เคยได้ยินไหมกับคำว่า “เพื่อนกัน ไปไหนไปกัน” “ถ้าไม่มา ไม่ใช่เพื่อน” “ใจป่าวๆ ถ้าใจๆ ก็ตามมา” คำพูดเหล่านี้มักออกมาได้ทั้งจากปากเพื่อนที่สนิทและไม่สนิท เคยสังเกตไหมว่า คนที่พูดคำพูดเหล่านี้มักจะมีเพื่อนล้อมรอบเสมอๆ เป็นคนที่คุยสนุก เป็นแกนนำในการไปไหนมาไหน เป็นคนที่ดูมีพลังเสมอท่ามกลางผู้คน และจะดูมีพลังเพิ่มมากขึ้นหากมีจำนวนคนที่มากขึ้น
แน่นอนว่าในรั้วมหาวิทยาลัยของเราเต็มไปด้วยผู้คนประเภทนี้นะครับ ซึ่งจะขอเรียกว่าเป็นกลุ่มคน Extrovert คือ
“กลุ่มคนที่ชอบเข้าหาผู้คน มนุษยสัมพันธ์ดี เข้าได้กับทุกคนชอบแสดงออกด้วยการพูด มักจะเบื่อถ้าต้องอยู่ตัวคนเดียว คนกลุ่มนี้จะเพิ่มพลังงานให้ตัวเองจากการอยู่กับคนหมู่มาก”
ในด้านตรงกันข้ามกลุ่มคนที่มักจะอยู่คนเดียว ไม่สุงสิงกับใคร ดูหยิ่งนิดๆ (ในสายตาผู้อื่น) ไปไหนมาไหนคนเดียว ดูหมดพลังมากๆ หลังจากการนำเสนองานหน้าห้องเรียน กลุ่มคนเหล่านี้จะขอเรียกว่าเป็นกลุ่มคน Introvert คือ
“กลุ่มคนที่มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง ดูเหมือนจะขี้อาย มีความสุขในการอยู่คนเดียว ไม่กล้าพูด คนกลุ่มนี้จะเพิ่มพลังงานให้ตัวเองจากการอยู่คนเดียว”
นี่คือ 2 กลุ่มใหญ่ๆ ที่ทำให้เราเห็นถึงความแตกต่างของผู้คนรอบข้างตัวเรา และเมื่อเราสังเกตเห็นความแตกต่างของคนในรั้วมหาวิทยาลัย เพื่อนที่อยู่ในกลุ่มของเรา เราน่าจะมียินดีที่มีคนหลากหลายประเภท แต่น่าเสียดายที่เรามักจะได้ยินคำว่า
“เฮ้ย… ไอหนุ่มหรอ มันหนีกลับบ้านอีกแล้วว่ะ มันเทประจำ ทิ้งเพื่อน”
“แกรรร…อย่าไปคบกับมันเลย มันหยิ่ง ถามคำตอบคำ น่าเบื่อ”
“ไอแมนมันปาร์ตี้ทุกศุกร์ อย่าไปคบมันเลยเดี๋ยวพาเกรดตก”
“เกิร์ลลี่เจอทีไรก็อยู่กับคนนู้นที คนนี้ที ดูสิไม่สนใจพวกเราเลย ลำไย”
มันยุติธรรมหรือไม่ที่เราจะตีตราใครสักคนที่แตกต่างจากเราด้วยคำพูดที่ทำร้ายจิตใจกันอย่างนี้ หรือด้วยการกระทำบางอย่างเพื่อสร้างความสบายใจหรือความชอบธรรมในการตัดสิน
แน่นอนไม่มีใครอยากเป็นคนร้ายในสังคม เมื่อเป็นอย่างนี้จึงเกิดการเหยียดคนที่แตกต่างให้เป็นกลุ่มคนอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น แบ่งเป็นกลุ่มคนที่น่าเบื่อ กลุ่มคนที่เสเพล สร้างคำพูดมาเพื่อแบ่งแยกกึ่งเหยียด เช่นคำว่า มนุษย์ปาร์ตี้ เนิร์ดห้องสมุด สายเมา สายเรียน เด็กดี เด็กอนามัย เป็นต้น
ในเมื่อเรารู้ว่าคนเรามีความแตกต่างหลากหลาย ทำไมเราจึงไม่เห็นว่ามันเป็นสิ่งสวยงามที่พระเจ้าทรงสร้างมาในโลกเพื่อให้การดำเนินชีวิตในแต่ละวันมีความพิเศษ แตกต่างกัน ไม่เหมือนกัน และเพื่อสร้างให้มีอะไรร่วมกันได้ มากกว่าสร้างเพื่อการตัดสินและการเหยียด
