เมื่อพี่เป็นนักศึกษาที่สิงคโปร์ พี่มีโอกาสฝึกงานเป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่ Institute of Mental Health (IMH) ซึ่งก็คล้ายๆ กับโรงพยาบาลจิตเวชที่กรุงเทพฯ ตอนนี้เวลาผ่านไปหลายปีแล้ว พี่อาจลืมทุกอย่างที่เคยเรียนมา แต่มีบทเรียนหนึ่งที่ไม่มีวันลืม…
วันหนึ่ง ผู้ดูแลที่เป็นนักสังคมสงเคราะห์มาหลายปี มาถามเราว่า “ระหว่างคนไข้กับเรา มีแค่อย่างเดียวที่แตกต่างกัน รู้ไหมว่ามันคืออะไร”
เราใช้เวลาคิดเสียหลายวันเลย เราพูดคุยกับเพื่อนๆ ที่ฝึกงานด้วยกันว่าคำตอบคืออะไร แต่ไม่มีใครตอบได้เลย
ในที่สุดผู้ดูแลก็เฉลยว่า “สิ่งเดียวที่ต่างกันระหว่างคนไข้และพวกเราก็คือ…ความโชคดี”
ถ้าผู้ดูแลเชื่อพระเจ้า เขาอาจจะใช้คำอื่น แต่สิ่งที่เขากำลังสื่อก็คือ
…มันอาจจะเกิดขึ้นกับเราก็ได้…
พูดง่ายๆ ก็คือ เราไม่รู้ว่าโรคแบบนี้อาจจะมาถึงเราอย่างไรเมื่อไร
ในวันพรุ่งนี้ เราอาจกลายเป็นคนไข้ใน IMH ก็ได้ พี่ก็เลยได้บทเรียนว่า
อย่าคิดว่าเราดีกว่าคนไข้ และเราไม่จำเป็นต้องสงสารเขา แต่เราควรเรียนรู้ด้วยกันกับคนไข้ ลองเข้าใจเขา เดินกับเขา และ be MAD — Making A Difference (สร้างความแตกต่าง) ในชีวิตคนไข้และครอบครัวของเขา สนับสนุนเขาเพื่อที่จะรับมือกับโรคที่เขาเป็นอยู่ให้ได้ดีขึ้น และสามารถกลับมามีส่วนร่วมและอยู่ในสังคมได้
ในประเทศสิงคโปร์ยังมีความอัปยศที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยทางจิต พี่มีเพื่อนที่ต้องต่อสู้กับภาวะซึมเศร้า แอสเพอร์เกอร์ โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) อาการกินไม่หยุดและอาการเบื่ออาหาร
จริงๆแล้วมันก็ไม่ง่ายที่จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อพวกเขา แต่คิดดูสิ สำหรับเขา มันจะยากแค่ไหนที่จะต้องต่อสู้กับหลายต่อหลายเรื่องในแต่ละวัน เช่นการถูกเข้าใจผิด การแสวงหาการยอมรับจากครอบครัวและเพื่อนๆ การพยายามที่จะเป็นคน “ปกติ” ในสายตาของสังคม
นี่ทำให้พี่คิดถึงคำสอนของพระเยซูในมัทธิว 7:12
ดังนั้น ให้ทำกับคนอื่นเหมือนกับที่คุณอยากให้คนอื่นทำกับคุณในทุกเรื่อง เพราะกฎปฏิบัติของโมเสส และคำสอนของพวกผู้พูดแทนพระเจ้าก็สรุปได้อย่างนี้แหละ — ฉบับอ่านเข้าใจง่าย THA-ERV
แม้บริบทของข้อนี้คงพูดถึงศัตรูของเรามากกว่า แต่บางครั้งการกระทำของเราต่อคนที่แตกต่างจากเราอาจจะไม่ต่างจากสิ่งที่เราทำกับศัตรูของเรามากนัก
ถ้าเราเป็นกลุ่มคนส่วนน้อยในสังคมเหมือนเพื่อนเราที่กำลังต่อสู้กับปัญหาด้านจิตเวช เราจะอยากให้คนรอบข้างปฏิบัติกับเราอย่างไร
พี่รู้ว่าแม้ไม่สามารถช่วยเพื่อนได้มากมายขนาดนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทำได้ก็คือ
“อยู่ร่วมกันกับเขาต่อไป”
พี่สงสัยว่าสังคมไทยมองโรคทางจิตอย่างไร? น้องๆ มีเพื่อนหรือคนที่รักที่ต่อสู้กับโรคแบบนี้ไหมคะ? ประสบการณ์ของน้องเป็นอย่างไรบ้าง?
พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากบริการสุขภาพของรัฐบาลและเพื่อนๆ อย่างไรบ้าง?
หรือว่าน้องเองกำลังต่อสู้กับโรคแบบนี้ไหม? น้องคิดว่าควรมีสิ่งใดบ้างที่สังคมจะช่วยสนับสนุนได้มากขึ้นไหม?
เรื่องนี้พี่อยากชวนให้เราลองคุยกันต่อนะคะ
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น