บทความ

‘Kanye West’ แรปเปอร์ผู้ทรงอิทธิพลแห่งทศวรรษ กับการกลับมาหาพระเจ้า และ ปรากฏการณ์ ‘Jesus is King’

ท่ามกลางกระแสอันรุนแรงและถาโถมของ  Digital Music Platform  ที่แย่งกันวิ่งเข้าหาผู้ฟังทั่วโลก ในทุกวันนี้ ยากเหลือเกินที่จะมีศิลปินหน้าใหม่ ที่จะผงาดขึ้นมาให้ผู้ฟังทั่วโลกนั้นชอบเหมือนๆ กัน และพร้อมๆ กัน แต่ ‘คานเย เวสต์’ เป็นหนึ่งในคนๆ นั้นที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินระดับแถวหน้าของโลกได้ และยังกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลแห่งทศวรรษ ที่ไม่ว่าจะขยับตัวไปทางไหน ทำอะไร ก็จะเป็นประเด็นที่ทำให้โลกจับตามองอยู่เสมอ

ความสำเร็จของคานเยไม่ต้องการการพิสูจน์ใดๆ อีกแล้วในเส้นทางดนตรีนี้ที่เขาได้เดินทางมายาวนานกว่า 15 ปี สามารถ คว้ารางวัล  Grammy Awards ที่เป็นที่สุดของวงการเพลงมากมายถึง 21 รางวัล และยังอยู่ในรักษาคุณภาพงานให้ได้เป็นที่ยอมรับและอยู่ในระดับบนมาโดยตลอด โดยทำยอดขายรวมจาก CD และ Streaming ได้มากกว่า 132 ล้านครั้ง!

คานเยมีผลงานเพลงมาแล้วกว่า 11 อัลบั้ม และเริ่มออกชุดแรกในวัย 27 ปี ซึ่งสาเหตุที่มีอัลบั้มแรกอายุเท่านี้ เป็นเพราะเขาคือเบื้องหลังของวงการ Hip-Hop, R&B มาโดยตลอด ซึ่งได้แต่งเพลงและ produce ให้กับศิลปินอย่าง Alicia Keys, Jay-Z, John Legend, Kid Cudi และอื่นๆ อีกมากมายมาแล้วหลายๆ เพลง เชื่อว่าคงเคยผ่านหูผ่านตาเรามาแน่นอน แต่หลายคนก็อาจไม่รู้ว่านี่เป็นผลงานของ Kanye West

Album ที่ผ่านมาของ Kanye (2004 – 2018)

การที่ได้ค้นหาตัวตนและทำให้สำเร็จตาม  ‘Passion’  ที่คนในยุคนี้แสวงหากันอย่างบ้าคลั่งนั้น   ทำให้หลายคนยอมแลกจิตวิญญาณของตัวเองเพื่อให้ได้เงิน  ให้ได้รับการยอมรับจากสังคม และ  เฉลิมฉลองอยู่บนกองเงินที่หาได้  แต่คานเยหาได้เป็นเช่นนั้นไม่  เขากลับเลือกไปต่อในอีกเส้นทางที่ไม่เคยมีใครทำได้

ถ้าการเป็นระดับบนของวงการเพลงคือหนึ่งในล้านแล้ว  สิ่งที่เขาทำได้ในเส้นทางใหม่ คงเป็นหนึ่งในพันล้านบนโลกนี้แน่นอน

คานเย เลือกกระโดดเข้าสู่วงการแฟชั่น ที่ต้องการพิสูจน์ตัวเองว่า ความเป็นศิลปิน ศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ของเขานั้น  จะพาตัวเองไปอีกเส้นทางแต่มาบรรจบกันในความสำเร็จแบบเดียวกันได้

หลังจากสำเร็จในวงการเพลงอย่างมาก เขาเริ่มเข้าวงการแฟชั่นในปี 2015 หรือในวัย 38 ปี! แต่อายุเป็นเพียงตัวเลข และเขาได้ตั้งใจ พยายาม และได้รับโอกาสดีในการร่วมงานและฝึกงานกับแบรนด์ระดับโลก อย่าง Nike, Adidas, Fendi, Gap, Louis Vuitton

จากแรปเปอร์  มุ่งหน้าสู่การเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์  ผู้คนได้แต่สงสัย  งง  และปรามาสว่า คงเป็นแค่อีกหนึ่งคนดัง ที่ต้องการขยายพอร์ตธุรกิจจากงานเพลง  และคงไม่สำเร็จเหมือนนักร้อง คนดังอื่นๆ ที่ล้มเหลวกันมาแน่นอน

Yeezy  คือ  Fashion Brand  ที่เขาทำร่วมกับ Adidas  และประสบความสำเร็จอย่างสูง หลังจากล้มลุกคลุกคลานมาหลายรอบ โดยเขาได้ควบคุมการผลิตเองทั้งหมด 

Yeezy  ที่ไม่ว่าจะผลิตอะไรออกมา ทั้งรองเท้า  Sneaker หรือเสื้อผ้าต่างๆ ก็จะขายหมดตั้งแต่  pre-order กันเลยทีเดียว  ทั้งที่เป็นสินค้า High Street (High Fasion + Street)  ที่ขายราคา re-sell หรือขายต่อเก็งกำไร ตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักหลายแสน  จนเกิดเป็นกระแสทั่วโลกสำหรับนักสะสม และเหล่าผู้บริโภคชั้นดีของ  Social platform  ต่างๆ  (FB, IG, Snapchat, Twitter, YouTube)  ที่ต้องแสวงหา ดั้นด้นซื้อมากันให้ได้  ไม่ว่าจะโดนบวกราคาเพิ่มขึ้นกี่เท่า เพื่อให้ได้มีรูปถ่าย/คลิปตัวเองกับสินค้า  Yeezy  โพสลง Social เรียกยอด  Like  ให้ทันเวลาก่อนคนอื่น!

ความสำเร็จนี้ คงไม่มีสูตรสำเร็จที่เราหรือใครจะไปทำตามกันได้ง่ายๆ  เพราะเหล่ากูรูจากหลายวงการพยายามหาสูตรสำเร็จของคานเย

บ้างก็ว่าได้ภรรยาและครอบครัวของภรรยาที่สวย รวยและเป็นคนดังแห่งโลก Social อย่าง  Kim Kardashian และพี่น้องอย่าง Kendal Jenner, Kylie Jenner  หรือบ้างก็ว่า ทีมประชาสัมพันธ์ของคานเยนั้นเก่ง และเครือข่ายดีมากๆ  ในการพูดถึงและโปรโมทคานเย  หรือบ้างก็ว่ากระแสของ Digital  ที่  disrupt วงการสื่อมาถูกจังหวะพอดี และคานเยก็ฉวยโอกาสและได้อานิสงส์นี้ไปเต็มๆ

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เรารู้แน่ๆ  และต้องให้เกียรติ  ชื่นชมผู้ชายคนนี้ ก็คือ เขามีไอเดียที่แปลก  แหวก  และนำ  Trend  เสมอจริงๆ  และมากกว่านั้นเขาเป็นคนที่ทุกคนยอมรับในการ ‘ลงมือทำจริง’

 

“ผมต้องการสร้างอะไรสักอย่างที่มีเอกลักษณ์ และมันสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้นักออกแบบแฟชั่นคนอื่นๆ เพราะผมไม่ได้เกิดมาบนโลกนี้เพื่อหาเงิน ผมเกิดมาเพื่อสร้างสิ่งมหัศจรรย์”

 

 

จุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อความสำเร็จ ไม่ใช่คำตอบของชีวิต!

ท่ามกลางความสำเร็จและเงินทองมากมาย แต่สิ่งเหล่านี้กลับไม่ได้ทำให้คานเยได้รับความสุขและการเติมเต็ม กลับทำให้เขายิ่งรู้สึกว่าต้องการคำตอบของชีวิต

ครั้งหนึ่ง ความสำเร็จที่ได้มา ทำให้เขาได้เรียกตัวเองว่า Yeezus ซึ่งเปรียบตัวเองเป็นเหมือนพระเยซูที่แทนความยิ่งใหญ่และความเชื่อมั่นอย่างสุดโต่งในตัวเขาเองดุจดั่งพระเจ้า เหล่าแฟนเพลงต่างๆ ก็พากันยกย่องว่าเป็นอีกหนึ่ง Icon ของโลกในปัจจุบัน 

ทว่าสิ่งนี้กลับเป็นเหมือนหอกทิ่มแทงชีวิตเขาเอง เพราะทุกครั้งที่เขาแสดงความเห็น หรือเป็นตัวเอง ขัดกับสื่อและกระแสสังคม ถึงแม้จะเป็นความจริงและเสรีภาพในการแสดงความเห็น แต่ผู้คนก็พร้อมจะถล่มคานเยด้วยอาวุธและกระสุนทาง Social ไม่ว่าจะเป็นการทวีตดูถูก ด่าทอเขาและครอบครัวต่างๆ นานา จนถึงกับคานเย เคยพูดออกไมค์บนคอนเสริต์ตัวเองว่า ให้ทุกคนอย่าตกเป็นทาสสื่อ ให้มีอิสระเสรีทางความคิดและจิตใจ และเขายอมแลกทุกสิ่งเพื่อออกมาเตือนให้ทุกคนตื่นและระวังภัยนี้ได้แล้ว เหมือนเหตุการณ์ในหนัง The Matrix ที่ทุกคนอยู่ภายใต้การควบคุมของสื่อและกลุ่มคนกันไปหมดแล้ว

3 เหตุการณ์หลักๆ ที่ทำให้ คานเย โดนถล่มเสมือนถูกประหารบนโลกโซเชียล ก็คือ

1. ในงาน MTV Video Music Awards 2009 ซึ่งเป็นการประกาศรางวัลนักร้องหญิงยอดเยี่ยม ซึ่งตกเป็นของ Taylor Swift นั้น คานเยได้เดินขึ้นบนเวทีและขอไมค์จาก Taylor และประกาศการไม่เห็นด้วยของรางวัลนี้ ว่าผู้ที่คู่ควรได้รับรางวัล ควรต้องเป็น Beyonce! และแน่นอน หลักเหตุการณ์นี้ โลก Twitter ได้ถล่มเขายับถึงการไร้มารยาท และไม่แคร์ใครเช่นนี้

2. การสนับสนุน Donald Trump อย่างชัดเจน ถึงแม้การเมืองจะมี 2 ขั้วและเรามีสิทธิที่จะเลือกฝ่ายที่เราเห็นด้วย แต่การเป็นตัวเองของคานเย การสนับสนุนและพูดถึง Trump นั้น ได้นำเข้าสู่แดนประหารทาง Online อีกครั้ง

3. ประกาศจะลงสมัครแข่งเป็น ประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2020 และ 2024 นี้ ได้ทำให้หลายๆ คนถึงกับหัวเราะ ดูถูก และค่อนแคะกันว่า ถึงคราวที่ใครก็คงเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กันแล้วมั้ง

จากปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามา และความสำเร็จทั้งเพลงและแฟชั่น ที่ทำให้ชีวิตของคานเยนั้น เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้เขาไม่มีเวลาพักผ่อนและโหมงานอย่างหนัก

ในที่สุดก็มาถึงจุดแตกหักที่คานเยถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลด้วยอาการทางจิตเวช หรือ Mental Illness และได้รับการรักษา รวมถึงเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลตั้งแต่ปี 2016 ถึงต้นปี 2019 ที่ผ่านมา

หลายๆคนคิดว่าชีวิตของคานเยคงจบลงแล้วแน่นอน และไม่มีทางกลับมาได้ แต่ทว่าคานเยก็ surprise ผู้คนอีกอย่างมาก กับปรากฏการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นในปี 2019 นี้และเกิดขึ้นมาต่อเนื่องจนถึงวันนี้เป็นเวลา 43 สัปดาห์ติดต่อกันแล้ว! (เขียน ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2019) และนี่คือ Timeline ที่เกิดขึ้น