การแบ่งประเภทของคนว่าเป็น Introvert หรือ Extrovert ไม่ใช่การที่จะทำให้คนอีกประเภทหนึ่งมาเข้าใจ แต่ทำให้เข้าใจตนเองว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร พักผ่อนอย่างไร และทำให้รู้ว่ามีคนที่เหมือนๆ กับเราอยู่ มีคนที่เข้าใจเราและเราก็เข้าใจเขา และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากกว่าเดิม
จะดีกว่าไหมถ้าเราจะมาเชื่อฟังพระคัมภีร์สักตอนหนึ่งในเรื่องความหลากหลายของคนและการอยู่ร่วมกันในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรั้วมหาวิทยาลัย ในกิจการ 10:27–28
ระหว่างที่กำลังสนทนากัน เปโตรเข้าไปและเห็นคนจำนวนมากมาอยู่รวมกัน จึงกล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “พวกท่านทราบแล้วว่า การที่คนยิวจะคบหาหรือเยี่ยมเยียนคนต่างชาติถือว่าเป็นเรื่องต้องห้าม แต่พระเจ้าทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า ไม่ควรถือว่าคนหนึ่งคนใดไม่บริสุทธิ์หรือเป็นมลทิน”
เมื่อดูในบริบทในพระคัมภีร์เดิม มีหลายจุดเหลือเกินที่เราเข้าใจว่าอย่าคบอย่ายุ่งกับคนต่างชาติ แต่เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงตายเพื่อไถ่บาปมนุษย์ทุกคนแล้วนั้น กำแพงเหล่านี้ได้ถูกทำลาย พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของมนุษย์ทุกคน ทุกชนชาติ ทุกความหลากหลาย พระเจ้าทรงสร้างทุกอย่างแล้วเห็นว่า “ดี” เราจะเชื่อฟังพระคัมภีร์และตอบสนองโดยเข้าใจความหลากหลายของคนได้อย่างไร
- หยุดพฤติกรรมการเรียกกลุ่มต่างๆ ในคณะของเราที่เป็นการพูดเชิงเปรียบเทียบหรือเหยียด
- เคารพการตัดสินใจของเพื่อนเพราะความแตกต่างที่เขาเป็น
- ทำความเข้าใจว่า ไม่ใช่ว่า Introvert ไม่อยากไปปาร์ตี้หรือพบปะผู้คน เพียงแค่ต้องบอกก่อน เพื่อเขาจะได้เตรียมตัว (พลัง) ในการไปเที่ยวอย่างมีความสุข
- ทำความเข้าใจว่า การพักผ่อนของ Extrovert คือการพบปะผู้คน การอยู่คนเดียวทำให้เขาเหี่ยวเฉา
สุดท้ายแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะรู้จัก Introvert และ Extrovert มากขึ้น แต่การที่เราจะแบ่งประเภทของคนก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะคนเราไม่ได้เป็นคนเพียงแบบใดแบบหนึ่ง ลักษณะใดลักษณะเดียว มีความหลากหลายตามแต่สถานการณ์ต่างๆ อารมณ์ เวลาต่างๆ การเป็น Introvert หรือ Extrovert จึงผันเปลี่ยนแตกต่างกันไป เพราะฉะนั้นการเป็นตัวของตัวเองโดยไม่ฝืนธรรมชาติมากเกินไป เปิดรับความแตกต่าง ความหลากหลาย ทำความเข้าใจตนเองและผู้อื่น อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ จะทำให้การดำเนินชีวิตของเราก้าวข้ามความกลัว ความเกลียดชังสิ่งที่แตกต่าง และทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นแน่นอน
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น