เราคงเคยได้ยินคำสอนคริสเตียนมาหลายยุคหลายสมัย ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ถึงสิ่งที่จะส่งผลกระทบต่อจิตใจ จนสิ่งนั้นสามารถพาชีวิตของเราให้เหินห่างออกจากชุมชน เมินเฉยต่อหลักการพระคัมภีร์ ห่างไกลออกจากทางของพระเจ้า จนท้ายที่สุดเริ่มเย็นชา จัดลำดับความสำคัญในชีวิตผิดทางเข้าไปทุกที และรุนแรงที่สุดก็คือ “ปฏิเสธความเชื่อ” สิ่งเหล่านั้นก็คือ…
ทรัพย์สินเงินทอง | เกียรติยศชื่อเสียง | การล่อลวงทางเพศ
เมื่อเราปล่อยให้ 3 สิ่งนี้กุมอำนาจเหนือจิตใจและร่างกาย จนควบคุมเราให้เดินตามเส้นทางแห่งเงามืด โศกนาฏกรรมชีวิตและจิตวิญญาณ ก็อาจเกิดขึ้นกับเรา…ไม่ช้าก็เร็ว… ซึ่งในพระคัมภีร์ก็ได้บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ให้เราได้เรียนรู้ และเข้าใจถึงสาเหตุเหล่านั้นไว้แล้วด้วย
สำหรับบทความนี้ ChristLike มีโอกาสพูดคุยกับคุณ ยุ้ย คริสลิน นรสิทธิพงษ์ เธอได้แบ่งปันให้ฟังถึงช่วงหนึ่งของชีวิตที่เคยตกอยู่ในเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับความหอมหวลของทรัพย์สินเงินทอง และชื่อเสียงเกียรติยศ จนชีวิตเริ่มออกห่างจากทางของพระเจ้าเรื่อยๆ จนวันหนึ่งตัดสินใจยืนหยัด และเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้ว่าผลของการตัดสินใจนั้น ดูเหมือนจะสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับพบชีวิตใหม่ที่มีความสุขมากยิ่งกว่าการมีทรัพย์สินเงินทอง และเกียรติยศชื่อเสียงมากมาย
อยากมีเวลาเพื่อจะได้ไปคริสตจักรในวันอาทิตย์
ก่อนหน้านั้นเข้าใจมาตลอดว่า การเป็นผู้รับใช้ คือ การเป็นศิษยาภิบาล เป็นผู้นำนมัสการ เท่านั้น ส่วนตัวก็ใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นแบบนั้น เมื่อเห็นคนที่ยืนเทศนา สั่งสอน และเป็นผู้นำก็รู้สึกชื่นชม และมีแรงบันดาลใจเสมอ มักจะเอาคำเทศนาไปแบ่งปันให้เพื่อนๆ ฟัง แต่เมื่อเติบโตขึ้นจึงเข้าใจอะไรมากขึ้นกว่าเดิม เริ่มเข้าใจจริงๆว่าการรับใช้นั้นคืออะไร จึงทำให้ยิ่งอยากจะมีส่วนร่วมในงานรับใช้มากขึ้นไปอีก
แต่ด้วยบทบาทหน้าที่การงานที่รับผิดชอบอยู่ ณ ตอนนั้น ทำให้ไม่สามารถมาร่วมรับใช้ได้อย่างเต็มที่ ไม่สามารถเข้ารอบนมัสการที่คริสตจักรวันอาทิตย์ได้เหมือนคนอื่นๆ ด้วย จึงทำให้เริ่มมีความคิดอยากจะเปลี่ยนงาน
เข้าสู่ธุรกิจใหม่ มีเวลา มีเงินทอง มีชื่อเสียง
ตอนนั้นทำงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง หน้าที่หลักคือขายสินค้า ต้องแข่งขันเพื่อให้ได้ยอดขายมาตามเป้าหมาย ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานเป็นแบบเพียงผิวเผิน ซึ่งช่วงเวลาที่ขายได้ดีคือวันหยุด ลักษณะการหยุดงานจึงไม่เป็นเวลา ส่งผลให้ไปคริสตจักรวันอาทิตย์ได้ไม่ต่อเนื่อง จึงอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อให้พบงานที่สามารถมีเวลาเพื่อจะมาคริสตจักรได้
จนได้พบพี่คนหนึ่งชวนเข้ามาสู่ธุรกิจประกันชีวิต เมื่อได้ใช้เวลาตัดสินใจอยู่ระยะเวลาหนึ่ง สุดท้ายก็เข้ามาอยู่ในธุรกิจนี้แบบ part-time 2 เดือน จากนั้นก็ตัดสินใจลาออกจากงานเดิมมาเริ่มต้นธุรกิจประกันชีวิตแบบเต็มเวลา
เป้าหมายเปลี่ยน ทิศทางชีวิตเปลี่ยน
งานใหม่ก็ดำเนินผ่านไปได้ด้วยดี เติบโตขึ้น มีเป้าหมายในการทำงานที่ชัดเจน มองเห็นอนาคตของตัวเองถึงรายได้ และความมั่งคั่งทางการเงิน อยู่ท่ามกลางเสียงปรบมือ คำชม เกียรติยศชื่อเสียง และการยอมรับ สิ่งเหล่านี้ส่งผลทำให้จิตใจ และทิศทางเป้าหมายชีวิต ความตั้งใจเดิมเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ จนไม่รู้ตัว
คือจากเดิมคือต้องการเปลี่ยนงานเพื่อให้มีเวลารับใช้มากขึ้น มีเวลาไปร่วมนมัสการมากขึ้น มีชีวิตกับพระเจ้ามากขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการเปลี่ยนงานครั้งนี้ ทำให้เรามีเวลามากขึ้นจริงๆ แต่เรากลับเอาเวลาเหล่านั้นไปสร้างความมั่งคั่งทางการเงิน และชื่อเสียง ทุ่มเทให้กับธุรกิจแบบสุดเหวี่ยง แทนที่ความตั้งใจเดิม
กลิ่นอันหอมหวลของความมั่งคั่งทางการเงิน การได้ท่องเที่ยว การได้รางวัลของการทำงานในรูปแบบต่างๆ ทำให้เรามีพลังสามารถทำงานได้ทุกวัน คือจันทร์ ถึงอาทิตย์ ตีห้า ถึงเที่ยงคืน ทุ่มเทกับการทำงานแบบไม่ลืมหูลืมตา จนเราลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านั้นเราเคยต้องการอะไรในชีวิต ขอเรียกช่วงเวลาเหล่านั้นว่า “หลุมดำ”
ใช้เวลา 2 ปีเต็มกับการวนเวียนอยู่ใน “หลุมดำ”
เราได้ทุกอย่างที่อยากได้ แต่กลับไม่รู้จักพอ ยิ่งเราได้สิ่งเหล่านั้นมา เราก็ยิ่งต้องการมากขึ้น พอยิ่งมีมากขึ้นเรากลับรู้สึกขาด และต้องการมากยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งคิดมันก็ยิ่งเรียกร้องให้เราจ่ายราคาเพื่อทำมันมากขึ้นเพื่อจะได้รับมากขึ้น ทั้งตำแหน่ง เงินทอง และการยอมรับมากองอยู่ตรงหน้า รอการเดินเข้าไปหาเท่านั้น
แม้เราสามารถสร้างทีมงานภายในองค์กรให้ประสบความสำเร็จมากมาย แต่ตัวเองกลับไม่มีเงินเก็บ ไม่รู้ว่าเงินหายไปไหนหมด ทั้งๆ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการบริหารการเงิน เราแนะนำให้คนอื่นๆ ให้บริหารการเงินอย่างมืออาชีพ แต่เราเองกลับล้มเหลว มีหนี้สินพัวพันมากมาย ติดหนี้สินที่บ้าน ความสัมพันธ์กับที่บ้านเริ่มแย่ ทะเลาะกับที่บ้าน เงินเข้ามาก็ออกไป ทำงานหนัก เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ ค่าเดินทาง ค่าน้ำมันตกต่อเดือนแล้ว 3-4 หมื่นบาท ยังไม่ร่วมค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก สันติสุขในชีวิตเริ่มหดหาย ขาดคริสตจักร ขาดการสามัคคีธรรม เฝ้าเดี่ยวแบบให้พอผ่าน อธิษฐาน นมัสการแบบขอไปที เพื่อรักษาไว้เพียงแค่คำว่าคริสเตียน
สาเหตุของการเกิด “หลุมดำ”
จนเมื่อเวลาผ่านไปเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างในใจ เกี่ยวกับวิธีการทำงาน และที่มาของผลงานของตัวเอง และองค์กร เพราะถูกสอนให้ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งผลงาน โดยไม่สนใจเกี่ยวกับกฏเกณฑ์ที่ถูกต้อง และจริยธรรมของอาชีพด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพูดความจริงไม่ครบถ้วนต่อลูกค้า บิดเบือนความจริง ใช้วิธีทางลัดแบบผิดๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งยอดขาย โดยคิดไปว่านั่นคือการลงทุน
เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเดินผิดทาง เพราะเมื่อมองย้อนกลับไปในช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง มีเงินทองเข้ามามากมาย แต่จริงๆ แล้วกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่อันตราย ไม่ถูกต้องต่อสายพระเนตรพระเจ้า วิธีการเหล่านี้นอกจากจะทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัยแล้ว ยังทำให้ชีวิตการเป็นคริสเตียนขาดสันติสุข และเริ่มเดินออกห่างจากชุมชนมากขึ้น
มาถึงจุดตัดสินใจ
สัมผัสและรับรู้ได้เลยว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นสัญญาณเตือนจากพระเจ้าว่าเลือกเดินบนเส้นทางที่ผิด ก็เลยเริ่มรวบรวมสติและอธิษฐานต่อพระเจ้า เพื่อให้หลุดจากปัญหาเหล่านี้ ขอสติปัญญาและความกล้าหาญ จากนั้นก็เดินไปพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดว่าขอปฏิเสธที่จะร่วมทำ Project นี้ ทั้งที่ช่วงนั้นยังคงมีปัญหาหนี้สิน ติดลบ และยังไม่มีทางออกใดๆ เกี่ยวกับเรื่องเงิน ไม่รู้จะพาตัวเอง และลูกน้องไปทางไหนต่อ หมดหนทางจริงๆ แต่ก็ตัดสินใจแล้วว่าของเลือกเดินบนเส้นทางที่ชอบธรรมดีกว่า!
ผลที่ได้รับจากการตัดสินใจครั้งนี้คือ ถูกมองว่าทำตัวแตกต่าง สวนกระแส ดื้อ และไม่เชื่อฟัง เลยทำให้อยู่กับแวดล้อมสังกัดเดิมไม่ได้ต้องย้าย และเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่ทั้งหมด พูดง่ายๆ ว่าเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดนั่นเอง
จำได้ว่า ณ ช่วงเวลานั้นเครียดมาก ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรกับชีวิตต่อจากนี้ดี ถึงขนาดขับรถออกไปข้างนอกโดยยังไม่รู้จะไปไหน ไม่มีจุดหมายปลายทางที่แน่ชัด เหน็ดเหนื่อยหัวใจอย่างถึงที่สุด และในเวลานั้นเองระหว่างที่กำลังขับรถอยู่ ก็สังเกตเห็นหลังรถคันหนึ่งมีข้อความเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า
บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา
และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข
– มัทธิว 11:28 –
ร้องไห้ และน้ำตาไหลออกมาทันที รู้เลยว่าพระเจ้ากำลังใช้ข้อความนี้เข้ามาปลอบประโลมเรา และตอกย้ำถึงการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะเลือกเดินทางที่ถูกต้อง หันไปมองจิ๊บ (สามี) ที่นั่งมาในรถด้วยกัน และพูดกับเขาว่า “อาทิตย์นี้ เราไปโบสถ์กันเถอะ” ในเวลานั้นจิ๊บยังไม่ได้เป็นคริสเตียนเลยด้วยซ้ำ
เติบโตในทุกด้านบนเส้นทางแห่งความถูกต้อง
ได้มาเริ่มต้นกับบริษัทเดิม แต่ออฟฟิศใหม่ บรรยากาศการทำงานใหม่ๆ และที่สำคัญคือพระองค์ก็จัดเตรียมพาเราให้ไปเจอกับพี่น้องที่เป็นคริสเตียนด้วยกัน ทำได้รับการหนุนจิตชูใจในขณะที่ทำงานด้วยกันที่นั่นด้วยอย่างมาก
เมื่อเราเลือกเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง แม้หลายสิ่งหลายอย่างอาจจะไม่ทันใจ ไม่ได้รวดเร็วดั่งในที่มนุษย์คิดไว้ แต่ความยำเกรงพระเจ้าก็ทำให้ชีวิตและหน้าที่การงานได้รับการปกป้อง และการรับรองจากพระเจ้า เริ่มกลับเข้ามาสู่สภาวะของการรับใช้ การอยู่ในชุมชนคริสเตียน การสามัคคีธรรมที่ลงลึก
ปัญหาแต่ละเรื่องที่เผชิญมาก่อนหน้านั้น เริ่มได้รับการแก้ไขทีละอย่าง และการอวยพรก็เริ่มผ่านเข้ามาสู่ชีวิตอย่างต่อเนื่อง เติบโตในหน้าที่การงาน แม้ว่าใช้แรงทำงานน้อยกว่าเดิมแต่ผลลัพธ์ที่ได้ดีกว่าเดิมอย่างเกินความเข้าใจ หนี้สินได้รับการปลดปล่อย มีเงินเก็บ รวมถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวด้วย และสามารถเป็นพระพรต่อพี่น้องที่อยู่รอบข้าง ที่สำคัญคือได้มีส่วนในการรับใช้อย่างมากมาย ทั้งในคริสตจักร และต่างคริสตจักร
สิ่งสำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือสามีได้มีโอกาสเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระเจ้าผู้ช่วยให้รอด เนื่องจากเขามองเห็นชีวิตและการยืนหยัดบนความถูกต้องของคริสเตียน และสังเกตวิธีคิดในการทำธุรกิจของคริสเตียน
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ในครั้งนี้คือ พระเจ้าอนุญาตให้เราได้เรียนรู้เอง ล้มเอง เจ็บเอง และกลับมาเดินอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องเอง เพื่อให้เราได้รับบทเรียนของชีวิต แต่ระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านั้น พระองค์ก็ไม่ได้ปล่อยมือเราทิ้งไป แต่ยังอยู่เคียงข้างเรามาโดยตลอด
บทเรียนสำคัญสำหรับเรื่องนี้
- เมื่อรู้ตัวว่าชีวิตเริ่มผิดทิศผิดทาง การตัดสินใจเลือกที่อยู่บนฐานความยำเกรงพระเจ้า จะนำมาซึ่งสวัสดิภาพในระยะยาว
- แม้เริ่มต้นด้วยความตั้งใจดี แต่ชีวิตรอบด้านเต็มด้วยการล่อลวง ฉะนั้นอย่าประมาท รักษาใจและพึ่งพาพระเจ้าเสมอ
- ในพระเจ้า ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้นใหม่ แม้จะมีราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการเริ่มต้น อย่าล้มเหยียดยาว อย่ารู้สึกผิดจนกล้วการเริ่มต้นใหม่ พระเจ้าทรงตามหาเรา
สัมภาษณ์และเรียบเรียง : MR.PROMISE
ภาพ: MR.PROMISE
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น