรอให้ช่วงเวลาที่เหมาะเหล่านั้นมาถึงได้  ในความเป็นจริง การใคร่ครวญจะยิ่งมีคุณค่ามากขึ้นเมื่อสถานการณ์หรือปัจจัยต่างๆ นั้นไม่เป็นใจแก่เรา โดยเฉพาะในท่ามกลางช่วงเวลาแห่งการทดลองและการข่มเหง

ผู้เขียนสดุดีกล่าวว่า “แม้พวกเจ้านายนั่งปรึกษากันต่อสู้ข้าพระองค์ แต่ผู้รับใช้ของพระองค์จะตรึกตรองกฎเกณฑ์ของพระองค์” (สดุดี 119:23) ดาวิดถูกขับไล่ออกจากดินแดนของเขา ถูกล้อมรอบไปด้วยศัตรูมากมายและเผชิญหน้ากับอันตราย แต่เขาไม่ยอมเลิกที่จะใคร่ครวญต่อพระเจ้า

ตลอดทั้งพระธรรมสดุดี เราเห็นว่าดาวิดถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องละทิ้งทุกๆ สิ่งไว้เบื้องหลัง แต่เขาไม่เคยคิดที่จะละทิ้งการใคร่ครวญและการอธิษฐานที่เต็มไปด้วยความรักที่จดจ่อต่อพระเจ้าเลย

คุณไม่ได้อยู่เพียงลำพัง

เมื่อคุณตื่นขึ้นในเช้าวันพรุ่งนี้เพื่อใคร่ครวญต่อพระเจ้าผ่านทางพระวจนะ พระองค์ทรงต้องการที่จะพบคุณที่นั่น  ไม่ใช่เพียงเพื่อการที่ตัวของคุณจะถูกเข้าใจและถูกชื่นชม แต่เพื่อช่วยให้คุณได้เข้าใจและชื่นชมในตัวของพระองค์

เปาโลบอกทิโมธีผู้เป็นสาวกของเขาว่า “จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าพูด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานความเข้าใจแก่ท่านในทุกๆ สิ่ง” (2 ทิโมธี 2:7)  การใคร่ครวญที่แท้จริง คือการฝึกฝนที่จะขจัดความวางใจในตัวเองออกไป เพราะพระปัญญาของพระเจ้านั้นทำให้แม้แต่มนุษย์ที่ฉลาดที่สุดต้องฉงนและถูกดูหมิ่นด้วยเหตุเพราะพระคุณ

เมื่อคุณเปิดพระคัมภีร์ จงวางความต้องการที่จะเข้มแข็ง มีสติปัญญา และมีอิสระของคุณลง ลองอธิษฐานแบบเดียวกับที่ผู้เขียนสดุดีกล่าวว่า “ขอทรงทำให้ข้าพระองค์เข้าใจทางแห่งข้อบังคับของพระองค์ และข้าพระองค์จะตรึกตรองถึงการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์” (สดุดี 119:27)

เรานำความรักที่จดจ่อและการอธิษฐานพึ่งพาเข้ามา และพระองค์จะทรงประทานความเข้าใจให้ จะประทานการปลอบโยนและเยียวยาบาดแผลที่ชอกช้ำ ปลดปล่อยเราจากบาปที่กำลังปล้ำสู้ ให้สติปัญญาที่จะผ่านปัญหาความสัมพันธ์และสถานการณ์ที่เผชิญ และยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด จะทรงประทานความยำเกรงในยามที่เราได้กลับมาจ้องมองความงดงามของพระองค์อีกครั้ง

เมื่อพระเจ้าทรงเคลื่อนไหวในการใคร่ครวญของเรา เราจะพูดได้เหมือนกับที่ โรเบิร์ต เมอร์รี่ แม็คคีน เคยกล่าวไว้ว่า “จงตื่นขึ้นในรุ่งเช้าเพื่อแสวงหาพระเจ้า และพบพระองค์ผู้เป็นที่ดวงใจของเรา ใครเล่าจะไม่ตื่นเช้าเพื่อพบกับเพื่อนที่แสนวิเศษเช่นนั้น”

พระเจ้าทรงนั่งอยู่ข้างๆ ยามที่เรากำลังอ่านพระคัมภีร์ ยิ่งกว่านั้นคือพระวิญญาณทรงสถิตภายในเรา  เมื่อเราใช้เวลาใคร่ครวญ ‘ต่อพระองค์ร่วมกับพระองค์’

พระเจ้าผู้ที่จิตวิญญาณของเรารักที่สุดนั้นก็กำลังใคร่ครวญ ‘เพื่อเราและผ่านตัวของเรา’ เพื่อสำแดงแม้เพียงเสี้ยวเดียวของพระองค์เองให้เราได้เห็น คือความงดงามที่เราไม่สามารถจะมองเห็นได้ ด้วยตัวของเราเอง

 

บทความ:  I Will Meditate on You in the Morning, Marshall Segal
แปล:  Yuta
ภาพ:  Photo by Tyssul Patel on Unsplash
ออกแบบ:  Zippy

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง