ช่วงที่ผ่านมา ผมได้เรียนรู้บางอย่างเกี่ยวกับความเหงาที่แพร่ระบาดอยู่ในผู้ชาย เมื่อได้อ่านหนังสือ Team of Rivals ของ ดอร์ริส คีอาร์นส์ กู๊ดวิน (Doris Kearns Goodwin) ที่เขียนถึงชีวประวัติที่ยิ่งใหญ่ของ อับราฮัม ลินคอล์น และเมื่ออ่านไปแค่ 2-3 บทแรก ผมก็ได้สังเกตเห็นรูปแบบบางอย่างผุดขึ้นมาจากเนื้อหาอยู่เรื่อยๆ
กู๊ดวินเริ่มต้นด้วยการเล่าถึงเบื้องหลังคู่แข่งแต่ละคนที่เปิดศึกแย่งชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีกับลินคอล์น โดยเรื่องราวส่วนมากนั้น มีการกล่าวถึงเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายของพวกเขาเอาไว้ด้วย ซึ่งกู๊ดวินเขียนไว้ว่า:
มันเป็นความสัมพันธ์ที่ดูสนิทชิดเชื้อ เช่น ซีวอร์ด กับ เบอร์แดน หรือลินคอล์น กับ โจชัวร์ สปีด และ เชส กับ เอ็ดวิน สแตนตัน ความสัมพันธ์แบบนี้เป็นเรื่องปกติที่พบเห็นกันได้ทั่วไปในสังคมอเมริกาช่วงศตวรรษที่ 19 … การไม่ได้มีพ่อแม่พี่น้องอยู่เคียงข้าง ทำให้พวกเขาเริ่มที่จะหาใครบางคนที่มาคอย ช่วยเหลือ สนับสนุน ร่วมแชร์ความคิดและความรู้สึกต่อกันได้อย่างเต็มที่ ซึ่งมันทำให้ความสัมพันธ์ที่สนิทสนมของพวกเขานั้น ถูกยกระดับขึ้นเป็นความผูกพันต่อกันอย่างลึกซึ้ง
เพื่อจะเน้นให้เห็นชัดเจนขึ้นถึงความสัมพันธ์แบบสุดขั้วนี้ กู๊ดวินได้เล่าถึงเรื่องราวของวิลเลี่ยม เฮนรี่ ซีวอร์ด ที่พบกับเด็กหนุ่มนามว่า เดวิด เบอร์แดน ในขณะที่พวกเขาอยู่ในโรงเรียน เขาทั้งสองได้แบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างร่วมกัน ไปดูละครเวทีด้วยกัน อ่านหนังสือด้วยกัน ฟังเพลงด้วยกัน และใฝ่ฝันจะทำอาชีพเดียวกัน
แต่เรื่องน่าเศร้าได้เกิดขึ้น เมื่อเบอร์แดนติดเชื้อวัณโรคระหว่างเดินทางข้ามมหาสมุทร และเสียชีวิตอยู่บนเรือในขณะที่กำลังกลับมายังอเมริกา กู๊ดวินบรรยายไว้ว่า ซีวอร์ดรู้สึกหมดแล้วซึ่งทุกสิ่ง ต่อมาภายหลังซีวอร์ดเองได้บอกกับภรรยาของเขาว่า เขารักเบอร์แดนมากในแบบที่ “ไม่สามารถรักใครได้แบบนี้อีกแล้วในโลกใบนี้”
ว่ากันตามตรง นี่ไม่ใช่คำพูดที่สามีควรจะพูดกับภรรยาเลย
วิเคราะห์เจาะลึก “ความเหงาของผู้ชาย”
ให้เราละเรื่องด้านบนไว้ก่อน คือผมสงสัยมาโดยตลอดว่า ทำไมมิตรภาพความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายแบบที่ว่านี้ มันถึงทำให้คนอ่านอย่างผมซึ่งที่อยู่ในศตวรรษที่ 21 นั้นรู้สึกพิลึกพิลั่นได้ มันอาจเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมเคยเขียนไว้ก่อนหน้านี้ เรื่องที่ผู้ชายไม่ได้รับหรือขาด “การสัมผัสทางกาย” แต่นั่นก็คนละประเด็นกัน ผมหมายความว่า ผู้ชายเองไม่จำเป็นต้องมีการสัมผัสทางกายเสมอไป เพื่อจะมีความรู้สึกใกล้ชิดกันแบบเพื่อนพี่น้อง
