บทความ

ศาโรจน์-เล้ง: จากชีวิตคู่ที่เกือบพังสู่ความรักที่ทรงพลัง

ครั้งแรกที่เจอกัน

พี่เล้ง :  รู้สึกไม่ชอบกัน รู้สึกว่าพูดมาก น่ารำคาญ
พี่ศาโรจน์ :  ตอนนั้นผมเป็นบัญชีโรงงาน เล้งเป็นเลขานาย รู้สึกไม่ชอบเหมือนกัน คือเป็นเลขานายแล้วยังไง จุ๊ยหรอ?
พี่เล้ง :  ไม่ได้ถึงกับเกลียดนะ แต่ก็รู้สึกแบบไม่คลิก
พี่ศาโรจน์ :  ตัดผมทรงหยอยๆ เหมือนทรงพูดเดิ้ลอะ

แล้วจุดไหนที่ทำให้เริ่มสนใจกัน ใครจีบใครก่อน

พี่ศาโรจน์ :  ผมไม่เคยจีบเขานะ คืออย่างนี้ เพื่อนผมอะ ชอบคนนี้ แล้วมาบอกผมว่า ชอบคนนี้ทำไง ก็โอเค โทรชวนไปทำโน่นทำนี่ดิ แล้วปรากฏว่าให้ผมไปด้วย
พี่เล้ง :  ถ้าไปกันสองคนไม่ไปนะ แต่สามคนอะไป
พี่ศาโรจน์ :  คือสองคนนั้นจะไปไหนกันต้องมีผมไปด้วยทุกครั้ง

Christlike :  ตอนนั้นรู้ตัวไหมว่าโดนจีบ
พี่เล้ง :  รู้ว่าเพื่อนเขาชอบ แต่ไม่อยากให้เสียน้ำใจไง ชวนกินข้าวก็ อะไปได้
พี่ศาโรจน์ :  เพื่อนผมชอบ ก็ให้ผมไปด้วย จนสุดท้าย เพื่อนบอกว่าท่าทางเขาไม่ได้ชอบเพื่อน เขาน่าจะชอบผม

Christlike :  อ้าว พี่เล้งชอบพี่ศาโรจน์ก่อน..
พี่ศาโรจน์ :  น่ารักไง 555
พี่เล้ง :  คือเหมือนไปด้วยทุกครั้ง จนรู้สึกว่า เออๆ อะไรแบบนี้ ถ้าเขาไม่ได้ตั้งใจเข้ามาจีบเรา เราก็จะไม่ได้ระวังตัว อะไรแบบนี้ สมัยก่อนมันโบราณไง ถ้าโพ่งๆ เข้ามาจีบเลย เราก็จะแบบ..
พี่ศาโรจน์ :  เมื่อก่อนผมนักเที่ยวไง ทำงานเสร็จกินเหล้า อะไรงี้ แต่เล้งไม่เคยเที่ยว
พี่เล้ง :  เมื่อก่อนเป็นเด็กเรียน
พี่ศาโรจน์ :  พาไปกินข้าว ดูละครเวที ดูคอนเสิร์ต เที่ยวนี่นั่นบ่อย พ่อแม่เขาไม่ค่อยชอบผมหรอก
พี่เล้ง :  คือเด็กไม่เที่ยวแต่พอเที่ยวแล้วใจแตก เหมือนเปิดหูเปิดตา 555

เป็นแฟนกันมา 7 ปี ไม่เคยทะเลาะกันเลย

พี่ศาโรจน์ :  ไม่เคยทะเลาะกันนะ ไม่เคยมีปัญหากัน ราบรื่นสวยงาม มีแต่ที่บ้านเขาไม่ชอบผม
พี่เล้ง :  อาจจะเป็นเพราะอย่างนี้ คือเล้งทำงานกรุงเทพ ศาโรจน์เขาอยู่นครปฐม วันศุกร์เขาก็จะมารับ มันก็เลยเหมือนแบบว่า เราไม่ได้เจอกัน 5 วัน มันก็ได้มีอะไรที่แบบจะต้องทะเลาะกันมาก

ตอนไหนคือจุดที่คิดว่า ได้เวลาแต่งงานกันแล้ว

พี่ศาโรจน์ :  คบมา 7 ปี ผมยังเที่ยวเพลินอยู่เลย
พี่เล้ง :  เขายังไม่ยอมขอแต่งสักที เล้งก็บอกว่า ฉันจะ 30 แล้วนะ เธอยังไม่แต่งกับฉันอีกหรอ ถึงเวลาแล้วนะ จะแก่แล้ว รีบแต่งได้แล้ว 555
พี่ศาโรจน์ :  ก็เลยตัดสินใจแต่งงาน ตอนนั้นอายุ 29 เท่ากัน แต่งที่สนามฟุตบอลเลยนะ สมาคมนครปฐม
พี่เล้ง :  คนเยอะมาก 100 โต๊ะ
พี่ศาโรจน์ :  นายฝรั่งเขามางาน บอก โห เขาไม่เคยมางานใหญ่ขนาดนี้ จัด Outdoor คือสมัยก่อนมันไม่มีที่จัดไง

ชีวิตหลังแต่งงาน

พี่ศาโรจน์ :  แรกๆ ก็โอเคนะ คือผมอยู่นครปฐม เขาอยู่กรุงเทพ และวันศุกร์ก็ไปรับ แรกๆ เขาขับรถเอง จนกระทั่งมีน้องเค เขาก็ไม่ได้ขับรถแล้ว เมื่อก่อนบ้านผมเป็นกงสี พ่อจะให้เงินเดือน แต่ผมไม่เคยบอกเขา แล้วช่วงนั้นมันมีวิกฤต เราก็ต้องรับผิดชอบที่บ้าน แล้วพ่อผมเอาเงินไปให้คนอื่นยืม แล้วผมไม่ได้เงินนี้ บางทีหมุนไม่ทัน ก็จะมาเอาเงินที่เล้งอยู่เรื่อยๆ อีกเรื่องที่ทำให้เริ่มเวลาเขากลับบ้านมาเราก็จะชอบออกไปเที่ยว คือเหมือนกับว่าให้เขาดูลูก แล้วเราก็ออกไปเที่ยว เขาคิดว่าถ้าเราชอบออกไปข้างนอกแล้วจะอยู่ด้วยกันทำไม คือเวลาเราเที่ยว เรากลับบ้านดึก
พี่เล้ง :  ไม่ดึกอะ เช้ามืด

พี่ศาโรจน์ :  ตีสี่ ตีห้า เขาก็จะเปิดไฟรออยู่ คือเขาเป็นไม่พูด ถ้าไม่พอใจจะนั่งเงียบ
พี่เล้ง :  รอด้วยความมาคุทุกวัน ตอนนั้นคิดว่า เราทำงาน 5 วัน แล้วกลับบ้านมานี่เขาก็จะทิ้งลูกให้เราเลี้ยง ก็เลยคิดว่าตกลงฉันทำมาหากินคนเดียว แล้วพอฉันกลับมาแทนที่จะได้พัก เธอก็ออกไปเที่ยว แล้วก็ทิ้งลูกให้ฉันเลี้ยง อย่างนี้ มันก็ทั้งเลยเกิดความมาคุ เก็บกดไปเรื่อยๆ

ความขัดแย้งในความเงียบที่ก่อตัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

พี่เล้ง :  คือตอนนั้นเราทั้งทำงาน ทั้งซัพพอร์ทครอบครัวด้วย ก็เลยคิดว่า แล้วอย่างนี้จะมีสามีทำไม ฉันก็เลี้ยงลูกของฉันเองดีกว่าไหม แล้วยังต้องเอาเงินมาช่วยเธออีก ตอนนั้นมันเริ่มกลายเป็นความแค้น…
พี่ศาโรจน์ :  ตอนหลังๆ เวลากลับบ้าน เขาจะนั่งเงียบอยู่ในรถ แล้วทะเลาะกันบ่อยแบบเงียบๆ คือ เล้งจะนั่งหน้าหงิก นั่งจากนครปฐมกลับบ้าน ไม่ได้คุยกันเลย แล้วเป็นแบบนี้ประจำ จนเขาไปพูดกับพี่น้องว่าเขาจะเลิกกับเรา ก็คือ เป็นเรื่องของภาระ เลี้ยงลูก เรื่องเงิน ที่เราไม่พูดกันตรงๆ

พี่เล้ง :  ใช่ แล้วอีกอย่างเล้งคิดว่าเขาติดการพนัน
Christlike :  แล้วจริงๆ ติดไหม
พี่ศาโรจน์ :  ไม่ติด เขาคิดไปเอง
พี่เล้ง :  คือจะไม่ให้คิดได้ยังไง เขานั่งอ่านแต่หนังสือบอล กินข้าวแล้วนั่งอ่าน แล้วก็จดเป็นคู่ ๆ ว่ากี่คู่เท่าไหร่ แล้วต่อมาก็มีปัญหาเรื่องเงิน แล้วมีเอาเงินเล้งไปจ่ายผู้รับเหมา อย่างนี้

ระเบิดเวลาที่มาถึงวันระเบิด…ท้าเลิก แบ่งลูก

พี่เล้ง :  เหมือนมันสะสมมานาน จนถึงจุดแตกหักจนระเบิดออกมา คือพูดว่าไม่ไหวแล้ว จะเลิก
พี่ศาโรจน์ :  ผมก็อยากจะเลิก คือผมไม่สนใจ จะเลิกก็เลิก เมื่อไหร่ว่ามา จะแบ่งลูกกันแล้ว
พี่เล้ง :  คือตอนนั้นคิดแล้ว จะเอาลูกมาอยู่กรุงเทพ

พี่ศาโรจน์ : แล้วหลังจากนั้นก็ไม่พูดกันต่อนะ เงียบกันไป ตอนนั้นคือมีเคนแล้ว เคแล้ว อยู่ๆ แคตตี้ (ลูกคนสุดท้อง) ก็โผล่มา
พี่เล้ง : จริงๆ อัศจรรย์มากเหมือนเป็นเวลาของพระเจ้า คือมีอะไรกันแค่ครั้งเดียวแล้วแคตตี้มาเลย
พี่ศาโรจน์ : ครั้งเดียวหรอ จำไม่ได้ 555
พี่เล้ง : เพราะเล้งเป็นคนที่ ประเดือนมาเป๊ะ พอรู้ว่าไม่มา เสร็จกัน พอตรวจเองรู้ว่าท้อง รีบไปหาหมอเลย ไม่เอาได้ไหม แต่หมอไม่ยอม แล้วพอหมอไม่ยอมให้ยา ก็เลยพยายามทำทุกทางเลย นี่ก็ไปออกกำลังกาย กินทุกอย่างเลย กาแฟ โค้ก ใส่ส้นสูง จะให้แท้ง แต่ไม่แท้ง

Christlike :  แต่กลายเป็นว่าแคตตี้โตมายิ่งแข็งแรง ตัวสูง ผิวดี แล้วพี่ศาโรจน์ดีใจไหมตอนรู้ว่ามีลูกอีกคน
พี่ศาโรจน์ :  ผมดีใจหมด รักลูกทุกคน ผมรักเด็ก
พี่เล้ง :  แต่พี่อยากจะเอาออก

ลูกทั้งสาม แคตตี้ – เค – เคน

พระเจ้าเข้ามาช่วยในเวลาที่ใช่

พี่เล้ง :
ก่อนจะมาถึงจุดเลิกกัน ตอนนั้นท้องเคน แล้วพี่ช้าง (พี่น้องที่โบสถ์ Nexus) มาเชื่อพระเจ้าก่อน พี่ช้างโทรมาหา แต่เพื่อนโทรมาบอกก่อนว่า ระวังนะ พี่ช้างเขาเป็นบ้าไปแล้ว (เพื่อนทุกคนจะบอก แกระวังตัวไว้นะ 555)

พี่ช้างก็โทรมาบอกให้อธิษฐาน เราได้เล่าบอกว่ามีคนเอาเงินไปแต่ยังไม่ได้คืน พี่ช้างก็บอกให้อธิษฐาน เราก็ เออๆ เดี๋ยวจะอธิษฐาน จากนั้นก็คือ เงียบไปเลย ตอนนั้นพี่ช้างโทรมาประกาศครั้งหนึ่ง และ พอถึงจุดที่เราจะเลิกกันแล้ว คุยกับที่บ้านว่าไม่ไหวแล้วจะเลิก

ก็มีน้องชายเรียนปริญญาโทอยู่อเมริกา แล้วรูมเมทเขาพาไปโบสถ์ เพื่อบอกว่าพาไปฝึกภาษาอังกฤษ แต่รูมเมทก็ประกาศนั่นแหละ จนสุดท้ายน้องเปลี่ยนเป็นคริสเตียน พอที่บ้านเริ่มรู้ว่าครอบครัวเราจะแตกหัก น้องชายก็เลยโทรมาจากอเมริกาบอกว่า “เจ้เล้ง ถ้าเธอจะเลิกกัน ขออย่างได้ไหม ขอให้เธอไปโบสถ์”

ตอนนั้นก็เหมือนเกรงใจน้องชาย..อ่ะก็ได้ แค่ไปโบสถ์ เลยนึกได้ว่าพี่ช้างเคยโทรมาประกาศเรื่องพระเจ้า ก็เลยโทรกลับไปหาพี่ช้างว่า จะไปโบสถ์ เพื่อไปเหมือนแบบน้องชายขอร้องก็เลยไปสักครั้งหนึ่ง ก็เลยไป

พี่ช้างบอกว่า มีโบสถ์ 1 ทุ่มวันพฤหัสฯ  ที่ตรงคลองเตย ก็เลยบอกว่า สนใจจะไป พี่ช้างก็ให้รุ่นน้องที่เอแบคมาเจอที่โบสถ์ แล้วที่คลองเตยตอนเย็นๆ มันจะดูมืดๆ เราก็คิด โดนต้มป่าววะ 555 พอดีเจอรุ่นน้องเอแบคก็รู้สึกสบายใจ วันนั้นก็มีแต่พวกนักศึกษา เพราะเป็นรอบตอนเย็น อ.เป็นใครก็ไม่รู้ ตอนนั้นยังไม่รู้จักใคร อ.เขาก็เทศน์เรื่องครอบครัวเลย

เขาพูดถึงที่บอกกว่า “ฝ่ายสามีจงละจากบิดามารดาเพื่อมาผูกพันกัน ทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวและจะไม่แยกจากกัน…” เราก็เอ๊ะ ทำไมพูดเรื่องแต่งงานทั้งๆ ที่มีแต่เด็กนักเรียนนักศึกษา เราก็รู้สึกเอะใจ แปลกๆ

พอกลับบ้านไปตอนนั้นก็ยังไม่ได้เปิดใจ แต่น้องเขาก็บอกว่ากลับไปให้อธิษฐานนะ พระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานอย่างโน้น อย่างนี้ พอกลับไป น้องเขาก็พยายามติดตามเรา และเขาก็บอกว่า ถ้าพี่มีอะไรพี่ลองอธิษฐานนะ

ตอนหลังพี่ทำงานอยู่ฝ่ายบุคคลมีปัญหา แล้วมีลูกจ้างฟ้องแรงงาน มันเป็นครั้งแรกที่เราต้องไปขึ้นศาลแรงงาน แล้วเราเครียดมากเลย เขามีหมายศาลมาขอเอกสารจากแผนกที่มันปิดไปแล้ว 2 ปี ก็ไปค้นโกดังมา ก็ไม่มีเอกสารตามหมายศาล พอเสร็จก็ทำไงดี? เออ น้องเค้าก็บอกว่าให้อธิษฐานดู เราเลยนึกได้ ก็เลยลองอธิษฐาน..

ถ้าพระเจ้ามีจริงขอให้เจอเอกสารอันนี้ ตามหมายศาล พออธิษฐานเสร็จปุ๊ป  จำได้แม่นเลย ไอ้กล่องลังเอกสารที่มันมีอยู่แค่นี้ แล้ว Box File มันก็มีอยู่แค่นี้ แต่พออธิษฐานเสร็จแล้วมันเจอ มันเป็นไปไม่ได้ ก็เลยโทรหาน้อง เอ้ย สงสัยพระเจ้ามีจริง น้องเค้าก็บอกรีบอธิษฐานเลยนะพี่ จะได้มีประสบการณ์

หลังจากนั้นเราก็เลยลองอธิษฐานเยอะๆ น้องเขาก็พยายามนัดกินข้าว ใช้เวลา พอมีประสบการณ์แล้วเราก็แบบ เฮ้ย พระเจ้ามีจริง เราก็เลยเหมือนกับว่า เราจะหยุดเรื่องการหย่าก่อน ลองดูว่าจะยังไง

Christlike :  พระเจ้าก็เข้ามาทำงานจริงๆ..

พี่เล้ง :  ใช่ๆ ให้ใจเราอ่อนนุ่มลง ฟังเหตุผลกันมากขึ้น จำได้ว่า เขาบอกถ้าหย่ากัน ความบาปจะตกถึงลูก เราก็รักลูก แล้วเรารู้สึกไม่อยากให้ความบาปตกถึงลูก
พี่ศาโรจน์ :  พอเราเริ่มรู้ รู็สึกว่า นี่ทรยศศาสนาหรอ ขอท้าเลิกเลย ออกไปเลย แล้วเลิกกันเลย เลิกแล้วก็เคนอยู่กับผม เอาเคไป แล้วแคตตี้อยู่กับผม
พี่เล้ง :  ตอนนั้นถ้าเลิกกันจริงๆ มันต้องแบ่งลูกไง เพื่อความยุติธรรม
พี่ศาโรจน์ :  ถ้าเอาจริงๆ อย่ามาเล่นกับผม คือถ้าเกิดเอาจริงๆ ผมจะเอาให้ได้
พี่เล้ง : อันนี้นักเลง
พี่ศาโรจน์ :  ผมไม่ให้คุยกับลูกเลย ถ้าคุยเรื่องพระเจ้า เมื่อไหร่นะ มีเรื่อง
พี่เล้ง : คือตอนนั้นเราก็เหมือนโฟกัสกับพระเจ้าก่อนละ โอเค พระเจ้าว่ายังไง พระคัมภีร์ว่ายังไง พี่เลี้ยงก็นัดทานข้าว เราก็แอบเขา เราจะเจอเขาวันศุกร์ไง วันธรรมดาเขาไม่ได้ยุ่งกับเรา
พี่ศาโรจน์ :  แต่ผมรู้
พี่เล้ง :  เราก็มีเวลาแอบไปใช้เวลากับพี่เลี้ยง พี่เลี้ยงก็มาสอนพระคัมภีร์ พอเริ่มคลิก เราก็เหมือนแบบว่า หลักการพระคัมภีร์มันใช่ เราเปิดใจ ก็เริ่มแสวงหา แล้วก็ไปโบสถ์
พี่ศาโรจน์ :  ตอนคริสต์มาสเขาก็บอกว่าไปกินเลี้ยง พอเข้าไปถึงงานคนเต็มเลย เจอพี่รักษ์ พี่ช้าง ผมบอก ให้กลับเลย อย่าไปยุ่งกับพวกนี้อีกนะ มีปัญหานะ ก็ไม่มีใครกล้ายุ่งเลย
พี่เล้ง :  อุ้มลูกกลับ ปี๊ด อย่างแรง 555

ชีวิตพี่เล้งที่เปลี่ยนไปจนพี่ศาโรจน์ประหลาดใจ

พี่ศาโรจน์ :  หลังมารู้จักพระเจ้า รู้สึกได้ว่าเขาเปลี่ยนไปจริงๆ
พี่เล้ง :  ไม่ได้กลัวนะ แต่เรารู้สึกว่าเรายอม
พี่ศาโรจน์ :  เขาพูดกับเราแบบฉลาด บอกว่า ที่โบสถ์เขาสอนดีนะ ลองไปฟังดู สอนให้ต้องเคารพสามี บอกพระเจ้าบอกว่าสามีเหมือนศีรษะ เราต้องให้ความเคารพ เราต้องไม่เถียง เราก็เออ เขาสอนดีนะ 555
คือเขาเปลี่ยนไง ที่บอกว่าขับรถ เวลาขึ้นมาปุ๊บ  แล้วถามว่าเขาทำอะไรให้โกรธหรือเปล่า? เป็นอะไรหรอ? เราก็เออ เราเป็นอะไรของเราวะ คือเขาก็ไม่ได้ทำอะไร ก็เลยแบบค่อยๆ เย็นลง ค่อยๆ คุยกัน
พี่เล้ง :  คือตอนนั้นอดทนมากๆ

ถึงจุดที่เลิกคิดเรื่องหย่ากัน

พี่เล้ง :  อย่างเล้ง เริ่มที่เรามาแสวงหาพระเจ้าก่อน พระเจ้าว่ายังไง หยุดเรื่องนั้นไปก่อน
Christlike :  ตอนนั้นพี่เล้งหยุดเรื่องการหย่าไว้ก่อน แล้วพี่ศาโรจน์ยังอยากหย่าอยู่ไหม
พี่ศาโรจน์ :  ถ้าเกิดว่าเขาไม่หย่า เราก็อยู่เพื่อลูก แต่อีกเรื่องในตอนนั้น เราไปหุ้นกันทำธุรกิจเสื้อผ้าสำเร็จรูปส่งออก ทำได้ปีเดียวโดนเพื่อนโกง เป็นหนี้ 40 ล้าน แล้วเขาก็เลยบอกว่า มีคนหนึ่งช่วยได้ วันอาทิตย์ให้ลองไปโบสถ์ดู
พี่เล้ง :  แต่ก็ลีลานะ กว่าจะไปได้
พี่ศาโรจน์ :  พอไปก็จับผิด อ.เทศน์ก็ของร้อนเลย โดนใจ ลุกออกไปข้างนอกทันที ก็แบบมันดื้อ ไม่อยากเปลี่ยน แล้วในระหว่างนั้นเริ่มไปโบสถ์โดนแบงค์ฟ้องแล้ว จะโดนยึด เหมือนกับว่าถ้าไม่จ่ายเงินเขาก็จะขายทอดตลาด จนกระทั่งมัน Deadline ช่วงนั้นแหละ มาโบสถ์ได้ประมาณปีหนึ่ง
พี่เล้ง :  จนจะล้มละลายแล้ว
พี่ศาโรจน์ :  แล้ววันนั้นเขาก็บอกให้อธิษฐานกับพระเจ้า เราก็อธิษฐาน นี่ก็ให้พี่น้องอธิษฐานเผื่อด้วย อธิษฐานอยู่ครึ่งชั่วโมง อยู่ๆ แบงค์โทรเข้ามา ปรากฏว่าอนุมัติแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาไม่ยอมมาตลอด ตอนนั้นถ้าบ้านโดนยึดซ้ำ คือโดนยึดหมดเลย เราจะล้มละลายแล้วด้วย นึกในใจ สงสัยพระเจ้ามีจริง อีกอาทิตย์หนึ่งต่อมาคือไปโบสถ์อีก ตอนนั้นผมคิดว่าน่าจะมีพระเจ้าจริงละ ก็เลยออกไปรับเชื่อ

พี่ศาโรจน์ :  พอผมรับเชื่อแล้วเขาก็ดีใจ ผมเชื่อแล้วผมเปลี่ยนเลย เลิกกินเหล้า เลิกสูบบุหรี่ เลิกเที่ยวผู้หญิง ผมบอกเล้ง ผมเลิกอาทิตย์นั้นเลย
พี่เล้ง :  เล้งว่าตอนที่เขาเชื่อจริงๆ ยอมจริงๆ มันก็ไปในทางเดียวกัน คือเขาอภัยเร็ว เราก็อภัยเร็ว พอเรายอมกับพระเจ้า เวลาเราอยู่ด้วยกัน บางทีเขาทำให้เราโมโห ก็ยังรู้สึกมีอารมณ์ แต่พระคำของพระเจ้าเข้ามา ให้เราฝ่ายภรรยาจงเชื่อฟังสามี เหมือนดั่งเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า มันเลยทำให้เราไม่มองที่ตัวเขา แต่เรามองข้ามไปที่พระเจ้า
พี่ศาโรจน์ :  แล้วอีกอย่างหนึ่ง ผมมองว่าสามีภรรยาพอได้รับใช้ร่วมกัน มันไม่มีอย่างอื่น มันไม่โฟกัสอื่น สมมติว่าเราอยู่ด้วยกันตลอด ทำงานก็ทำงานกัน ต่างคนต่างทำงาน รับใช้ก็รับใช้ด้วยกัน มีอะไรก็ช่วยกันแก้ไข ช่วยกันทำงาน

จากคนที่หมดรัก กลับมารักอีกครั้งได้อย่างไร

พี่ศาโรจน์ :  ผมว่าต้องให้ความรักใหญ่ที่สุด และต้องไม่จดจำความผิด
พี่เล้ง :  เล้งว่าไม่ใช่ตัวเรา แต่คือพระเจ้าจริงๆ พี่เคยรู้สึกขยะแขยงเขามาก ไม่อยากแม้แต่จะให้แตะตัว เหมือนพระเจ้าเปลี่ยนให้โดยธรรมชาติ แล้วเราไม่เคยพูดกับคนอื่นว่าฉันเปลี่ยน มันเหมือนเขาเห็นเอง แล้วเราโฟกัสที่พระเจ้าอย่างเดียว
มันเป็นความรักแบบพระเจ้า คือพูดไม่ถูกว่า เราเหมือนพยายามเสแสร้งหรือพยายามจะลืมอดีต แต่มันสามารถลืมโดยไม่ได้รู้สึกถึงโมเมนต์นั้นได้เลย ไม่รู้สึกโกรธเกลียดแล้ว คือมันอัศจรรย์จริงๆ
พี่ศาโรจน์ :  เราเหมือนเกิดใหม่ เราเป็นคนใหม่ เราได้เมียใหม่ เขาก็ได้สามีใหม่ จริงๆ นะ
พี่เล้ง :  มันกลายมาเป็นเรารักกันมากกว่าเดิม เล้งก็ไม่เข้าใจ พระเจ้าทำจริงๆ
พี่ศาโรจน์ :  เราสองคนไม่ได้มาเสแสร้งว่าเรากลับมารักกันนะ แต่มันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
พี่เล้ง :  แต่ถามว่าทุกวันนี้มันยังมีอารมณ์ มีความขัดแย้งไหม มันก็ยังมี แต่มันจะผ่านไปเร็ว แล้วโอเค ก็ให้อภัยกันง่ายขึ้นมาก
พี่ศาโรจน์ :  เรารักกันมากกว่าเดิม เราไปไหนใช้เวลาด้วยกันตลอด ให้พระเจ้าก่อน ถ้าตราบใดยังมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ทุกปัญหาแม้หนักแค่ไหน มันก็ผ่านได้ แต่จะถามว่ามีปัญหาอยู่ไหม มีแน่นอน ไม่มากก็น้อย อยู่บนเส้นทางชีวิตคู่ที่เหมือนกับคนทั่วๆ ไป

ถอดบทเรียนชีวิต จากแก้วที่ร้าวจนใกล้แตก กลับมาประสานจนกลายเป็นแก้วใบใหม่ที่แข็งแรงสวยงามกว่าเดิม

พี่ศาโรจน์ :  ต้องมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางจริง ๆ และยอมจำนน เติบโตในความเชื่อ ผ่านการรับใช้
พี่เล้ง :  รับใช้ ยิ่งเรารับใช้ เรายิ่งติดสนิทกับพระเจ้า
พี่ศาโรจน์ :  แล้วเป็นผู้ชายก็ต้องแสดงออกความรัก จูงมือ หอมแก้มบ้าง
(มาหอมแก้มทีนึง หันไปหอมแก้มพี่เล้ง)

ChristLike
:  ถ้าให้สรุปเป็นข้อๆ
(พี่ศาโรจน์ พี่เล้ง ช่วยกันตอบ)

  1. ต้องมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ยอมจำนนต่อหลักการพระคัมภีร์จริงๆ
  2. รับใช้ร่วมกันจะช่วยได้มาก
  3. สื่อสารทุกเรื่อง ไม่มีความลับซึ่งกันและกัน
  4. ไม่จดจำความผิด
  5. แสดงความรักให้มากที่สุดทุกทางเท่าที่จะมากได้ ถึงไม่พูด ก็ต้องแสดงเป็นการกระทำ
  6. ขอบคุณกันและกัน ที่ผ่านมาจนวันนี้ได้

พี่เล้ง :  ขอบคุณอยู่เคียงข้างกันมาตลอด และดูแลเป็นอย่างดีนะ
พี่ศาโรจน์ :  ขอบคุณที่อดทนกับเรา ขอบคุณพระเจ้าที่ให้สติปัญญาเล้งในการอบรมดูแลลูกๆ และผมรักเขา และเขาก็รักผม มาถึงวันนี้ถ้าไม่มีพระเจ้าเราก็คงแยกชีวิตกันไปนานแล้ว ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ

บทความ:  ChristLike Team
ออกแบบภาพ:  Promise

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง