ความรักไม่หยาบคาย
ความหยาบคายเป็นสิ่งที่ไม่มีมาตรฐานแน่นอน ที่กล่าวเช่นนี้เพราะแต่ละวัฒนธรรมมีแนวความคิดเรื่องมารยาทสังคมที่แตกต่างกัน เช่น คำบางคำที่ใช้เพื่อด่าทอ หรือระดับความดังของเสียงพูด หรือการเรอ หรือการถามอายุคนที่เพิ่งรู้จักกัน ฯลฯ ดังนั้นพฤติกรรมใดจะเป็นความหยาบคายหรือไม่นั้นจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเนื้อหาของสารที่สื่อออกมาเพียงอย่างเดียวแต่ขึ้นอยู่กับ “เจตนา” ในการสื่อสารด้วย (คนบางคนก็สามารถใช้ถ้อยคำสุภาพในการแสดงความหยาบคายได้ ซึ่งเรียกว่า “การประชด”)
ความหยาบคายจึงเป็นเรื่องของเจตนาที่จะแสดงพฤติกรรมหรือคำพูดที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกขัดเคืองใจหรือเจ็บปวดด้านความรู้สึก ดังนั้นการไม่หยาบคายคือการที่เราหลีกเลี่ยงการทำสิ่งที่ผิดมารยาทของคนในวัฒนธรรมที่เราติดต่อด้วย
ที่ผมเน้นเรื่องเจตนาก็เพราะมีบางกรณีที่เราทำให้ผู้อื่นขัดเคืองใจโดยไม่มีเจตนา อันนี้แม้ไม่ถือเป็นความหยาบคาย แต่ก็ควรที่จะขอโทษผู้ที่รู้สึกขัดเคืองใจนั้น มิเช่นนั้นเราก็จะเข้าข่ายหยิ่งผยองไม่ให้เกียรติผู้อื่น
พระคัมภีร์เตือนเราเรื่องความหยาบคายไว้ดังนี้
เอเฟซัส 4:29 อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงกล่าวคำที่ดีและเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง
เอเฟซัส 5:4 ทั้งอย่าพูดหยาบคาย พูดเล่นไม่เป็นเรื่อง และพูดตลกหยาบโลนเกเร ซึ่งเป็นการไม่สมควร แต่ให้ขอบพระคุณดีกว่า
เมื่อเรารักใครสักคนเราก็คงไม่อยากทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองใจหรือได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจ
ความรักไม่เห็นแก่ตัว
เวลาที่บางคนพูดว่าความรักคือการให้ คนนั้นกำลังหมายถึงการไม่เห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว คนที่มีความรักย่อมรู้จักการยอมเสียสละ เพราะความเสียสละเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความเห็นแก่ตัว ความรักจึงเป็นความปรารถนาที่จะเห็นคนอื่นได้รับความสุข ได้รับสิ่งที่ดี โดยเฉพาะสิ่งดีๆ ที่เกิดจากการแบ่งปันของเรา
ความรักคือการที่เราไม่วางแผนเพื่อตนเองเพียงฝ่ายเดียว โดยเฉพาะสามีภรรยาหรือคู่รัก เวลาที่วางแผนเรื่องอนาคตของครอบครัวนั้นต้องไม่มองเห็นแต่เฉพาะความสำเร็จส่วนตัวของคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องคำนึงถึงความก้าวหน้าหรือความสุขและความอบอุ่นของคนอื่นในครอบครัวด้วย
การที่เราทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวนั้นเป็นสิ่งที่น่าชมเชย แต่เราต้องระวังแรงจูงใจของเราให้ดี เพราะบ่อยครั้งเราทำงานหนักเพื่อให้ได้มาซึ่งความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน หรือเราอยากจะเกียรติมีตำแหน่งสูงๆ ในที่ทำงาน จนเราทอดทิ้งไม่เอาใจใส่คนในครอบครัว อย่างนี้ก็ไม่ใช่ความรักที่แท้จริง และบ่อยครั้งคนที่ทิ้งครอบครัวในลักษณะนี้ก็มักจะพยายามเข้าข้างตนเองด้วยการบอกว่า “ฉันทำเพราะรักครอบครัว”
การจัดการด้านการเงินที่ดีไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการพยายามเพิ่มรายได้ แต่เป็นเรื่องของการลดรายจ่ายและปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตด้วย สิ่งนี้ก็สามารถทำให้เรายังมีพอกินพอใช้และมีเวลาอยู่ร่วมกันได้ ให้เราเห็นแก่ประโยชน์ของคนที่เรารักทั้งประโยชน์ทางร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆ กัน
ความรักจึงไม่ได้เห็นแก่ความเจริญก้าวหน้าของตนเองฝ่ายเดียวหรือเห็นแก่ความคิดเห็นของตนเองในเรื่องนี้เพียงอย่างเดียว แต่เห็นแก่ประโยชน์ในด้านต่างๆ ของคนที่เรารักด้วย
ความรักไม่ฉุนเฉียว
พระธรรมยากอบ 1:19-20 กำชับเราอย่างชัดเจนว่า “…จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ เพราะว่าความโกรธของมนุษย์ไม่ได้กระทำให้เกิดความชอบธรรมแห่งพระเจ้า” และเอเฟซัส 4:26 ก็สอนเราในทำนองเดียวกันว่า “จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกแล้วยังโกรธอยู่” พระธรรมทั้ง 2 ข้อนี้กล่าวเป็นนัยว่าความโกรธเป็นความรู้สึกปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่คนที่มีความรักนั้นแม้จะโกรธแต่ก็จะไม่แสดงความรุนแรงหรือมุ่งมาดปรารถนาร้ายต่อคนที่ตนรัก ความรักจะหลีกเลี่ยงการแสดงความฉุนเฉียว ความรุนแรง และการแสดงออกที่ปราศจากการควบคุม
ความโกรธนั้นเปรียบได้ดั่งไฟ ไฟเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากมายหลายอย่าง เช่น การหุงหาอาหาร งานอุตสาหกรรม การให้ความอบอุ่น ฯลฯ แต่ไฟจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อเรา “ควบคุม” มันได้ เพราะถ้าวันใดเราไม่สามารถควบคุมไฟได้ ไฟนั้นก็จะสร้างความเสียหายต่อเราอย่างที่ไม่สามารถจะประเมินค่าได้เลย
คนที่แสดงความรักนั้นไม่ใช่ว่าไม่เคยโกรธเลย แต่เขาเรียนรู้ที่จะใช้ความโกรธของเขาในทางสร้างสรรค์ ให้เป็นแรงผลักดัน ให้เป็นสิ่งที่หล่อหลอมปรับเปลี่ยนรูปร่างสิ่งต่างๆ และเป็นประโยชน์ผู้ที่ควบคุมไฟนั้น
ความรักไม่ช่างจดจำความผิด
การไม่จดจำความผิดคือการไม่รื้อฟื้นความพลั้งพลาดเก่าๆ ที่คนอื่นเคยทำเพื่อจะทำให้คนๆ นั้นรู้สึกผิดอีกครั้งหรือผิดมากยิ่งขึ้น พระธรรมเอเฟซัส 4:32 กำชับเราว่า “จงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น” พระเจ้าทรงเป็นแบบอย่างในเรื่องการอภัยให้แก่เรา ตามที่พระธรรมอิสยาห์ 43:25 หนุนใจเราว่า “เรา เราคือพระองค์นั้น ผู้ลบล้างความทรยศของเจ้าด้วยเห็นแก่เราเอง และเราจะไม่จดจำบรรดาบาปของเจ้าไว้”
การไม่จดจำความผิดคือส่วนหนึ่งของการให้อภัยคนที่เคยทำผิดต่อเรานั่นเอง คนที่มีความรักจะสำแดงความรักด้วยการไม่เอาเรื่อง ไม่เรียกร้องการชดใช้ แต่เห็นความสำคัญของความสัมพันธ์ที่ควรจะได้รับการรื้อฟื้นมากกว่าการเรียกร้องเอาประโยชน์ที่ตนเองเคยสูญเสียไปนั้น
ความรักไม่ชื่นชมยินดีในความอธรรม แต่ชื่นชมยินดีในความจริง
คุณลักษณะประการนี้ของความรักอาจจะถูกกล่าวได้อีกอย่างว่าความรักคือความกล้าหาญ คือกล้าที่จะขัดใจคนที่เรารักหากเราเห็นคนที่เรารักกำลังทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า ในทางกลับกันความรักก็ชื่นชมยินดีในความจริงด้วย นั่นหมายความว่าความรักไม่ใช่แค่ตักเตือนหรือตำหนิ แต่ความรักก็ชมเชยเมื่อเราเห็นพฤติกรรมที่ถูกต้องเกิดขึ้นในชีวิตของคนที่ตนรักด้วยเช่นกัน ดังเช่นที่พระธรรมเอเฟซัส 4:15 เน้นย้ำให้เรา “พูดความจริง ด้วยใจรัก”
ความรักทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่เสมอ มีความหวังและความทรหดอดทนอยู่เสมอ
ข้อความสุดท้ายของนิยามของความรักใน 1 โครินธ์ 13:4-7 นั้นเป็นเหมือนบทสรุปหรือแนวคิดรวบยอดของคุณลักษณะต่างๆ ของความรักที่อัครทูตเปาโลได้บรรยายไว้ เราจึงสังเกตเห็นคำว่า “ทน” กลับมาอีกครั้งหนึ่ง และมีความเชื่อในส่วนดีของคนที่เรารัก และหวังอยู่เสมอว่าเขาสามารถจะมีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้นได้อีก เราจึงไม่โจมตีความอ่อนด้อยของคนที่เรารัก โดยเฉพาะเมื่อความอ่อนด้อยนั้นทำให้เกิดความผิดพลาด แต่เรายอมเสี่ยงกับความอ่อนแอที่ยังมีอยู่ในตัวเขาโดยเชื่อและหวังว่าเขาจะทำได้ดีกว่าที่เคยทำมา คือไว้ใจว่าเขามีส่วนดีพอที่จะทำสิ่งดีๆ ให้สำเร็จได้
คนที่มีความรักจะไม่สิ้นหวังในตัวคนที่ตนรัก เพราะความรักในใจเขานั้นจะไม่ตั้งเงื่อนไขใดๆ กับคนที่ตนรัก แต่ให้โอกาสเขาในการเริ่มต้นใหม่และพัฒนาสิ่งที่ยังขาดตกบกพร่องอยู่ให้ดียิ่งขึ้น เพราะอันที่จริงเราเองก็ไม่สมบูรณ์และยังมีสิ่งต้องพัฒนาอีกมากมาย (บางทีก็มากกว่าคนที่ตนรักด้วยซ้ำ เพียงแต่เราจะรู้ตัวหรือไม่ต่างหาก)
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นภาพสะท้อนที่สมบูรณ์ที่สุดในเรื่องความรัก เพราะพระองค์ทรงมีคุณลักษณะของความรักครบทุกเรื่องที่ปรากฏอยู่ใน 1 โครินธ์ 13:4-7 ดังนั้นพระองค์จึงทรงสามารถเสริมกำลังเราให้ทำตามที่พระองค์ทรงกระทำอยู่ได้ด้วยเช่นกัน ขอเพียงเราเรียนรู้ที่จะมีชีวิตเหมือนพระองค์มากยิ่งขึ้นผ่านทางการศึกษาพระลักษณะและพระดำรัสของพระองค์ซึ่งปรากฏอยู่ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ พระวิญญาณของพระองค์ก็จะทรงเปลี่ยนแปลงเราให้มีลักษณะที่เหมือนพระองค์มากขึ้นทุกๆ วันจนคนรอบข้างเราเริ่มสังเกตเห็นได้
Because He Loves,
ชาติชาย จารุวาที
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น