ส่วนตัวผมรู้สึกว่า ตัวเองได้รับพระพรมากที่ได้รู้จักกับผู้ชายมากมายที่สุดยอด (และยังคงได้รู้จักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) คนแรกก็คือ “พ่อ” ของผมเอง ยิ่งผมอายุมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งรับรู้ว่าพ่อผมนั้นเยี่ยมแค่ไหน อีกคนก็คือเพื่อนสนิทผมที่ชื่อ เดฟ ตั้งแต่เริ่มจำความได้ผมก็มีเพื่อนสนิทชื่อ เดฟ แล้ว และทุกวันนี้เขาก็ยังคงเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของผม ผมได้รู้จักผู้ชายที่น่าทึ่งอีกหลายคนทั้งในมหาวิทยาลัย และในระหว่างเดินทางไปต่างประเทศ หรือแม้แต่ในช่วงชีวิตที่ไร้หลักแหล่งต้องเร่ร่อนไปทั่ว ผมมักได้พบและรู้จักกับบรรดาผู้ชายที่ผมสามารถจะแบ่งปันเรื่องราวทุกอย่างได้
ผมจึงอดสงสัยไม่ได้ว่า คนที่เป็นผู้ชายแท้ๆ มากมาย พยายามจะหลีกเลี่ยงจากรูปแบบความสัมพันธ์ที่สุ่มเสี่ยงให้ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเกย์ เช่น สัมผัสทางกาย การกอด การจับมือหรืออะไรทำนองนั้น เพียงเพราะไม่อยากถูกมองว่าแปลก ซึ่งการหลีกเลี่ยงนี้ส่งผลใหญ่หลวงให้เกิดความเหงาขึ้นในผู้ชาย จนทำให้หลายคนแก้ปัญหาต่อความเหงาด้วยการปรนเปรอตัวเองแบบผิดๆ ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียยิ่งกว่าตามมา
มีคนเป็นพ่อมากมายที่ถูกจับได้ว่า เสพติดสื่อลามก หรือ ติดเหล้า ทั้งที่ชีวิตพวกเขามั่นคงจนค่อนข้างน่าอิจฉา? นี่เป็นการคาดคะเนของผมเอง แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าอาการเสพติดต่างๆ มันเกิดขึ้นเพราะผู้ชายเหล่านี้คิดว่าความสัมพันธ์ที่ทำให้พวกเขาอิ่มเอมใจนั้นมาจากเพียงภรรยาและลูกๆ แต่ไม่ได้คิดว่าจิตใจพวกเขานั้นกำลังร้องหาความสัมพันธ์ฉันท์ “เพื่อน” กับผู้ชายคนอื่นๆ ให้มากขึ้น น่าจะมีผู้ชายไม่น้อยเลยที่รู้สึกถึงความเหงาแบบนี้ แต่ก็รู้สึกแปลกๆ ที่จะต้องออกไปแสวงหาเพื่อนผู้ชาย พวกเขาจึงหาทางออกความยินดีแบบผิดๆ ด้วยสื่อลามกหรือเสพยาแทน
ผมรู้จักผู้ชายหลายคนที่เหมือนกับ พอล รัดด์ ตัวละครในหนังเรื่อง I Love You, Man ที่ชอบอยู่กับกลุ่มเพื่อนผู้หญิง อาจเป็นเพราะพวกเขาถูกผู้ชายคนอื่นๆ คุกคาม ส่วนผู้ชายอีกประเภทก็จะมีแฟนเป็นตัวเป็นตน จนทำตัวห่างเหินกับเพื่อนผู้ชายคนอื่นๆ และผมยังรู้จักผู้ชายประเภทที่ “เลือก” จะมีเพื่อนน้อยมากหรือไม่มีเพื่อนเลยก็มี โดยเชื่อไปว่าอารมณ์ความรู้สึกความอ่อนไหวใดๆ ที่แสดงออกใกล้ชิดกับผู้ชายคนอื่นนั้นคือ การไม่เป็นผู้ชายที่แท้จริง
ผมอยากขอแย้งว่า นั่นมันตรงข้ามกับความจริงโดยสิ้นเชิงเลย
——————-
ให้เราลองดูชีวิตของ “กษัตริย์ดาวิด” จากพระคัมภีร์ด้วยกัน ชายผู้ฆ่าสิงโตและหมีด้วยมือเปล่าช่วงที่เขาเติบโตจากเด็กเลี้ยงแกะ นี่คือชายหนุ่มกลัดมันที่ยังคงเต็มด้วยความใคร่ถึงแม้จะแต่งงานแล้วกับผู้หญิงหลายคน (มันไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่นี่ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าเขาเป็นผู้ชายแท้แน่นอน) ดาวิดยังเป็นต้นแบบความเป็นชายที่ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็คงอยากเป็นแบบเขา
ดาวิดคือผู้ชายที่มีเพื่อนสนิทชื่อว่า “โจนาธาน” พระคัมภีร์ได้บันทึกถ้อยคำของดาวิดหลังจากโจนาธานเสียชีวิตว่า “โยนาธานพี่ชายของข้าเอ๋ย ข้าเป็นทุกข์เพื่อท่าน ท่านเป็นที่ชื่นใจของข้ามาก ความรักของท่านที่มีต่อข้านั้นอัศจรรย์เหนือกว่าความรักของสตรี”
ในฐานะชายแท้ที่แน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง พระคัมภีร์ข้อนี้ทำให้ผมค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ ผมกำลังหมายถึง อารมณ์ความรู้สึกของผู้ชายที่มีต่อผู้ชาย ซึ่งดูเหมือนไม่ควรจะมาอยู่ในพระคัมภีร์เลย! ผู้ชายควรมีความรู้สึกรักแบบนี้ต่อผู้หญิงเท่านั้นไม่ใช่หรือ ความรู้สึกแบบนี้มันดูแปลกไปหน่อยไหม?
คำตอบคือ ไม่แปลกเลย
ในวัฒนธรรมที่ถูกครอบงำด้วยเรื่องเซ็กส์นั้น มันบิดเบือนนิยามพื้นฐานของคำว่า “รัก” จนกลายเป็นเพียงแค่เรื่องกามารมณ์เท่านั้น พูดอีกแง่หนึ่ง คือไม่มีทางที่เมื่อได้ยินคำพูดว่า “เดวิดรักโจนาธาน” แล้วจะไม่แอบคิดแว่บนึงว่า “หรือว่าเดวิดจะเป็นเกย์?”
ผมไม่คิดว่าพระคัมภีร์ตอนนี้สื่อเรื่องแบบนั้น ความรักมันมีอะไรมากกว่าแค่เรื่องของเซ็กส์ ผมคิดว่าคงเป็นความโศกเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้งของดาวิดที่ต้องสูญเสียเพื่อนที่สนิทมากๆ คนหนึ่งไป ผมเองก็คงจะแสดงความรู้สึกแบบนี้เหมือนกันถ้าเดฟหรือเพื่อนสนิทคนอื่นๆ ต้องจากโลกนี้ไป เพราะว่าผมรักพวกเขามากจริงๆ
ซึ่งผมก็บอกรักพวกเขาอยู่บ่อยๆ
และผมก็ยังเป็นผู้ชายแท้ๆ
——————-
ผมคิดว่าปัญหาของความเหงาของผู้ชายนั้นเกิดขึ้นจากความกลัวและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความเป็นชาย วัฒนธรรมของเราได้พร่ำสอนมุมมองความคิดที่ว่า “ผู้ชายที่แท้จริงเป็นดั่งหมาป่าเดียวดาย ผู้ไม่ต้องการให้ใครช่วยเหลือ ไม่ต้องมีเพื่อนสนิท” พวกเขาต้องการเพียงภรรยาและต้องการเป็นพ่อที่ดี ทำงานเก่ง .. ส่วนเพื่อนฝูงล่ะ?? ไม่จำเป็นที่ต้องคิดถึงเรื่องนี้เลย
จากประสบการณ์ผมพบว่า เมื่อความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างผู้ชายกับผู้ชายที่สนิทถูกทำลายไป มันไม่เพียงสูญเสียมิตรภาพแบบลูกผู้ชาย แต่ยังนำไปสู่การสูญเสียความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายด้วยกันในแบบอื่นๆ เช่น การเป็นพี่เลี้ยง-น้องเลี้ยง หรือการดูแลรับผิดชอบชีวิตต่อกัน
ผมแทบนับได้เลยว่า มีผู้ชายเพียงไม่กี่คนที่ตั้งใจเสาะหาชายที่มีอายุและประสบการณ์มากกว่า มาช่วยพัฒนาตัวเองให้เติบโตและมีปัญญาขึ้น ระบบที่ชายหนุ่มจะถูกเลี้ยงดู สั่งสอน เสริมสร้างโดยชายที่เป็นผู้ใหญ่กว่านั้นมีมานานกว่าพันปีแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าระบบนี้จะเสื่อมสลายไปกับวัฒนธรรมที่สื่อว่า เราทุกคนสามารถทำทุกสิ่งอย่างด้วยตัวเราเองได้
——————-
เราจะจัดการปัญหาเรื่องความเหงา ความอ้างว้างของผู้ชายได้อย่างไร? เราจะเริ่มต้นบอกกับผู้คนที่มองความสัมพันธ์แบบชาย-ชาย เป็นเรื่องอ่อนแอหรือดูแปลกได้ยังไง? ผมคิดว่าขั้นแรกเราต้องชี้ปัญหาให้เห็นชัดๆ ระบุให้ผู้คนเห็นว่าวัฒนธรรมของเรา (โดยเฉพาะวัฒนธรรมคริสเตียนในอเมริกา) ต่างรู้สึกไม่ดีกับเรื่องที่ผู้ชายใกล้ชิดกันและกันมากเกินไป
ถ้าคุณเป็นผู้ชายที่กำลังอ่านบทความนี้ และกำลังคิดกับตัวเองว่า จริงๆ ด้วย! ฉันไม่ค่อยมีเพื่อนผู้ชายที่สนิทๆ เลย นั่นแหละผมว่าบางทีอาจถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว การใช้ชีวิตที่ปราศจากฮอร์โมนเพศชายอยู่รอบๆ ตัวนั้นไม่ส่งผลดีเลย
และถ้าชีวิตคุณมีแต่เพื่อนผู้หญิง แฟนคุณ คู่หมั้นคุณ หรือภรรยาคุณเพียงเท่านั้น หรือมีแต่เพื่อนผู้หญิงล้อมรอบ แต่ไร้เงาผู้ชายสักคน คุณก็กำลังขาดการลงลึกความสัมพันธ์ในแบบของกลุ่มเพื่อนผู้ชายด้วยกัน ซึ่งผมยืนยันได้เลยว่ามันจำเป็นมากๆ สำหรับชีวิตโดยรวมที่ดีของคุณ
หากคุณเป็นผู้หญิงที่อ่านอยู่ และนึกถึงเพื่อนผู้ชายบางคนที่เข้าข่ายดังกล่าวขึ้นมาได้ขณะกำลังอ่านบทความนี้ ผมว่ามันคุ้มค่าที่จะลองนำหัวข้อนี้ไปพูดคุยหนุนใจ เพื่อให้เขามองหาเพื่อนผู้ชายที่จะเข้ามาเสริมสร้างชีวิตร่วมกัน ผมเห็นว่าเป็นเรื่องเสียหายเมื่อผู้ชายที่มีแต่เพื่อนผู้หญิงเท่านั้น และให้ความเชื่อใจกับพวกเธอในเรื่องที่ควรจะสงวนไว้สำหรับเพื่อนผู้ชายด้วยกัน หรือเพียงคู่ครองเท่านั้น
อยากบอกชัดเจนว่าผมไม่ได้ผลักดันเรื่องนี้จนสุดโต่ง แบบว่าคุณจะต้องมีแต่เพื่อนผู้ชายเท่านั้นโดยไม่ต้องมีเพื่อนผู้หญิงเลย แต่สิ่งที่ผมกำลังผลักดันคือ ความสมดุลของชีวิต พวกผู้ชายอย่างเราต่างรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่ต้องใกล้ชิดลึกซึ้งกับผู้ชายคนอื่น ผมอยากให้ภาพแบบนั้นมันเปลี่ยนไป เราไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การตีตราที่ว่า ผู้ชายไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเพื่อนผู้ชาย ให้เรามุ่งมั่นแก้ไขเรื่องนี้ด้วยกัน
บทความ: The Epidemic of Male Loneliness, Ethan Renoe
แปลและเรียบเรียง: Ik Q / JK
ภาพ: freddie marriage on Unsplash
ออกแบบ: Sinn
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น