เป็นที่รับรู้กันว่า พระธรรมวิวรณ์ มีข้อสงสัย ข้อถกเถียงอย่างมากมาย อาจจะมากกว่าพระธรรมทุกเล่มในพระคัมภีร์ เพราะพูดถึงเรื่องในอนาคต และใช้ภาษาที่เป็นสัญลักษณ์ ในบทความนี้ผมจะนำเสนอแนวคิดและมุมมองต่างๆ เกี่ยวกับ ยุคพันปี (Millennium) และ การถูกรับขึ้นไป (Rapture)
ยุคพันปี (Millennium)
โดยทั่วไป “ยุคพันปี” ที่ถูกกล่าวไว้ในพระธรรมวิวรณ์ (20:6) หมายถึง การที่คริสเตียนจะได้ครอบครองร่วมกับพระคริสต์เป็นเวลาพันปี ก่อนที่จะมีสงครามครั้งใหญ่และจบลงด้วยชัยชนะของพระคริสต์ จากนั้นจะมีการพิพากษาครั้งใหญ่ ที่เรียกว่า การพิพากษา ณ พระที่นั่งสีขาว
มีทัศนะเกี่ยวกับยุคพันปี 3 ทัศนะ
Postmillennialism (หลังยุคพันปี)
ทัศนะนี้เชื่อว่า จะมีอาณาจักรใหม่บนแผ่นดินโลกในอนาคต พันปีในที่นี้ไม่ได้ตีความตามอักษร แต่เชื่อว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน (อาจจะยาวนานกว่าหนึ่งพันปีก็ได้) โดยแนวคิดนี้เสนอว่า การประกาศของคริสตจักรจะทำให้โลกกลับใจใหม่ เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ และจะนำมาสู่โลกใหม่ที่เต็มไปด้วยความชอบธรรม
แนวคิดนี้จึงจะเชื่อว่าโลกนี้จะดีขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านทางการประกาศข่าวประเสริฐ ภายหลังนักวิชาการไม่ค่อยยอมรับแนวคิดนี้ โดยเฉพาะหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เพราะโลกไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่ตีความ
Amillennialism (ไม่มียุคพันปี)
แนวคิดนี้อธิบายว่า ไม่มียุคพันปีจริง ๆ ยุคพันปีในวิวรณ์ 20:6 เป็นเพียงการสื่อความหมายแบบสัญลักษณ์ว่าหมายถึงช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ยาวนาน หรือไม่ก็เป็น ยุคพันปีทางวิญญาณ (Spiritual Millennium) เกิดขึ้นในระหว่างการเสด็จมาครั้งแรกและครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์
ดังนั้น ปัจจุบันเราก็อยู่ในยุคพันปีทางวิญญาณแล้ว สำหรับแนวคิดนี้ และพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาหลังจากยุคพันปีนี้ และจะไม่เชื่อว่าโลกนี้จะกลับใจทั้งหมดจากการประกาศของคริสตจักร
Premillennialism (ก่อนพันปี)
แนวคิดนี้เชื่อว่า พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาก่อนยุคพันปีที่กล่าวถึงในพระธรรมวิวรณ์จะเริ่มต้นขึ้น แนวคิดนี้จะยึดตามตัวอักษร โดยจะมองว่า วิวรณ์ 19 เป็นการอ้างถึงการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ ก่อนที่จะกล่าวถึงยุคพันปีในวิวรณ์ 20
แนวคิดนี้เชื่อว่าโลกจะค่อยเริ่มเสื่อมทรามลง และตกต่ำที่สุดในช่วงการทนทุกข์ครั้งใหญ่ (Great Tribulation) แนวคิดนี้ยังแบ่งออกเป็น 2 แนว คือ
- แนวประวัติศาสตร์ (historic premillennialism เชื่อว่าพระสัญญาสำหรับอิสราเอลที่กล่าวถึงในพันธสัญญาเดิมเป็นการกล่าวถึงคริสตจักร)
- แนวอนุรักษ์ (dispensational premillennialism เชื่อว่าพระสัญญาที่กล่าวถึงอิสราเอล เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับชนชาติอิสราเอลจริง ๆ)
นักวิชาการที่ยึดหลักการตีความตามตัวอักษรจะยอมรับทัศนะก่อนยุคพันปี เพราะสอดคล้องกับสิ่งที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ที่สุด
การถูกรับขึ้นไป (Rapture)
ส่วนเรื่องการที่พระเยซูจะทรงรับคริสตจักรไปจากโลกนี้ (rapture) ก็ได้มีทัศนะต่าง ๆ ดังนี้
Partial Rapturism (การรับขึ้นไปบางส่วน)
ทฤษฎีนี้เสนอว่าไม่ใช่ผู้เชื่อทุกคนที่จะได้ถูกรับไป มีเพียงแค่ผู้ที่เฝ้ารอคอย ผู้ที่มีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ติดสนิทกับพระเจ้าเพียงพอเท่านั้น ที่จะถูกรับไป
Posttribulational Rapture (การรับขึ้นไปภายหลังการทนทุกข์ครั้งใหญ่)
ทฤษฎีนี้เสนอว่าหลังจากที่ภัยพิบัติทุกประการที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์เกิดขึ้นจนครบถัวนแล้ว คริสตจักรจึงจะถูกรับขึ้นไป ซึ่งเวลาที่ถูกรับไปก็จะเกิดขึ้นก่อนที่พระเยซูคริสต์เจ้าจะทรงเสด็จกลับมายังโลกนี้เพื่อครอบครองยุคพันปี
Midtribulational Rapture (การรับขึ้นไประหว่างการทนทุกข์)
ทฤษฎีนี้แยกออกมาจากทฤษฎี pretribulational view (การรับขึ้นไปก่อนการทนทุกข์) โดยแนวคิดแบบ midtribulational นี้เชื่อว่าคริสตจักรจะได้รับการยกเว้นจากความความทุกข์ยากลำบากในช่วง 3 ปีครึ่งสุดท้ายของการทนทุกข์ครั้งใหญ่ และการที่คริสตจักรถูกรับไปจะสามารถคาดการณ์ได้ โดยพิจารณาจากข้อมูลที่ว่ายุคเจ็ดปีสุดท้าย (สัปตะสุดท้าย) จะเริ่มต้นเมื่อมีการตกลงกัน ทำพันธสัญญากันระหว่างปฏิปักษ์ของพระคริสต์ (antichrist) และอิสราเอล (ดนล.9:27) “ท่านจะทำ พันธสัญญาเข้มแข็งกับคนเป็นอันมากอยู่หนึ่งสัปตะ ท่านจะกระทำให้การถวายสัตวบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆ หยุดไปครึ่งสัปตะ ผู้ที่จะกระทำให้เกิดความวิบัตินั้น จะมาบนปีกของสิ่งน่าสะอิดสะเอียน จนความอวสานที่ได้กำหนดไว้จะถูกเทลงเหนือผู้กระทำให้เกิดความวิบัตินั้น”
Pre-wrath Rapture (การรับขึ้นไปก่อนการเทขันแห่งพระพิโรธ)
ทฤษฎีนี้มาจากแนวคิดที่ว่าเราสามารถแบ่งเหตุการณ์ในยุคเจ็ดปีสุดท้ายออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่
- ช่วงเริ่มต้น (มธ.24:4-8 ตราดวงที่หนึ่งถูกแกะ ตรงกับช่วงครึ่งแรกของยุคเจ็ดปีแห่งการทนทุกข์)
- ช่วงความยากลำบากยิ่งใหญ่ (มธ.24:21 ตราดวงที่สองถึงดวงที่ห้าถูกแกะ คริสตจักรจะถูกรับไปหลังจากที่ตราดวงที่หกเริ่มขึ้น)
- ช่วงวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า (เกิดขึ้นหลังคริสตจักรถูกรับไปแล้ว และภัยพิบัติต่างๆ ตั้งแต่ตราดวงที่เจ็ดถูกแกะ) ดังนั้นคริสตจักรจะถูกรับไปในช่วงครึ่งหลังของยุคเจ็ดปี
Pretribulational Rapture (การรับขึ้นไปก่อนการทนทุกข์)
ทัศนะนี้เชื่อว่าการถูกรับขึ้นไปและการฟื้นขึ้นจากความตายของผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ จะเกิดขึ้นก่อนการทนทุกข์ครั้งใหญ่ และการถูกรับไปของผู้เชื่อจะเป็นไปอย่างเฉียบพลัน ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าจะทรงรับไปเมื่อใด
นักวิชาการหลายคนมองว่าเรื่องการถูกรับไปของคริสตจักรตามแนวคิด pretribulational จะมีข้อสนับสนุนมากที่สุด โดยมีเหตุผลสนับสนุนได้แก่
- เป็นการตีความหมายตามตัวอักษร เป็นแนวคิดที่ได้จากการตีความหมายตรงๆ จากพระสัญญาและคำพยากรณ์ต่างๆ ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม
- ลักษณะของช่วงภัยพิบัติเจ็ดปีสุดท้าย โดย พระคัมภีร์ได้มีการใช้คำต่างๆ ที่อ้างถึงช่วงยุคสุดท้ายว่าเป็นพระพิโรธ เป็นการลงโทษ เป็นช่วงแห่งความยากลำบาก เป็นช่วงการทำลาย และเป็นยุคมืด ซึ่งทำให้เราทราบได้ว่า ในช่วงภัยพิบัติต่างๆ เหล่านี้ เป็นพระพิโรธของพระเจ้า และพระเยซูคริสต์เจ้าก็ทรงรับพระพิโรธของพระเจ้าแทนเราทั้งหลายไปแล้ว ดังนั้นพวกเราซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าจึงไม่ควรที่จะต้องรับพระพิโรธนี้แล้ว “เพราะว่า พระเจ้ามิได้ทรงกำหนดเราไว้สำหรับพระอาชญา แต่สำหรับให้เข้าสู่ความรอด โดยพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อว่าถึงเราจะตื่นอยู่ หรือจะหลับ เราจะได้มีชีวิตกับพระองค์” (1 ธส.5:9-10)
- ขอบเขตของยุคเจ็ดปีสุดท้าย ช่วงเจ็ดปีสุดท้ายนี้ จะเป็นช่วงที่กล่าวถึงสำหรับชาวต่างชาติที่ไม่เชื่อและชาวอิสราเอลเท่านั้น โดยมาจากการตีความหมายว่า ช่วงที่กล่าวถึงนั้น จะเป็นเวลาทุกข์ใจของชาวอิสราเอล (เวลาทุกข์ใจของยาโคบ ในเยเรมีย์ 30:7) เป็นเรื่องราวของชนชาติของดาเนียลและนครเยรูซาเล็ม (ชนชาติของท่าน และนครบริสุทธิ์ของท่าน ในดาเนียล 9:24) ซึ่งคริสตจักรเพิ่งเริ่มขึ้นหลังจากวันเพนเทคศเต และเป็นสิ่งที่ลึกลับมาก คริสตจักรทำให้ยิวและชาวต่างชาติไม่แตกต่างกัน ซึ่งในพระคัมภีร์เดิมยังไม่มีคริสตจักร ดังนั้นสิ่งที่พระคัมภีร์เดิมพูดถึง น่าจะหมายถึงชาวอิสราเอล
“อนิจจาเอ๋ย วันนั้นใหญ่โตเหลือเกิน ไม่มีวันใดเหมือน เป็นเวลาทุกข์ใจของยาโคบ แต่เขาก็ยังจะรอดวันนั้นไปได้” (ยรม.30:7)
“มีเจ็ดสิบสัปตะแห่งปีกำหนดไว้สำหรับชนชาติของท่าน และนครบริสุทธิ์ของท่าน เพื่อให้เสร็จสิ้นการทรยศ ให้บาปจบสิ้น และให้ลบมลทิน เพื่อนำความชอบธรรมนิรันดร์เข้ามา เพื่อประทับตราทั้งนิมิต และคำของผู้เผยพระวจนะไว้ และเพื่อจะเจิมสถานศักดิ์สิทธิ์ที่สุด” (ดนล.9:24) - วัตถุประสงค์ของช่วงเจ็ดปีสุดท้าย ก็คือ เพื่อเป็นการทดลองใจ (วว.3:10) และเพื่อเป็นการเตรียมชนชาติอิสราเอลสำหรับการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ (มลค.4:5-6)
แต่ทว่าคริสตจักรที่แท้จริง บริสุทธิ์และปราศจากตำหนิอยู่แล้ว จึงไม่ควรจะต้องถูกทดสอบอีก “ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตน เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และทรงประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักร เพื่อจะได้ทรงทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์ โดยการทรงชำระด้วยน้ำ และพระวจนะ เพื่อพระองค์จะได้มีคริสตจักรที่มีสง่าราศี ไม่มีตำหนิริ้วรอย หรือมลทินใดๆ เลย แต่บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ” (อฟ.5:25-27) - เอกภาพของความยากลำบากช่วงเจ็ดปีสุดท้าย การศึกษาจะพบว่าลักษณะของช่วงเวลานี้ตลอดเจ็ดปี มีลักษณะเดียวกัน จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่คริสตจักรจะต้องประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
- ลักษณะของคริสตจักร คริสตจักรที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องประสบกับพระพิโรธ แต่จะถูกรับขึ้นไป ดังที่ได้กล่าวไว้ว่า คริสตจักรที่แท้จริงบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิ (อฟ.5:25) สมบูรณ์แบบ และจะพ้นจากการพิพากษา ถ้าหากว่าคริสตจักรยังต้องประสบกับพระพิโรธและการพิพากษาของพระเจ้าอีก พระสัญญาของพระเจ้าก็จะไม่เกิดผล และการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ก็ไม่สามารถช่วยเราได้ “เหตุฉะนั้น การลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลาย ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์” (รม.8:1)
อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่าเกือบทุกเรื่องในพระธรรมวิวรณ์มีข้อถกเถียงกันโดยเฉพาะในทางวิชาการ แต่สิ่งที่ไม่เถียงกันเลย คือ ทุกคนที่วางใจในพระเยซูจะได้ไปสวรรค์แน่นอน ไม่ว่าจะมีหรือไม่มียุคพันปี หรือไม่ว่าการรับขึ้นไปจะเป็นทฤษฎีไหน
บทความ: ศจ. ดร. สมใจ รักษาศรี
ศิษยาภิบาลคริสตจักรแห่งความเชื่อแบ๊บติสต์
อาจารย์สถาบันพระคริสตธรรมศึกษา Faith Bible Institute
ผู้อำนวยการสถาบันครอบครัวไทย
ภาพ: Javier Vinals on Unsplash
ออกแบบ: RainnieDesign
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น