3 กุมภาพันธ์ 2019

คานเยได้ Live การแสดงที่เหมือน concert ปกติ แต่เขาเรียกว่า ‘Sunday Service’ และได้ใช้โทนสีของภาพ และโทนเสียงที่แปลกออกไปจาก 10 อัลบั้มในชีวิตเขาก่อนหน้านี้ อย่างตรงกันข้าม

เมื่อถูกถามถึงที่มา คานเยได้บอกว่า เขาได้หันหลังให้กับโลก สื่อ ชื่อเสียงเงินทอง เพศ ยาเสพติด รถหรู เพชรพลอยและอบายมุขต่างๆ แล้ว ซึ่งเขาเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า ‘System’ หรือระบบ ที่ซาตานให้มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อให้เราตกเป็นทาสของระบบโดยไม่รู้ตัว เพื่อเป้าหมายคือให้เราเป็นลูกค้าและเป็นทาสของระบบนี้ตลอดไป  โดยใช้ Social Media เป็นเครื่องมือทำลายความเป็นมนุษย์ของเรา โดยเฉพาะ Instagram ที่กระตุ้นให้เราต้องบริโภคและความอยากอย่างไม่รู้จบ

เขาได้บอกคนทั้งโลกว่า ผู้ที่ช่วยให้เขาได้กลับมามีชีวิต เสรีภาพ และความคิดสร้างสรรค์ก็คือ พระเยซูนั่นเอง โดยเขาได้มีประสบการณ์พบพระเยซูเมื่อตอนที่ต้องเข้าโรงพยาบาลรักษาอาการจิตเวช หรือที่ทุกคนตัดสินว่าคานเยได้บ้าไปแล้วนั่นเอง แต่ที่นั่น พระเยซูเข้ามาในใจเขา และช่วยให้เขาได้หลุดพ้นจากความจริงจอมปลอมของ ‘ระบบ’ ที่ซาตานสร้างขึ้นมา และให้เขาได้เป็นไทในที่สุด

Sunday Service ครั้งแรก (3 Feb 2019)

21 เมษายน 2019

ที่งานดนตรีระดับโลกอย่าง Coachella 2019 ที่จัดที่ California ซึ่งเป็นงานที่นักร้องทุกคนอยากมาแสดง โชว์ของ และปล่อยของกัน เพราะนอกจากคนจากทั่วโลกที่มาร่วมงานกว่า 50,000 คนและ Live stream ถ่ายไปทั่วโลกผ่านตาคนกว่าหลายร้อยล้านคน ยังจะมี รูป/คลิปที่แชร์กันมหาศาลผ่านทางสื่อ Social ต่างๆ อีกด้วย

คานเย ได้เตรียมการแสดงที่ต่างกับนักร้องทุกๆ คนในงาน โดยเลือกเอาเช้าวันอาทิตย์ที่ 21/4/19 ซึ่งตรงกับวันอีสเตอร์ หรือวันที่คริสเตียนฉลองการที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย ซึ่งคานเยได้แสดง Sunday Service หรือรูปแบบการนมัสการพระเจ้าที่ผสมผสานระหว่าง R&B, Soul, Worship, วง Choir ออกมาเป็นรูปแบบใหม่ ที่หลายคนรีวิวกันว่า ฟังครั้งแรกประหลาดใจ แต่ฟังซ้ำๆ ไป จะประทับใจและสัมผัสได้ถึงสันติสุขในบทเพลงและเสียงที่ร่วมกันประสานของนักร้องเกือบร้อยคนที่แสดงร่วมกัน

งาน Coachella 2019 นี้ได้ทำให้คนดูในงานกว่า 50,000 คนและ Live stream ทั่วโลกได้ร่วมในเทศกาลอีสเตอร์กันอย่างอัศศจรรย์ และได้ฟังข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซู และตัดสินใจกลับใจจากบาปรับเชื่อพระเยซูกันอย่างมากมาย

ภาพจาก IG :Kim Kardashian ภรรยาของคานเย ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 150 ล้านคนทั่วโลก

25 ตุลาคม 2019

คานเยได้เขย่าโลกให้ได้ยินเรื่องราวข่าวประเสริฐของพระเยซูอย่างต่อเนื่อง ด้วย Twitter ของคานเยที่มี followers กว่า 30 ล้านคน ซึ่งโดยปกติหาก Brand ใดจะจ้างให้คานเยโพสหรือพูดถึงสินค้า คงต้องจ่ายไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท/Tweet แน่นอน แต่ครั้งนี้ไม่ต้องจ่าย เพราะคานเยเลือกเทใจใช้สื่อทั้งหมด ทำเอง พูดเองให้คนได้ยินและได้รับรู้เรื่องของพระเยซู ฮีโร่ในชีวิตเขา

“Jesus is King” ???

ผู้คนแชร์และพูดถึงกันอย่างมากมาย หลังจากหายจาก Twitter ไปเกือบปี คานเยกลับมาและโพสรูปแผ่นเสียงสีน้ำเงินสุดคลาสสิค และประโยคสั้นๆ ที่ไม่ต้องขยายความว่า “พระเยซูเป็นจอมกษัตรา” 

ทำไมเขาถึงโพสแบบนี้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ คานเยที่เรียกตัวเองและเขียนในเนื้อเพลงมาตลอดว่าเขาคือ Yeezus (ยีซัส) ซึ่งล้อเลียนกับ Jesus (จีซัส) หรือพระเยซูนั่นเอง และจากนั้นมา เขาก็ได้เลิกใช้ชื่อตัวเองว่า Yeezus อีกต่อไป และให้เกียรติพระเยู รวมถึงกลับมาใช้ชื่อจริงของเขาเองเท่านั้น

เมื่อรวมเหตุการณ์ Sunday Service ที่เขาได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง (ตั้งแต่ 3 กุมภาพันธ์ 2019) และทวีตล่าสุดในเดือนตุลาคมนี้ ทำให้ผู้คนและสื่อทั่วโลกได้ประโคมข่าวและวิเคราะห์กันอย่างลงลึกว่า คานเยคิดอะไรอยู่ และ #JesusisKing หรือ JIK นั้นเป็นแค่กระแสที่คานเยจุดขึ้นชั่วคราวและเตรียมดับไปหรือเปล่า

ชีวิตใหม่เมื่อพบพระเจ้า

ปฏิเสธความจริงไม่ได้เลยว่าเขาได้กลับใจจาก ‘System’ ที่ตัวเขาเองเรียก ว่าเป็นด้านมืดที่ทำลายความเป็นมนุษย์ ซึ่งเราแต่ละคนเป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า และหันมาสู่ทางสว่าง เดินสายประกาศทั่วอเมริกาเป็นเวลาต่อเนื่องเกือบปีแล้ว และทุกๆ ครั้งได้นำคนกลับใจรับเชื่อพระเยซูหลักร้อยถึงหลักพันเลยทีเดียว และรูปแบบการนมัสการ Sunday Services ที่เขาอธิบายว่าเป็นสิ่งที่เรียกว่า Christian Innovative Worship นั้นดังอย่างต่อเนื่องจริงๆ

กระแสการหันหลังให้กับซาตานหรือด้านมืดนั้น กำลังเป็นที่จับตามองและถูกเรียกว่าเป็น Culture Shift ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับโลกกันอย่างมาก เราเห็นคนดังอย่าง Justin Bieber หรือ Snoop Dogg รวมถึง คานเย ที่ได้รับความรักจากพระเยซู และได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างมากมาย และประกาศตัวอย่างภูมิใจว่าได้เป็นคริสเตียน หรือผู้ที่ขอเลือกจะติดตามพระเยซูอย่างเต็มตัวและยังใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และทำงานและมีความสุขกว่าเดิม โดยไม่ต้องพึ่งหรือเป็นทาสของสิ่งอบายมุขใดๆ อีกต่อไป

เมื่อคานเยถูกถามโดยพิธีกรชื่อดังต่างๆ ถึงชีวิตหลังเดินกับพระเยซูนั้นเป็นอย่างไร คานเยนั้นได้สัมภาษณ์อย่างเป็นธรรมชาติและดูมีสันติสุข รวมถึงมีความถ่อมตัวอย่างมาก ได้กลับมาเป็นคนใหม่ที่ดูมีความสุข ไม่ก้าวร้าว หรืออาการที่ผู้คนกล่าวหาว่าเป็นโรคซึมเศร้าหรือไบโพลาร์อีกต่อไปแล้ว

