บทนำ
เหตุเกิดที่ค่ายประจำปีของคริสตจักรแห่งหนึ่งเมื่อกว่า 35 ปีที่แล้ว วันนั้นวิทยากรคนหนึ่งของค่ายได้สอนเรื่องเกี่ยวกับการเลือกคู่ครองประมาณ 40 นาที หลังจากนั้นท่านก็เปิดโอกาสให้ที่ประชุมเขียนคำถามอะไรก็ได้เกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ของหนุ่มสาว เพื่อท่านจะได้ไขข้อข้องใจให้
วันนั้นมีคนเขียนคำถามส่งให้ท่านตอบอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีจนกระทั่งมาถึงคำถามที่ถามว่า “อาจารย์ครับ สำหรับคริสเตียนแล้วการสำเร็จความใคร่เป็นสิ่งที่ผิดหรือเปล่าครับ?”
ทันใดนั้นเอง ดูเหมือนว่าถ้าไม่ใช่ทุกคน อย่างน้อยก็คนส่วนใหญ่ ต่างตั้งใจฟังคำตอบด้วยความจดจ่อเป็นพิเศษว่า วิทยากรจะตอบคำถามนี้อย่างไร
ผลปรากฏว่า หลังจากชั่วโมงคำถามคำตอบผ่านพ้นไปแล้ว ลูกค่ายได้จับกลุ่มกันเป็นหลายกลุ่มถกเถียงกันเกี่ยวกับคำตอบของวิทยากร ซึ่งมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จนกระทั่งบางคนเหมือนกับจะลืมไปว่าถึงเวลาทานอาหารเที่ยงของวันนั้นไปแล้วเลยทีเดียว
ประสบการณ์กว่า 30 ปีถัดมาในการคลุกคลีกับสมาชิกในคริสตจักรต่างๆ หลายแห่งหลังจากค่ายครั้งนั้นบอกผมว่า เรื่องนี้ยังคงเป็นเรื่องที่คนจำนวนไม่น้อยในคริสตจักรอยากรู้คำตอบ บ้างก็สนใจ บ้างก็สับสน บ้างก็ไม่สบายใจ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าจะหาคำตอบจากมุมมองของคริสเตียนได้จากที่ไหน
และดูเหมือนในบริบทของคริสตจักรหลายต่อหลายแห่ง พวกเขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่เหมาะสมในการสอบถามหาความเข้าใจในเรื่องนี้เลย คำเทศนาก็ดี บทเรียนรวีวารศึกษาก็ดี กิจกรรมกลุ่มตามวัยก็ดี ไม่เคยแตะถูกเรื่องประเภทนี้เลย
ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นเรื่องใกล้ตัวและรบกวนจิตใจของคริสเตียนจำนวนไม่น้อย นอกจากนั้นถ้าวันใดเขาสามารถรวบรวมความกล้ามากพอจะเอ่ยปากถามใครสักคนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็มักจะถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ เสมอ
แท้ที่จริง การสำเร็จความใคร่คืออะไร? คริสเตียนสามารถปลดปล่อยความต้องการทางเพศของตนด้วยวิธีนี้ได้หรือไม่? พระคริสตธรรมคัมภีร์พูดถึงเรื่องนี้หรือเปล่า? ถ้าพูดถึง พูดถึงว่าอย่างไรบ้าง?
คำจำกัดความ
เราอาจให้คำจำกัดความคำว่า “การสำเร็จความใคร่” [1] ได้ว่า หมายถึง การเร่งเร้าบริเวณอวัยวะเพศของตนเองอย่างจงใจ เพื่อให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้นทางเพศ (ซึ่งตามปกติแล้วจะกระทำ) จนกระทั่งบรรลุถึงจุดสุดยอด (จุดหลั่ง) อาจจะกระทำด้วยการกระตุ้นด้วยมือ หรือด้วยวิธีการอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่การมีเพศสัมพันธ์” [2]
มีสิ่งที่น่าสังเกต 2 อย่างด้วยกันในคำจำกัดความนี้
1) การสำเร็จความใคร่เป็นพฤติกรรมที่มีเจตนาเพื่อให้ตนเองถึงจุดสุดยอดโดยปราศจากการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้น การสำเร็จความใคร่จึงแตกต่างจากการหลั่งน้ำกามเองในขณะนอนหลับ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า ฝันเปียก (nocturnal emissions หรือ wet dream) ซึ่งตามปกติแล้วจะเกิดขึ้นทุก 2-3 สัปดาห์ในชายหนุ่มที่มีสุขภาพแข็งแรงปกติ และไม่มีเพศสัมพันธ์หรือการสำเร็จความใคร่
2) การสำเร็จความใคร่เป็นเป็นพฤติกรรมที่สามรถบรรลุถึงได้ด้วยหลายวิธี และอาจจะมีหรือไม่มีเครื่องมือช่วยก็ได้ ในปัจจุบันนี้มีพ่อค้าที่ผลิตอุปกรณ์ต่างๆ หลายแบบออกมาเพื่อช่วยทำให้การสำเร็จความใคร่มีลักษณะคล้ายกับการมีเพศสัมพันธ์จริงมากขึ้น ดังที่ปรากฏให้เห็นเป็นข่าวเป็นครั้งคราวในหน้าหนังสือพิมพ์และสื่อสารมวลชนประเภทอื่น
ความแพร่หลายของการสำเร็จความใคร่
เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า การสำเร็จความใคร่เป็นพฤติกรรมที่ปรากฏในวัฒนธรรมต่างๆ และอาจเริ่มตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อเด็กค้นพบความรู้สึกตื่นเต้นพึงพอใจจากการได้สัมผัสบางส่วนของร่างกายโดยบังเอิญไปจนกระทั่งวัยชรา แต่ตามปกติแล้วการสำเร็จความใคร่จะเกิดขึ้นในวัยรุ่นบ่อยมากกว่าในวัยอื่นๆ
เมื่อถามว่ามีจำนวนคนที่สำเร็จความใคร่มากน้อยเพียงใด ผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ให้สถิติที่แตกต่างกันบ้าง
เจมส์ เลสลี่ แมคแครี่ (James Leslie Mccary) ระบุว่า ผู้ชายประมาณ 95% มีพฤติกรรมนี้และผู้หญิงประมาณระหว่าง 50-90% ได้สำเร็จความใคร่มาก่อนไม่ช่วงใดก็ช่วงหนึ่งไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามว่าตนได้กระทำสิ่งนี้ไป [3]
เกร็ก สเป็ค ค้นพบว่า ผู้ชายราว 90% และผู้หญิงราว 50% เคยสำเร็จความใคร่มาก่อนแล้ว [4]
โรเบอร์ตสัน แมคควิลคิน เปิดเผยว่า 90% ของผู้ชายที่อายุเกิน 15 ปีเคยสำเร็จวามใคร่มาอย่างน้อย 1 ครั้ง และบางคนทำเป็นประจำ และประมาณ 40-60% ของผู้หญิงเคยมีประสบการณ์นี้มาอย่างน้อย 1 ครั้งเช่นกัน [5]
ถึงแม้ว่าตัวเลขของสถิติเหล่านี้จะแตกต่างกันบ้าง แต่มีสิ่งที่น่าสังเกตอย่างมาก 2 อย่างด้วยกันที่สถิติเหล่านี้บ่งบอกเหมือนกัน
1) การสำเร็จความใคร่เป็นพฤติกรรมที่แพร่หลายเป็นอย่างมาก จนกระทั่งเราสามารถพูดได้ว่าคนส่วนใหญ่ได้เคยมีพฤติกรรมอย่างนี้มาก่อน
2) จำนวนของผู้ชายที่มีพฤติกรรมนี้มีมากกว่าผู้หญิงพอประมาณทีเดียว อะไรเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดความแตกต่างนี้?
การศึกษาทางการแพทย์ไม่พบว่าผู้หญิงมีแรงขับทางชีววิทยาเพื่อให้ปลดปล่อยทางเพศ เพราะฉะนั้นเมื่อผู้หญิงสำเร็จความใคร่ ผู้หญิงจึงกระทำเพราะความต้องการที่จะมีความสุขความพึงพอใจอันเป็นความต้องการทางจิตใจของนาง [6]
แต่ในกรณีของผู้ชาย ร่างกายจะสร้างตัวอสุจิเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งจำเป็นต้องมีการปลดปล่อย เมื่อถึงจุดนั้นเขามีทางเลือกที่เป็นไปได้ 3 ทางด้วยกัน คือ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่น การฝันเปียก และการสำเร็จความใคร่ [7]
ในกรณีของชายโสดซึ่งไม่ต้องการจะพาตนเองเข้าไปเสี่ยงกับโรคภัยต่างๆ ทางเลือกแรกจึงเป็นทางตัน ส่วนการฝันเปียกนั้นก็ไม่นำมาซึ่งการลดลงของแรงขับทางเพศนัก ดังนั้นผู้ชายส่วนใหญ่จึงเลือกการสำเร็จความใคร่เป็นทางออก
ข้อเท็จจริงทางการแพทย์นี้บวกกับข้อเท็จจริงทางจิตวิทยาที่ว่า อารมณ์ทางเพศของผู้ชายนั้น สามารถถูกกระตุ้นเร่งเร้าได้ง่ายด้วยสิ่งที่พวกเขาเห็น จึงเป็นเหตุทำให้จำนวนผู้ชายที่สำเร็จความใคร่มีมากกว่าผู้หญิงมากทีเดียว
ยิ่งในสังคมปัจจุบันที่ค่านิยมทางเพศในสื่อสาธารณะประเภทต่างๆ เปลี่ยนไปจากอดีตเป็นอย่างมาก การได้เห็นสิ่งที่อาจเร้าอารมณ์ทางเพศในชีวิตประจำวันมีมากกว่าในอดีตอย่างมาก อีกทั้งความเข้มข้นของการเร่งเร้านั้นก็มีมากกว่าด้วยเช่นกัน
ทัศนคติโดยทั่วไปเกี่ยวกับการสำเร็จความใคร่
คนในสมัยโบราณมีทัศนคติที่เป็นแง่ลบอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาเห็นว่านี่เป็นเรื่องไม่ดีไม่งาม เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่อง คนในสมัยโบราณจึงพยายามควบคุมพฤติกรรมของคนในชุมชนด้วยการใช้คำขู่ต่างๆ เพื่อสร้างความกลัว โดยหวังว่าความกลัวนั้นจะช่วยยับยั้งคนรุ่นที่อ่อนเยาว์กว่าจากพฤติกรรมดังกล่าวได้
เมื่อขู่กันนานๆ เข้าสิ่งที่ตอนแรกเป็นคำขู่ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นความเชื่อที่สอนต่อๆ กันมา คนสมัยก่อนจึงสอนว่าคนที่สำเร็จความใคร่จะสมองเสื่อม, กลายเป็นคนอ่อนแอ, หัวล้าน, ตาบอด, เป็นลมบ้าหมู, เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ หรือแม้กระทั่งทำให้เป็นบ้าเสียสติไป [8]
การศึกษาทางการแพทย์ในปัจจุบันได้พิสูจน์ยืนยันอย่างแน่ชัดแล้วว่า คำขู่ดังกล่าวข้างต้นล้วนแต่ปราศจากมูลความจริงทั้งสิ้น ถ้าหากคนๆนั้นมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงดี และเขาไม่สำเร็จความใคร่ถี่จนเกินไปแล้ว การสำเร็จความใคร่จะไม่มีผลโดยตรงต่อสุขภาพของคนนั้นเลย นอกจากอาจจะทำให้เขาเกิดความรู้สึกอ่อนเพลียช่วงหนึ่งภายหลังจากการทำเท่านั้น
ผลจากการศึกษาทางการแพทย์นี้ทำให้ทัศนคติโดยทั่วไปของคนจำนวนมากในปัจจุบันค่อนไปทางบวกเกี่ยวกับพฤติกรรมนี้ บางคนเห็นว่าเป็นวิธีการผ่อนคลายความตึงเครียดทางเพศที่จำเป็นสำหรับคนโสด “คนโสดไม่มีคู่สมรสเหมือนคนที่แต่งงานแล้วนะครับ เพราะฉะนั้นแทนที่จะให้พวกเขาไปทำเรื่องผิดศีลธรรม แล้วติดเชื้อกามโรคหรือเชื้อเอดส์ เขาสำเร็จความใคร่เองมิดีกว่าหรือ?” เป็นเหตุผลของคนในกลุ่มนี้
อีกหลายคนเห็นว่า การสำเร็จความใคร่เป็นสิ่งจำเป็นแม้แต่สำหรับคนที่แต่งงานแล้ว ยกตัวอย่างเช่น เมื่อภรรยาตั้งครรภ์ตั้งแต่เดือนที่เจ็ดขึ้นไป แพทย์อาจจะแนะนำทั้งคู่ให้งดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์ได้ หลังจากคลอดแล้ว แพทย์ก็อาจจะแนะนำให้งดเว้นการมีเพศสัมพันธ์อีกประมาณ 6 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายของภรรยาคืนสู่สภาพปกติก่อน
ดังนั้นเมื่อรวมระยะเวลาที่สามีต้องละจากการแสดงบทรักอย่างที่เคยมีต่อภรรยาที่เขารักก็จะตกประมาณ 3-4 เดือน “คุณจะให้ผมทำอย่างไรในช่างเวลานี้? การสำเร็จความใคร่ย่อมดีกว่าการไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นมิใช่หรือ?”
หรือดูกรณีของตัวแทนบริษัทยาที่ต้องเดินสายเยี่ยมลูกค้าตามจังหวัดต่างๆ เดือนละประมาณ 20-25 วัน หรือนักธุรกิจที่ต้องเดินทางจากบ้านไปเป็นระยะเวลานาน การสำเร็จความใคร่น่าจะเป็นวิธีที่ช่วยเขาควบคุมความต้องการทางเพศของตน เพื่อเขาจะไม่ถูกการทดลองให้ทำสิ่งที่ผิดศีลธรรมมิใช่หรือ?
ยังมีอีกหลายคนที่เห็นว่า การสำเร็จความใคร่เป็นสิ่งจำเป็นแม้แต่สำหรับคนที่เป็นภรรยา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเขาเป็นภรรยาที่ไม่บรรลุจุดสุดยอดเป็นประจำ เพราะความเห็นแก่ตัวของสามีที่ชิงเข้าเส้นชัยไปก่อน หล่อนควรจะช่วยตัวเองให้ถึงจุดสุดยอดหลังจากสามีหลับแล้วแทนการปล่อยให้ตัวเองอารมณ์ค้างอยู่แบบนั้นมิใช่หรือ?
ความเห็นนี้เป็นตัวอย่างของทัศนคติของคนสมัยใหม่จำนวนมากต่อการสำเร็จความใคร่ ซึ่งโดยรวมกันแล้วถือว่าพฤติกรรมนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ เหตุผลเหล่านี้ส่วนใหญ่พูดราวกับว่า มีทางเลือกที่เป็นไปได้อยู่เพียง 2 ทางเท่านั้น (เช่น ผิดศีลธรรมทางเพศหรือการสำเร็จความใคร่, อารมณ์ค้างหรือการสำเร็จความใคร่ เป็นต้น)
ทัศนคติในหมู่คริสเตียน
ตลอดประวัติศาสตร์คริสตจักรก่อนศตวรรษที่ 20 คริสตจักรโดยส่วนรวมแล้วถือว่าการสำเร็จความใคร่เป็นสิ่งที่ผิด เนื่องจากคริสตจักรโรมันคาทอลิกโดยหลักการแล้วถือว่ากิจกรรมทางเพศใดๆ ที่ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดการตั้งครรภ์ขึ้นเป็นสิ่งที่ผิด ดังนั้นคริสตจักรโรมันคาทอลิกจึงยืนหยัดต่อสู้การสำเร็จความใคร่มาโดยตลอด [9]
ความจริงแล้วในบางช่วงของประวัติศาสตร์ โดยการให้เหตุผลที่ค่อนข้างแปลกของบางคน พวกเขาถึงกับถือว่าการสำเร็จความใคร่นั้นผิดมากยิ่งกว่าการล่วงประเวณี หรือการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน หรือการข่มขืนโดยใช้ความรุนแรง เพราะใน 3 อย่างหลังนี้ อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ได้!!! [10]
แต่การสำเร็จความใคร่นั้นปิดช่องของการตั้งครรภ์อย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าคริสตจักรโปรแตสแตนท์โดยส่วนรวมจะไม่ยึดถือหลักเดียวกันกับคริสตจักรโรมันคาทอลิก แต่คริสตจักรโปรแตสแตนท์ก่อนศตวรรษที่ 20 ก็ถือว่าการสำเร็จความใคร่เป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องเช่นกัน เพียงแต่พวกเขามีเหตุผลที่ต่างกันเท่านั้น
ในปัจจุบันนี้ ทัศนคติในหมู่พี่น้องคริสเตียนต่อการสำเร็จความใคร่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากพอควรทีเดียว เรามีทัศนะที่หลากหลายมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทิม ลาเฮย์ได้สำรวจความคิดเห็นของคริสเตียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ และพบว่าในหมู่แพทย์ที่เป็นคริสเตียนนั้น 72% เห็นว่า การสำเร็จความใคร่เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่สิ่งที่ผิดอะไร มีเพียง 28% เท่านั้นที่เห็นว่าผิด [11]
แต่เมื่อท่านสำรวจความเห็นของเหล่าศิษยาภิบาลที่ได้รับการอบรมทางด้านพระคริสตธรรมคัมภีร์และศาสนศาสตร์มาก่อน ท่านพบว่ามีเพียง 13% เท่านั้นที่เห็นว่าการสำเร็จความใคร่เป็นสิ่งที่ไม่ผิด ส่วนอีก 83% นั้นเห็นว่าเป็นสิ่งที่ผิด [12] สาเหตุประการหนึ่งที่ก่อให้เกิดความแตกต่างนี้คงจะเกี่ยวข้องกับลักษณะและรายละเอียดเนื้อหาของการฝึกฝนในหน้าที่การงานที่พวกเขาได้รับมา
เมื่อลาเฮย์สำรวจพฤติกรรมในด้านนี้ในหมู่คริสเตียนที่เป็นสมาชิกคริสตจักร พบว่า 52% ของคริสเตียนชาย และ 84% ของคริสเตียนหญิง ตอบแบบสอบถามว่าไม่เคยสำเร็จความใคร่หรือไม่ก็นานๆ ครั้งเท่านั้น [13] มีคริสเตียนชายเพียง 17% และ คริสเตียนหญิงเพียง 4% เท่านั้นที่ตอบว่า ทำบ่อยหรือทำเป็นประจำ และจำนวนมากในกลุ่มนี้ตอบด้วยว่าหลังจากกลับใจเป็นคริสเตียนแล้วก็ไม่เคยทำอีกเลย [14]
เราอาจสรุปทัศนะในหมู่พี่น้องคริสเตียนในปัจจุบันต่อเรื่องนี้ออกเป็น 4 ทัศนะใหญ่ๆ ด้วยกันคือ
1) การสำเร็จความใคร่เป็นของประทานจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่เราสมารถกระทำได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดอะไร เหตุผลที่พี่น้องคริสเตียนซึ่งสนับสนุนทัศนะนี้ยกมาประกอบก็คือ พระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า การกระทำเช่นนี้เป็นความบาป นอกจากนั้น ถ้าเราไม่สำเร็จความใคร่ ในที่สุดกระบวนการตามธรรมชาติก็จะทำให้ (ในกรณีของผู้ชาย) เกิดการหลั่งเอง
แล้วจะต่างกันที่ตรงไหนระหว่างการสำเร็จความใคร่กับการปล่อยให้หลั่งเอง ทัศนะนี้เห็นว่าในทางตรงข้าม เราควรจะขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งนี้ เพราะมันช่วยเราในการควบคุมความต้องการทางเพศของเราไว้ในขอบเขตที่เหมาะสม ที่ปรึกษาเกี่ยวกับการสมรสบางท่านมีความเห็นอยู่ในแนวนี้ [15]
พี่น้องคริสเตียนที่ไม่เห็นด้วยกับทัศนะนี้ชี้ให้เห็นว่า ถ้าเราใช้เหตุผลประกอบของทัศนะนี้กับพฤติกรรมด้านอื่น จริยธรรมของเราคงจะยุ่งกันใหญ่แน่ เช่น ไหนๆ ไม่ช้าก็เร็วทุกคนก็ต้องตายอยู่แล้ว ดังนั้นการฆ่าคนป่วยที่ไม่มีทางจะรักษาให้หายได้ก็ไม่น่าจะผิดอะไร เป็นต้น
นอกจากนั้น เพียงเพราะพระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้โดยตรง นั่นไม่ได้หมายความในตัวของมันเองว่าพฤติกรรมนี้ไม่ผิดหลักจริยธรรมอื่น พระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่ได้พูดถึงเรื่องหนังสือลามกอนาจาร, ยาเสพติดหรือการทำแท้งโดยตรง แต่การปฏิบัติเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ฝ่าฝืนหลักจริยธรรมสำคัญบางอย่างของคริสเตียน ฉันใดก็ฉันนั้นกับการสำเร็จความใคร่
2) ทัศนะถัดมาในหมู่พี่น้องคริสเตียนก็คือ การสำเร็จความใคร่เป็นสิ่งที่คงจะถูกต้อง ถ้าผู้กระทำไม่ได้ทำขณะมีจินตนาการที่ผิดศีลธรรม ไม่ได้ทำเพราะรู้สึกถูกผลักดันทางจิต [16] ไม่ได้กระทำในกลุ่ม และไม่ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกผิด นักจิตวิทยาคริสเตียนบางท่านมีความคิดเห็นอยู่ในแนวนี้ [17]
พี่น้องคริสเตียนที่ไม่เห็นด้วยกับทัศนะนี้มักจะชี้ให้เห็นว่า การสำเร็จความใคร่โดยไม่มีจินตนาการทางเพศนั้นแม้ว่าอาจจะเป็นไปได้ในทางทฤษฎี แต่ในเชิงปฏิบัติจริงนั้น น่าสงสัยอย่างยิ่งว่าจะมีกี่คนที่จะสามารถควบคุมความคิดของตนไว้ได้
นอกจากนั้น ความรู้สึกผิดมักจะเป็นอารมณ์สนองตอบที่ตามมาหลังจากการสำเร็จความใคร่ และความรู้สึกผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกนี้อาจจะทำให้คนนั้นรู้สึกหมดหวัง เพราะไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมในด้านนี้ของตน และกลับกลายเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตในชีวิตคริสเตียนของคนนั้นได้
3) ทัศนะนี้เห็นว่าการสำเร็จความใคร่คงจะผิด เพราะว่ามันเป็นพฤติกรรมที่ละเมิดธรรมชาติของชีวิตทางเพศตามคำสอนในพระคริสตธรรมคัมภีร์ และอาจจะละเมิดหลักการเรื่องความบริสุทธิ์ของพระคริสตธรรมคัมภีร์ด้วย
พี่น้องคริสเตียนที่ไม่เห็นด้วยกับทัศนะนี้บอกว่า ทัศนะนี้ให้เหตุผลที่ง่ายเกินไปกับเรื่องที่จริงๆแล้วสลับซับซ้อนพอประมาณทีเดียว
4) การสำเร็จความใคร่เป็นสิ่งที่ผิดอย่างแน่นอน เป็นทัศนะที่มีเหตุผลสนับสนุนและข้อคัดค้านคล้ายกับทัศนะที่ 3 จนกระทั่งกลางศตวรรษที่ 20 คริสตจักรโดยองค์รวมยึดถือตามทัศนะที่ 4 นี้อย่างเหนียวแน่น
ปัจจุบันนี้แม้จะไม่มีสถิติที่แน่นอนในเรื่องนี้ แต่เข้าใจว่าคริสตจักรในสายธรรมอักษร (Evangelical Christians) ส่วนใหญ่คงจะยึดถือตามทัศนะที่ 3 หรือ 4 ซึ่งทั้ง 2 ทัศนะนี้ต่างก็มีเหตุผลสนับสนุนที่คล้ายคลึงกัน
พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนว่าอย่างไร?
เป็นธรรมดาอยู่เองที่คริสเตียนที่ปรารถนาจะดำเนินชีวิตให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าจะถามว่า “พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนว่าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?” เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับปัญหาทางจริยธรรม ดังนั้น พระคริสตธรรมคัมภีร์จึงน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการค้นหาคำตอบของเรื่องนี้
แต่ในกรณีนี้คำตอบอาจจะน่าผิดหวังสักหน่อย (อย่างน้อยก็ในตอนแรก) เพราะเมื่อถามว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์สอนอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องการสำเร็จความใคร่ คำตอบก็คือ พระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่ได้สอนอะไรโดยตรงเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 แห่งคริสตกาลเป็นต้นมา นักเทศน์และคริสเตียนหลายต่อหลายคนพยายามจะพิสูจน์ยืนยันจากเนื้อหาในพระคริสตธรรมคัมภีร์ว่า พระคัมภีร์กล่าวโทษการสำเร็จความใคร่อย่างชัดเจน [18]
———–
พระธรรมตอนที่มักจะถูกนำมาใช้ในการนี้ก็คือ ปฐมกาล 38:1-11 ซึ่งบันทึกเรื่องราวตอนที่ยูดาห์ได้หานางทามาร์เพื่อให้มาเป็นภรรยาของเอร์บุตรหัวปีของตน แต่เนื่องจากเอร์เป็นคนชั่ว ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงประหารเขาเสีย ยูดาห์จึงทำตามธรรมเนียมปฏิบัติในธรรมบัญญัติของโมเสสในเวลานั้น ด้วยการให้โอนันน้องชายของเอร์เข้าหานางทามาร์เพื่อจะได้ให้กำเนิดลูกชายไว้สืบตระกูลของพี่ชายต่อไป [19]
ข้อ 9-10 บอกเราว่า “โอนันรู้ว่าเชื้อสายนั้นจะไม่ได้นับเป็นของเขา เมื่อเขาเข้าหาภรรยาของพี่ชายจึงทำให้น้ำกามตกดินเสีย เพราะเกรงว่าจะมีเชื้อสายให้แก่พี่ชาย ในสายพระเนตรพระยาห์เวห์ สิ่งที่โอนันทำนั้นชั่วร้าย พระองค์จึงทรงประหารชีวิตเขาเช่นกัน” (THSV)
หลายคนจึงสรุปจากพระธรรมตอนนี้ว่า พฤติกรรมของโอนันแสดงให้เห็นว่า การสำเร็จความใคร่เป็นสิ่งที่ผิด แม้จะไม่มีใครที่สรุปต่อไปว่าโทษของมันนั้นหนักหนาจนสมควรตายก็ตาม!!!
แต่ถ้าพิจารณาดูรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนแล้ว เราก็จะเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนว่า เนื้อหาของพระธรรมตอนนี้ไม่ได้สนับสนุนข้อสรุปดังกล่าวเลย คำที่พระคัมภีร์ฉบับภาษาไทยแปลในข้อ 9 ว่า เข้าหา ในภาษาฮีบรู () จะมีความหมายในบริบทของความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงอย่างเช่นใน ปฐมกาล 38:9 นี้ว่าเป็นการเข้าหาเพื่อจะมีเพศสัมพันธ์ด้วย [20]
ดังนั้นโอนันจึงไม่ได้สำเร็จความใคร่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์กับพี่สะใภ้ โอนันไม่ต้องการให้นางทามาร์ตั้งครรภ์เพื่อสืบเชื้อสายของพี่ชาย จึงทำสิ่งที่แพทย์แผนปัจจุบันเรียกว่าการหลั่งน้ำกามนอกช่องคลอด (Coitus Interruptus) [21] และภาษาฮีบรูเน้นว่า โอนันทำอย่างนี้ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์กับนาง ไม่ใช่ทำเพียงแค่ 1 หรือ 2 ครั้งเท่านั้น [22]
ดังนั้นการที่พระเจ้าทรงประหารโอนันก็เป็นเพราะเจตนาร้ายของเขาที่ปฏิเสธที่จะสืบเชื้อสายของพี่ชายไว้ ดังจะเห็นได้จากปลายข้อ 9 ที่กล่าวว่า “เพราะเกรงว่าจะมีเชื้อสายให้แก่พี่ชาย” กรณีของโอนันจึงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการสำเร็จความใคร่เลย
———–
ดังนั้น ถ้าจะถามว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์พูดว่าอย่างไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องการสำเร็จความใคร่คำตอบก็คือ พระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่ได้พูดอะไรโดยตรงเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งคงจะเป็นเพราะว่า นี่ไม่ใช่ปัญหาของคนส่วนใหญ่ในสมัยพระคัมภีร์ หนุ่มสาวในสมัยพระคัมภีร์แต่งงานเร็ว แต่มีการพัฒนาวุฒิภาวะทางเพศช้ากว่าในสมัยปัจจุบัน ในสมัยพระคัมภีร์ตามปกติแล้วคนจะแต่งงานตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป และผู้หญิงจะมีประจำเดือนครั้งตกประมาณอายุ 18 ปี [23]
ด้วยสาเหตุนี้ การสำเร็จความใคร่จึงไม่ใช่ปัญหาของคนส่วนใหญ่ในสังคมชาวยิวในสมัยพระคัมภีร์
แต่เมื่อพูดว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่ได้พูดอะไรโดยตรงเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมไม่ได้หมายความว่า เราไม่มีหลักการอะไรในพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่ช่วยเราในการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ผมคิดว่ามีหลักการหลายอย่างด้วยกันในพระวจนะของพระเจ้าที่เราสามารถนำมาช่วยในการวินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้
หลักการเหล่านั้นมีอะไรบ้าง? เราจะมาพิจารณาด้วยกันต่อไป
เพราะเหตุใดการสำเร็จความใคร่จึงผิดหลักจริยธรรมคริสเตียน?
การสำเร็จความใคร่โดยลักษณะของการปฏิบัติและจุดมุ่งหมาย มีแนวโน้มหลายอย่างด้วยกันที่ทำให้พฤติกรรมนี้ฝ่าฝืนหลักจริยธรรมทางเพศของพระคัมภีร์ การฝ่าฝืนดังที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้เป็นเหตุทำให้การสำเร็จความใคร่เป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง
1. การสำเร็จความใคร่มักเกี่ยวข้องกับการล่วงประเวณีทางความคิดจิตใจ เพื่อให้ตนเองสามารถบรรลุถึงจุดสุดยอด (จุดหลั่ง) ได้ ตามปกติแล้วคนที่สำเร็จความใคร่มักจะต้องเร่งเร้าความรู้สึกทางเพศของตนด้วยจินตนาการฟุ้งซ่านทางเพศ อันก่อให้เกิดใจกำหนัดต่อบุคคลที่ตนคิดถึงในจินตนาการนั้น
บางครั้งเขาอาจใช้ภาพถ่าย ภาพวาด นิยายประโลมโลก หรือแม้แต่จินตนาการถึงการมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่เขาอาจจะรู้จักหรือไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว เพื่อกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของตนเอง จินตนาการฟุ้งซ่านทางเพศนี้ทำให้เขาสามารถมีเพศสัมพันธ์ทางความคิดจิตใจกับคนหลายๆ คนได้
จินตนาการฟุ้งซ่านทางเพศในลักษณะนี้เองที่สวนทางกับพระดำรัสของพระเยซูใน มัทธิว 5:28 ซึ่งกล่าวว่า “ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีกับหญิงนั้นแล้ว” [24] พระเจ้าทรงสร้างเพศตรงข้ามให้เป็นบุคคลที่มีเกียรติ ควรค่าแก่การเคารพนับถือเยี่ยงมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ แต่ผู้ที่สำเร็จความใคร่กลับปฏิบัติต่อเขาเยี่ยงเครื่องมือชิ้นหนึ่งในการปลดเปลื้องอารมณ์ทางเพศของตนเท่านั้น
เป็นไปได้ไหมว่า บางคนจะสำเร็จความใคร่ได้โดยไม่ต้องพึ่งจินตนาการในลักษณะนี้? ในทางทฤษฏีแล้ว ผู้เขียนคิดว่าอาจจะเป็นไปได้ แต่ประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาแก่พี่น้องอนุชนทำให้ผู้เขียนสงสัยว่า จะมีสักกี่คนที่สามารถควบคุมความคิดของตนได้จริงๆ ในขณะสำเร็จความใคร่!!!
2. การสำเร็จความใคร่ฝ่าฝืนพระประสงค์ของพระเจ้าเกี่ยวกับความสุขทางเพศ ตามเนื้อหาในพระคริสตธรรมคัมภีร์ พระเจ้าได้ทรงกำหนดให้ความสุขทางเพศอยู่ในกรอบของชีวิตสมรส เป็นความสุขอันเกิดจากการสรรสร้างในความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งระหว่างชายหญิง 2 คนซึ่งผูกพันกันด้วยพันธสัญญาแห่งการสมรส
ดังนั้น ทั้งสองจึงต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในการมีประสบการณ์นี้ร่วมกัน (ยกตัวอย่างเช่น สุภาษิต 5:15-19 ; ปัญญาจารย์ 9:9 ; บทเพลงซาโลมอน-ทั้งเล่ม) [25] พระคริสตธรรมคัมภีร์เห็นว่า ประสบการณ์ทางเพศตามที่พระเจ้าทรงออกแบบไว้นั้น เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ที่สนิทแนบแน่นนี้เสมอ
แต่การสำเร็จความใคร่ได้ทำลายแบบแผนของพระเจ้าในเรื่องนี้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าการสำเร็จความใคร่ตามปกติแล้วเป็นการเสาะหาความสุขความตื่นเต้นทางเพศ โดยปราศจากความรักและพันธสัญญาแห่งการสมรส เป็นการกระทำที่มีตนเองเป็นศูนย์กลางทั้งหมด โดยตนเองและเพื่อตนเองเท่านั้น
ในส่วนนี้ น่าสังเกตเป็นอย่างมากว่าเมื่ออัครทูตเปาโลแนะนำ “คนที่ยังเป็นโสด” [26] และพวกแม่ม่ายเกี่ยวกับเรื่องความต้องการทางเพศ เปาโลให้ทางเลือกไว้เพียง 2 ทางเท่านั้นคือ อยู่เป็นโสด หรือแต่งงานมีคู่ครอง ดูเหมือนเปาโลจะไม่เคยคิดถึงการสำเร็จความใคร่ว่าเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งสำหรับคนที่มี “ใจเร่าร้อนด้วยกามราคะ” เลย
ทำไมหรือ? เปาโลไม่ได้อธิบายไว้ แต่อาจบางทีเหตุผลของท่านจะไม่ไกลจากประเด็นที่เรากำลังพิจารณาอยู่นี้ กล่าวคือความสุขทางเพศเป็นความสุขที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้สำหรับชีวิตสมรสเท่านั้น
3. คนที่สำเร็จความใคร่มักจะมีแนวโน้มที่จะถูกจินตนาการฟุ้งซ่านในเรื่องนี้ครอบงำไว้ จินตนาการฟุ้งซ่านเป็น “ตัวกระตุ้นความคิดที่รุนแรงกว่าสภาพความเป็นจริงเสมอ และในเมื่อสิ่งที่คนนั้นมีจินตนาการฟุ้งซ่านเกี่ยวกับมันตามปกติแล้วมักจะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถบรรลุถึงได้ [ดังนั้น] การบรรลุถึงซึ่งความสุขพึงพอใจในความเป็นจริงจึงกลายเป็นสิ่งที่ยากขึ้น” [27]
ด้วยสาเหตุนี้คนที่จินตนาการฟุ้งซ่านเป็นประจำจึงต้องจินตนาการรุนแรงขึ้น และ/หรือ วิตถารมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรักษาระดับความรู้สึกตื่นเต้นไว้ดังเดิม
ดร.เออร์ล วิลสัน รายงานจากประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาของท่านว่า
“ความจริงแล้ว การสำเร็จความใคร่ก่อให้เกิดความตึงเครียดทางเพศมากกว่าการปลดเปลื้องมัน ยิ่งคุณสำเร็จความใคร่มากเท่าใด คุณก็ยิ่งถูกมันครอบงำมากขึ้นเท่านั้น แล้วคุณก็สูญเสียอำนาจควบคุมเหนือการสำเร็จความใคร่ในทะเลแห่งความคิดที่ถูกครอบงำไว้” [28]
การถูกครอบงำด้วยเรื่องการสำเร็จความใคร่นี้จะสวนทางกับหลักการที่อัครฑูตเปาโลได้สอนไว้ใน 1 โครินธ์ 6:12 ซึ่งกล่าวว่า “…แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใดเลย” และ ใน 2 โครินธ์ 10:5 ซึ่งกล่าวว่า “…และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์”
บางคนอาจจะโต้แย้งว่า การสำเร็จความใคร่เป็นวิธีการอย่างหนึ่งในการควบคุมความต้องการทางเพศของตนเองมิใช่หรือ?
ดร. วิลสัน กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้จากประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาของท่านว่า
“การสำเร็จความใคร่ไม่ใช่วิธีการควบคุมความต้องการทางเพศของตนเอง มันมักจะเป็นการขาดการควบคุมตนเองมากกว่า” [29]
4. การสำเร็จความใคร่อาจปลูกฝังอุปนิสัยในการใช้มันเป็นทางหนีจากความตึงเครียดอันเกิดจากการปรับตัวในชีวิตสมรสได้
ยกตัวอย่าง เช่น เมื่อสามีภรรยามีความขัดแย้งบางอย่างเกิดขึ้นแทนที่ทั้งสองจะหันหน้าเข้าหากันเพื่อแก้ไขปัญหานั้นๆ ฝ่ายที่คุ้นเคยกับการสำเร็จความใคร่มาก่อน สามารถหวนกลับไปหาพฤติกรรมนั้นได้อย่างง่ายดาย เพื่อใช้มันเป็นทางออกด้วยท่าทีว่า เขาไม่จำเป็นต้องง้ออีกฝ่ายสำหรับความต้องการทางเพศของตนก็ได้ และบางครั้งยังมุ่งทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายด้วยการเปิดเผยให้ทราบ เมื่อสามีกระทำเช่นนั้น ภรรยามักจะรู้สึกว่าสามีไม่รัก และเริ่มรู้สึกหวั่นไหวไม่มั่นคง [30]
พฤติกรรมและท่าทีดังกล่าวไม่เพียงแต่สวนทางกับคำสอนของอัครฑูตเปาโล ใน 1 โครินธ์ 7:2-7 เท่านั้น แต่ยังอาจพอกพูนปัญหาเล็กๆ ให้กลายเป็นปัญหาใหญ่ในภายหลังได้ด้วย
มีคนไม่น้อยที่คิดว่า คนที่สำเร็จความใคร่ก่อนการแต่งงาน เมื่อสมรสแล้วพฤติกรรมนี้ก็จะหายไปเอง หรือเจ้าตัวก็จะเลิกได้เองเพราะเขามีสามีหรือภรรยาเป็นตัวเป็นตนแล้ว
ความจริงของเรื่องนี้ก็คือ หลังจากช่วงดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ผ่านพ้นไปแล้ว ถ้าหากอดีตของคนนั้นเคยจมอยู่กับการสำเร็จความใคร่มาก่อน ก็มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่า เขาจะทำต่อไปอีกหลังจากนั้น เพียงแต่บุคคลในจินตนาการฟุ้งซ่านนั้นไม่ใช่สามีหรือภรรยาของเขาเท่านั้น [31]
นอกจากเหตุผลทั้ง 4 ประการนี้แล้ว ยังมีสิ่งที่น่าสังเกตอย่างมากอีกอย่างหนึ่ง คือ คนส่วนใหญ่ที่สำเร็จความใคร่จะมีความรู้สึกผิดตามมาหลังจากทำแล้ว ความรู้สึกนี้มีอยู่ทั่วไปจนอาจเรียกได้ว่าเป็นความรู้สึกสากล
ความรู้สึกผิดนี้เองที่มักจะกลับกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาชีวิตฝ่ายวิญญาณของคนนั้น คริสเตียนจำนวนไม่น้อยวนเวียนไปเรื่อยๆ ในวัฏจักรของ ความรู้สึกผิด – ความรู้สึกหดหู่ – การสำเร็จความใคร่ – ความรู้สึกผิด [32]
หนทางแห่งชัยชนะเหนือการสำเร็จความใคร่
การพิจารณาเรื่องการสำเร็จความใคร่คงจะขาดอะไรบางอย่างไป ถ้าหากเราพิจารณาแต่เพียงเรื่องความถูกต้องหรือความผิดทางจริยธรรมเท่านั้น ดังนั้น ในส่วนสุดท้ายของบทความนี้ผู้เขียนอยากจะแบ่งปันแนวทางในเชิงปฏิบัติบางอย่าง ซึ่งผู้เขียนหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องที่อาจจะกำลังปล้ำสู้กับปัญหานี้อยู่
1. มีคนเคยกล่าวไว้ว่า สมองเป็นอวัยวะเพศที่สำคัญยิ่ง เพราะทุกอย่างเกี่ยวกับเพศเริ่มต้นจากที่นั่น ถ้อยคำนี้มีมูลความจริงอยู่ไม่น้อย ซึ่งนำเรามาสู่คำแนะนำประการแรกในการมีชัยชนะเหนือการสำเร็จความใคร่ กล่าวคือ เราต้องระมัดระวังสิ่งต่างๆ ที่เราปล่อยให้ผ่านประสาทสัมผัสเข้ามาคั่งค้างอยู่ในความคิดจิตใจของเรา
ความสำคัญของหลักการนี้จะเห็นได้จากความจริงทางจิตวิทยาประการหนึ่งซึ่งได้รับการยืนยันรับรองมาแล้วเป็นอย่างดี กล่าวคือ เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างจินตนาการฟุ้งซ่านและเจตจำนง จินตนาการฟุ้งซ่านมักจะชนะ
ดังนั้น หากเราสามารถควบคุมจินตนาการฟุ้งซ่านของเราได้ เจตจำนงก็จะสามรถควบคุมการกระทำได้ง่ายขึ้น [33]
ความจริงแล้วเราอาจกล่าวได้ว่า เราจะชนะหรือพ่ายแพ้ต่อการสำเร็จความใคร่และการทดลองทางเพศอื่นๆ ก็อยู่ที่สิ่งที่เราเสพผ่านประสาทสัมผัสของเราอย่างสม่ำเสมอ พระธรรมสุภาษิต 4:23 กล่าวถึงสิ่งเดียวกันนี้ว่า “จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ”
ในแง่ลบ สิ่งนี้มีความหมายว่า เราต้องตัดสิ่งเร้าอารมณ์ทางเพศออกไปจากชีวิตประจำวันของเรามากที่สุดเท่าที่จะสามารถเป็นไปได้ ถ้าหากความรู้สึกทางเพศของเราเป็นเหมือนไฟ เราก็ต้องหลีกเลี่ยงจากการใส่เชื้อเพลิงลงไป
ถ้าหนังสือนิยาย วารสาร นิตยสาร ภาพถ่ายเป็นประตูที่เปิดรับการทดลองทางเพศ เราก็ต้องเปลี่ยนประเภทสิ่งพิมพ์ที่เราอ่าน ถ้าภาพยนตร์ วีดีทัศน์ หรือรายการโทรทัศน์บางรายการทำให้อารมณ์ทางเพศของเรากระเจิงไป ก็คงจะถึงเวลาที่เราจะบอกลาขาดจากสิ่งบันเทิงเหล่านี้
โยบเป็นตัวอย่างที่ดีของเราในเรื่องนี้ ท่านกล่าวใน โยบ 31:1 ว่า “ข้าได้กระทำพันธสัญญากับนัยน์ตาของข้า แล้วข้าจะมองหญิงพรหมจารีได้อย่างไร?”
ในลักษณะเดียวกัน ถ้าเพลงหรือเทปสนทนาบางชนิดปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศของเรา เราก็ต้องหันไปฟังเพลงอย่างอื่น และฟังเทปที่มีสารประโยชน์อย่างอื่นแทน ถ้าสถานที่บางแห่งมีแนวโน้มในการทำลายเกราะแห่งการควบคุมบังคับตนเองของเรา สถานที่เหล่านี้ไม่เหมาะที่เราจะแวะเวียนไปอีก
หลักของเรื่องนี้ก็คือ จินตนาการฟุ้งซ่านเป็นพลังผลักดันการสำเร็จความใคร่ ดังนั้นการเปิดตัวของเราเองให้กับสิ่งเร้าอารมณ์ทางเพศเหล่านี้ จึงเท่ากับเป็นการเชื้อเชิญการทดลองและความพ่ายแพ้โดยปริยาย
พร้อมๆ กับการปฏิเสธที่จะเสพสิ่งที่ทำให้ความคิดจิตใจของเราเกิดจินตนาการฟุ้งซ่าน เราควรจะป้อนสิ่งที่จะหล่อหลอมความคิดจิตใจของเราให้เป็นเหมือนพระคริสต์ให้กับตัวของเราเอง (ฟีลิปปี 4:8; 2 โครินธ์ 10:3-5)
การใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอในการอ่าน ศึกษา ใคร่ครวญ และท่องจำพระวจนะของพระเจ้าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง (สดุดี 119:9, 11 ; โรม 12:2) การสนองตอบต่อพระวจนะที่เราได้เข้าใจด้วยความจริงใจจะนำมาซึ่งเสรีภาพแท้ (ยากอบ 1:25)
ถ้าหากคุณยังไม่เคยมีชีวิตการอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอกับพระเจ้ามาก่อน นี่เป็นเวลาที่คุณควรจะเริ่มต้นด้วย พระเจ้าทรงเป็นแหล่งที่มาของพละกำลังฝ่ายจิตวิญญาณ การมีความสามัคคีธรรมกับพระองค์อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อการดำเนินชีวิตคริสเตียนที่ประสบผล
ลาเฮย์ เล่าถึงเพื่อนสนิทของเขาคนหนึ่งซึ่งหลังจากแต่งงานมา 17 ปี ภรรยาของเขาได้ตายจากไป ตอนแรกเขายอมรับว่าเขามีปัญหาหนักทีเดียวเกี่ยวกับเรื่องความต้องการทางเพศ ในที่สุดเขาอธิษฐานพระเจ้าอย่างจริงจังขอให้พระเจ้าทรงโปรดช่วยเขา
และพระเจ้าได้ทรงตอบคำอธิษฐานของเขาด้วยการช่วยให้เขาไม่มีแรงขับทางเพศที่กล้าแกร่งเป็นเวลาถึง 6 ปี ต่อมาเมื่อเขาพบหญิงซึ่งภายหลังได้กลับกลายเป็นภรรยาคนที่ 2 ของเขา ความต้องการเพศสัมพันธ์ตามปกติอย่างเดิมก็ฟื้นคืนมาอย่างรวดเร็ว [34]
2. คำแนะนำประการต่อมาก็คือ จัดระเบียบชีวิตประจำวันของเราเอง เพื่อว่าเราจะไม่ว่างทั้งทางกายและทางความคิดตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ที่เราตื่นอยู่
การมีเวลาว่างมากเกินไปมักจะก่อให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย และความรู้สึกเบื่อหน่ายสามารถเป็นจุดเริ่มต้นในการปล่อยความคิดให้ลอยละล่องไปกับจินตนาการฟุ้งซ่านทางเพศได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราอยู่ในช่วงวัยรุ่นอันเป็นวัยที่พัฒนาการทางเพศกำลังเกิดขึ้นอย่างมากมายในร่างกายของเรา
ดังนั้น การทำให้ตนไม่ว่างด้วยกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ และ/หรือ สร้างสรรค์จึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีวิธีหนึ่ง
นักจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า Sublimation ซึ่งหมายถึง การหันเหพลังงานอันเกิดจากแรงขับตามธรรมชาติไปสู่เป้าหมายที่มโนธรรมของตนยอมรับได้มากกว่า [35]
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในเรื่องนี้ก็คือบรรดานักกีฬาที่กำลังจะลงแข่ง เพราะความคิดจิตใจของพวกเขาจดจ่ออยู่ที่สิ่งที่สำคัญมากกว่าและเพราะความเชื่อ (ซึ่งไม่ค่อยจะถูกต้องนัก) ว่า การละจากกิจกรรมทางเพศ 1-2 วัน จะช่วยให้พวกเขามีกำลังมากเป็นพิเศษในวันแข่งขัน
ในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน คริสเตียนที่กำลังปล้ำสู้กับปัญหาเรื่องการสำเร็จความใคร่ก็ควรจะถ่ายเทพลังงานของตนไปยังกิจกรรมซึ่งในทัศนะของคริสเตียนแล้วเป็นกิจกรรมที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าและก่อเกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าในพันธกิจบางอย่างของคริสตจักรท้องถิ่น การเล่นกีฬาประเภทต่างๆ การออกกำลัง หรือกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ ทั้งทางกายและทางปัญญา
ผู้เขียนรู้จักพี่น้องคริสเตียนคนหนึ่งในกรุงเทพฯ ก่อนหน้าที่เขาจะกลับใจเป็นคริสเตียน เขาสำเร็จความใคร่สัปดาห์ละหลายครั้งเหมือนกับวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา
แต่หลังจากที่เขาได้พบกับพระเจ้าและรับการฟื้นใจจากพระองค์ เขาตื่นเต้นกับชีวิตใหม่พระคริสต์, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ตลอดจนการรับใช้พระเจ้าในพันธกิจต่างๆ จนกระทั่งเขาลืมพฤติกรรมเรื่องนี้ของตนเองไป เวลาผ่านไปนานทีเดียวก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นว่า ตนได้เลิกพฤติกรรมนั้นไปแล้วอย่างสิ้นเชิง!!!
การจัดระเบียบชีวิตประจำวันอย่างนี้เป็นวิธีที่ดีกว่าการกัดฟันและเฝ้าบอกตนเองว่า “ข้าจะไม่ทำอีก” การทำอย่างหลังนี้มักจะช่วยได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น เพราะความจดจ่อยังคงอยู่ที่เรื่องการสำเร็จความใคร่
หลักสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ เราหยุดการสำเร็จความใคร่ไม่ใช่เพราะเราได้พยายามอย่างหนักในการเตือนใจตนเองไม่ให้ทำ แต่เราหยุดได้เพราะความสนใจของเราไปจดจ่ออยู่ที่สิ่งที่น่าตื่นเต้นกว่า เป็นประโยชน์ และมีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า
3. คำแนะนำประการสุดท้าย หาเพื่อนคริสเตียนที่มีวุฒิภาวะเป็นผู้ใหญ่ในพระเจ้า เพื่อเขาจะไม่เพียงแต่ยอมรับฟังปัญหาการปล้ำสู้กับการทดลองของเราด้วยความเข้าใจ อธิษฐานเพื่อเราอย่างสม่ำเสมอ และให้คำปรึกษาที่เหมาะสมแก่เราเท่านั้น แต่เพื่อเขาจะติดตามตรวจสอบดูการดำเนินชีวิตคริสเตียนและความก้าวหน้าของชีวิตและความก้าวหน้าของชีวิตของเราในพระเจ้าด้วย
นี่คือหลักการจากพระธรรมปัญญาจารย์ 4:9-12 พี่น้องคริสเตียนในลักษณะนี้สามารถเป็นพระพรอย่างมากต่อเราได้ เขาพร้อมที่จะให้เวลาแก่เรา พร้อมที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือที่จำเป็นแก่เรา พร้อมที่จะให้คำเตือนสติด้วยความรักแต่หนักแน่นจริงจังเมื่อเราเผอเรอ และพร้อมที่จะแบ่งปันชีวิตจริงของเขากับเราด้วย
คริสเตียนทุกคนควรจะมีเพื่อนคริสเตียนในลักษณะนี้ ไม่ใช่เพียงเพื่อช่วยเขาในการต่อสู้กับการสำเร็จความใคร่เท่านั้น แต่ในด้านอื่นๆ ของชีวิตคริสเตียนของเขาด้วย
คำถามชวนคิด
1. นอกจากการปลดเปลื้องความต้องการทางเพศแล้ว มีสาเหตุอื่นใดอีกบ้างไหมที่ทำให้ใครต่อใครสำเร็จความใคร่กัน?
2. ในกรณีที่ภรรยาตั้งครรภ์ตั้งแต่เดือนที่ 7-8 ขึ้นไปซึ่งแพทย์อาจจะแนะนำให้ละเว้นจากการมีเพศสัมพันธ์ตามปกติ บวกกับเวลาของการพักฟื้นหลังจากคลอดอีกประมาณ 6 สัปดาห์ รวมระยะเวลาที่สามีและภรรยาคู่นี้ไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ตามปกติได้ก็ตกประมาณ 3-4 เดือน ท่านคิดว่าในกรณีนี้ ถ้าทั้งสองจะสำเร็จความใคร่ให้แก่กันและกันจะถือว่าผิดหลักจริยธรรมคริสเตียนหรือไม่? เพราะเหตุใด?
3. ถ้าการสำเร็จความใคร่เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ท่านจะแนะนำภรรยาที่มีสามีที่มักจะชิงเข้าเส้นชัยไปก่อนเสมอ และปล่อยให้นางมีอารมณ์ค้างอยู่เป็นประจำอย่างไร?
บทความ: ศจ.ดร.เอษรา โมทนาพระคุณ
ภาพ: Jhonis Martins from Pexels
ออกแบบ: Sinn
อ้างอิง
[1] เราเรียกพฤติกรรมเดียวกันนี้ในภาษาอังกฤษว่า Masturbation หรือ Autoeroticism.
[2] ประมวลความหมายจาก Armand M. Nicholi II, “Masturbation” in Baker’s Dictionary of Christian Ethics, ed. Carl F. H. Henry (Grand Rapids, Michigan: Baker Book House, 1973), p. 412 ; The American Heritage College Dictionary, 3rd ed. (1993) S.V. “Masturbation;” O. Quentin Hyder, “Masturbation” in The Encyclopedia of Christian Parenting, ed. Leslie R. Keylock (Grand Rapids, Michigan: Fleming H. Revell, 1984), p. 268.
[3] อ้างอิงใน Earl D. Wilson, Sexual Sanity : Breaking Free From Uncontrolled Habits (Downers Grove, Illinois : Inter-Varsity Press, 1984), p. 60.
[4] เกร็ก สเป็ค, อดเปรี้ยวไว้กินหวาน แปลจาก Sex: It’s Worth Waiting For โดยนพลักษณ์ เคเบิ้ล (กรุงเทพมหานคร : กนกบรรณสาร, 1996), p. 147.
[5] Robertson McQuilkin, An Introduction to Biblical Ethics (Wheaton, Illinois : Tyndale House Publishers, Inc., 1989), p. 239.
[6] Ibid., pp. 239-240, 242.
[7] Ibid., p. 240
[8] ถ้าเท่านี้ยังไม่พอ โปรดดูสเป็ค. เรื่องเดียวกัน, หน้า 152. สเป็คได้รวบรวมคำขู่อื่นไว้อีกหลายอย่าง
[9] Nicholi II, “Masturbation”, p. 412 ; Wilson, p.62.
[10] Dwight Small, Christian, Celebrate Your Sexuality (Old Tappan, NJ : Fleming H. Revell, 1974), pp. 75-76 ตามที่ถูกอ้างอิงถึงใน Wilson, p. 62.
[11] Tim and Beverly LaHaye, The Act of Marriage (Grand Rapids, Michigan: Zondervan Publishing House, 1976), p 269.
[12] Ibid.
[13] Ibid.
[14] Ibid.
[15] ผู้เขียนเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาเพื่อเตรียมคริสเตียนสำหรับชีวิตสมรส (Pre-marital Counseling) บางเล่มที่มีทัศนะแนวนี้ แต่น่าเสียดายที่ผู้เขียนไม่สามารถให้ข้อมูลทางบรรณานุกรมเกี่ยวกับหนังสือเหล่านั้นได้เพราะได้ลืมไปแล้ว (สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของการมีวุฒิภาวะมากขึ้น!!!) วิทยากรของค่ายคริสตจักรที่บทความนี้อ้างอิงในตอนต้นก็มีความคิดเห็นแนวนี้ด้วย
[16] การถูกผลักดั้นทางจิต (Compulsion) หมายถึงแรงกระตุ้นให้ทำอะไรบางอย่างหรือหลายอย่าง ซึ่งถ้าไม่ได้ทำจนสำเร็จลุล่วงจะทำให้เกิดความรู้สึกวิตกกังวลอย่างเหลือทน ดู J. E. Talley, “Compulsion” in Baker Encyclopedia of Psychology, ed. David G. Benner (Grand Rapids, Michigan: Baker Book House, 1985), p. 202.
[17] R. E. Butman, “Masturbation” in Baker Encyclopedia of Psychology, ed. David G. Benner (Grand Rapids, Michigan : Baker Book House, 1985), p.687. ผู้เขียนเคยมีเพื่อนมิชชั่นนารีชาวอเมริกันคนหนึ่งที่แม้ว่าจะไม่ใช่นักจิตวิทยา แต่ก็มีความคิดเห็นในลักษณะนี้ด้วย
[18] Hyder, “Masturbation”, p. 269.
[19] ธรรมเนียมปฏิบัตินี้มีรายละเอียดปรากฏอยู่ใน ฉธบ.25:5-10.
[20] Francis Brown, S. R. Driver and Charles A. Briggs, The New Brown–Driver–Briggs–Gesenius Hebrew and English Lexicon (Peabcdy, Massachusetts: Hendrickson Publishers, 1979), p. 98; William L. Holladay, A Concise Hebrew and Aramaic Lexicon of the Old Testament (Grand Rapids, Michigan : William B. Eerdmans Publishing Company, 1971), p. 34 ; R. Laird Harris, Gleason L. Archer, Jr. and Bruce K. Waltke, Theological Wordbook of the Old Testament, vol. 1 (Chicago : Moody Press, 1980), p. 212. คำเดียวกันนี้ถูกใช้ในความหมายนี้ในพระธรรมอีกมากมายหลายตอนเช่น ปฐก.6:4; 16:2; 30:3; 39:14; ฉธบ.22:13; วนฉ.15:1; 16:1; 2 ซมอ.12:24; 16:21; 20:3; สภษ.6:29; อสค. 23:44
[21] (ฝ่ายวิชาการแพร่พิทยา), พจนานุกรมศัพท์แพทย์ (กรุงเทพมหานคร : แพร่พิทยา, 2529), หน้า 121 ให้คำจำกัดความ Coitus Interruptus ว่าหมายถึง “การร่วมประเวณีโดยการชักองคชาตออกจากช่องสังวาสก่อนหลั่งน้ำกาม” นี่เป็นวิธีการคุมกำเนิดวิธีหนึ่งในสมัยโบราณ บางคนเรียกพฤติกรรมนี้ว่า Onanism ตามชื่อของโอนันในพระธรรมตอนนี้
[22] Gordon Wenham, Genesis 16–50 (Dallas : Word Book, Publisher, 1994), p.367.
[23] Ronald L. Koteskey, “Growing Up Too Late, Too Soon,” Christianity Today, 13 March 1981, p. 25. ตามที่ถูกอ้างอิงถึงใน McQuilkin, p. 241.
[24] ดูรายละเอียดของหลักการนี้ใน เอษรา โมทนาพระคุณ, “หลักการพื้นฐานเรื่องเพศของจริยธรรมคริสเตียน,” พระคริสตธรรมประทีป 49, 262 (กรกฎาคม-สิงหาคม 1998), หน้า 49.
[25] ดูเรื่องเดียวกัน
[26] มีเหตุผลที่ดีหลายอย่างที่สนับสนุนว่า “คนที่ยังเป็นโสด” ที่อัครทูตเปาโลกล่าวถึงใน 1 คร. 7:8-9 นั้นหมายถึงพ่อม่าย ดู Gordon D. Fee, The First Epistle to the Corinthians (Grand Rapisd, Michigan: Wm. B. Eerdmans Publishing Company, 1987), pp. 287-288.
[27] Hyder, “Masturbation”, p. 287-288.
[28] Wilson, Sexual Sanity, p. 65.
[29] Ibid., p. 63.
[30] LaHaye, The Act of Marriage, p. 270.
[31] สเป็ค, อดเปรี้ยวไว้กินหวาน, หน้า 153
[32] Wilson, Sexual Sanity, p. 61. ดร.วิลสัน ระบุด้วยว่า คนที่รู้สึกหดหู่ใจมักจะพบว่าเป็นการง่ายที่จะหาเครื่องปลอบใจด้วยการสำเร็จความใคร่
[33] Hyder, “Masturbation”, p. 269.
[34] LaHayd, The Act of Marriage, p. 271.
[35] Ibid., p. 270. เพราะในแง่ความคิด superego และมโนธรรมมีลักษณะหลายอย่างที่คล้ายคลึงกัน แม้ว่าทั้งสองจะไม่เหมือนกันหมดเสียทีเดียวก็ตาม
Kara Youta