ขอจบลงด้วยสองคำถามทิ้งท้าย ที่ได้สร้างรอบยิ้มให้ผู้คนมากมาย ซึ่งเมื่อถูกถามว่า

  • ครั้งนึงคานเยเคยบอก รักการใช้ชีวิตกลางคืนตามผับดังๆ ทั่วอเมริกาและทั่วโลก พร้อมมีเหล้า Hennessy ราคาหลักแสนหลักล้านต่อขวดเป็นเพื่อนสนิท ซึ่งเมื่อถูกถามว่ายังรักอยู่มั้ย เขาได้ยิ้มเขินๆ และตอบว่า ไม่แล้ว และตอนนี้สิ่งที่เขารักคือ “การได้อยู่บ้านอ่านพระคัมภีร์ไบเบิลทุกคืน และใช้เวลากับภรรยาและลูกทั้ง 4 ตระกูลเวสท์ (North, Chicago, Saint และ Psalm West)”
  • และเมื่อถูกถามด้วยความสงสัยว่า อะไรเป็นจุดมุ่งหมายของสิ่งที่คานเยทำอยู่ เรียกว่าเป็น Christian Worship หรือไม่ เขากำลังจะเป็นนักร้องเพลงนมัสการรึเปล่า

คานเยได้ตอบอย่างสุภาพและถ่อมใจว่า “I’m just a Christian everything..” หรือผมก็เป็นคริสเตียนคนหนึ่งที่รักและทำทุกอย่างเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า และยินดีให้พระเจ้าใช้ชีวิตและความสามารถเขา เพื่อนำข่าวดีของพระเยซูไปถึงคนอีกมากมายบนโลกใบนี้

ปิดท้ายด้วยเพลงและคลิปที่อยากให้คุณได้รู้จักผู้ชายคนนี้มากขึ้น และเปิดใจมองเขาในมุมมองใหม่ๆ เรียนรู้บทเรียนของเขา เหมือนที่มีคนเคยกล่าวไว้ว่า

 

“ไม่มีนักบุญคนไหนไม่มีอดีต และไม่มีนักโทษคนไหนไม่มีอนาคต”

 

เนื้อเพลงจากใจ หนึ่งในเพลงจากอัลบั้มใหม่ของเขา ชุดที่ 11 

Jesus is King : เพลง God Is

God is

My light in darkness, oh

God, God is

He, He is my all and all (AndI’llnever turn back)

Godis

[Verse]

Everything that hath breath praise theLord

Worship Christ with the best of your portions

I know I won’t forget all He’s done

He’s the strength in this race that I run

Every time I look up, I see God’s faithfulness

And it shows just how much He is miraculous

I can’t keep it to myself, I can’t sit here and be still

Everybody, I will tell ’til the whole world, it’sHim

King of Kings, Lord of Lords, 

All the things He has in store

From the rich to the poor, 

all are welcome through the door

You won’t ever be the same 

when you call on Jesus’ name

Listen to the words I’m sayin’, 

Jesus saved me, now I’m saying

And I know, I know God is the force 

that picked me up

I know Christ is the fountain 

that filled my cup

I know God is alive, yeah

He has opened up my vision

Giving me a revelation

This ain’t ’bout a dead religion

Jesus brought a revolution

All the captives are forgiven

Time to break down all the prisons

Every man, every woman

There is freedom from addiction

Jesus, You have my soul

Sunday Service on a roll

All my idols, let ’em go

All the demons, let ’em know

This a mission, not a show

This is my eternal soul

This my kids, this the crib

This my wife, this my life

This my God-given right

Thank You, Jesus, won the fight

That’s what God is

That’s what God is

That’s what God is

 

“เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในทำนองเดียวกัน
จะมีความชื่นชมยินดีในสวรรค์เรื่องคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่
มากกว่าเรื่อง คนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ยอมกลับใจ”

ลูกา 15:7

 

บทความ:  PONG FISH

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง