บทความ

Journey Journal (เจอนี่เจอนั่น) ตอนที่ 1: งานรับใช้ที่ไม่เคยใฝ่ฝันมาก่อน​

หลายๆ ท่านคงเคยได้ยินหรือเคยได้ไปเยี่ยมชมเรือหนังสือที่เคยได้แล่นผ่านมาเทียบท่าที่ประเทศไทยของเราเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว พลอยก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เคยได้ไปเที่ยวบนเรือ จำได้ว่าตอนนั้นเด็กมากๆ ซื้อหนังสือกับแผ่นเกมส์สกู้ปปี้ดูและได้กินไอศกรีม

เมื่อคิดย้อนกลับไปตอนนั้นมีความรู้สึกว่าการทำงานบนเรือลำนี้ดู “เจ๋งอะ” เรือลำที่พลอยได้ขึ้นนั้นคือ Doulos (เรือลำก่อน Logos Hope) แต่หลังจากนั้นอีก 10 ปี Logos Hope ก็ได้มาเทียบท่าอีกครั้ง แต่พลอยไม่ได้สนใจที่จะไปเยี่ยมชมหรือเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือคงสงสัยว่าเป็นไงมาไงถึงมาร่วมรับใช้เต็มเวลาหรือเป็นอาสาสมัครเต็มเวลาบนเรือแห่งนี้

พลอยขอใช้โอกาสนี้แนะนำตัวและเล่าเหตุที่ทำให้มาร่วมรับใช้บนเรือลำนี้สักหน่อย

สวัสดีค่ะ ชื่อ พลอย วิชญาพร เปรมานนท์ เรียนจบปริญญาโท เอกการแสดงเปียโน ที่คณะศิลปกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันอายุ 27 ปี อาศัยอยู่บนเรือมาเป็นเวลา 14 เดือน

ตอนแรกที่ได้ยินคนใกล้ตัวมาร่วมรับใช้บนเรือสมัยพลอยเข้ามหาวิทยาลัยปีแรก ต้องบอกเลยว่าตอนนั้นคิดว่ามันบ้าบอมากๆ ไปทำงานที่ไม่ได้ผลตอบแทน แถมยังต้องหาคนมาสนับสนุนเราอีก

ตอนนั้นบอกกับตัวเองเลยว่าไม่มีทาง นี่มันเกินไป แต่หลังจากเติบโตขึ้นในหลายๆ ด้านเป็นเวลา 7-8 ปี ก่อนเรียนจบ ป.โท ก็ได้มีโอกาสเจอกับศิษยาภิบาลท่านหนึ่ง อาจารย์ท่านนี้พูดคำแรกกับเราว่า “ไป Logos Hope บนเรือต้องการนักดนตรี”

ณ ตอนนั้นเราก็ตอบแค่ ค่ะ ค่ะ แต่ในใจบอกทันที ไม่เอาอะ เรียนมาตั้งนาน หาเงินมาจ่ายค่าเทอมก็มาก ขอให้ได้ใช้ตังค์จริงๆ หน่อย แต่พอเมื่อได้คิดไตร่ตรองและพลอยรู้สึกได้ว่าพระเจ้าดลใจให้ได้คิดถึงหลากหลายสิ่ง เช่น อยากไปเที่ยว อยากไปเรียนภาษา อยากออกไปถ่ายรูป อยากได้คำตอบ และอยากอีกหลายอย่างมากมาย

เมื่อรวมทุกอยากที่ต้องการทำก็พบว่า…มันอยู่ในเรือ Logos Hope และอีกหนึ่งอย่างที่คิดถึงขึ้นมาก็คือ การถวายผลแรกคืนแด่พระองค์ ข้อนี้สำหรับพลอยถือเป็นข้อใหญ่ที่ทำให้ตัดสินใจอธิษฐานอย่างจริงจังว่า พระองค์อยากให้พลอยออกมาร่วมรับใช้บนเรือจริงๆ หรือ?

หลังจากได้อธิษฐานและลองสมัครทำทุกอย่างตามระเบียบถึงแม้ว่าภาษาอังกฤษเราจะไม่ได้ดีมาก แต่ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีและราบรื่น ครั้นที่จะต้องหาผู้ถวายหรือผู้สนับสนุน พอได้เล่าเรื่องราวต่างๆ ทุกคนต่างเห็นด้วยและช่วยสนับสนุนไม่มากก็น้อย

EP.01 ออกเดินทางไปยังหมู่เกาะที่ต้องซูมแผนที่ดู

เมื่อถึงวันเดินทาง…ตอนนี้เรือ จอดอยู่ที่ Kingstown, St.Vincent and the Grenadines เส้นทางที่เราต้องบินไปนั้นคือจาก

Bangkok (Thailand) ➝ Frankfurt (Germany) ➝ Bridgetown (Barbados) ➝ Kingstown (St.Vincent)

 

 

การเดินทางจากกรุงเทพฯ มายังแคริบเบียนเหมือนว่าจะใช้เวลานานแต่ก็ไม่ได้นานขนาดนั้น เพราะเวลาที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามเวลาของประเทศนั้นๆ จนเหมือนจะทำให้มึนเล็กน้อย จากที่เห็นข้างบนคืนสถานที่ที่ไปต่อเครื่องบิน แวะหลายจุดพักก็ลุ้นกันไปทุกจุด จากกรุงเทพฯ มาแฟรงก์เฟิร์ตใช้เวลานั่งอยู่บนเครื่องประมาณ 11 ชม.

เราได้ใช้สายการบิน Lufthansa เพราะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไม่มีวีซ่าอย่างเรา เนื่องจากตอนออกตั๋วเดินทางบินตรงจาก BKK – BGI เลย เป็นช่องทางที่ปลอดภัยที่สุด หลายคนถามว่าคนเยอะไหม? บนเครื่องเป็นอย่างไร? บนเครื่องคนน้อยมาก แทบจะนั่งกันคนละแถวคนละฝั่งเลย ทำให้นอนสบายมากเพราะเราก็นอนยาว 3 เก้าอี้ไปเลย

ตอนแรกก็แอบเกรงใจ แต่พอหันไปก็เห็นทุกคนทำเช่นกัน บนเครื่องมีแจกผ้าเย็นแอลกอฮอล์ให้เช็ดมือ มีอาหารมื้อดึก กับมื้อเช้าให้ แอบบังคับกินหน่อยๆ แอร์ถามตลอด กินน้ำไหม? เอาน้ำอะไรอีกไหม? โอเคไหม? ขึ้นเครื่องบินเที่ยวแรกก็ไม่มีปัญหาใดๆ ก็นอนยาวๆ ไป เพราะกลางคืนไปชนกับเช้าที่โน้นพอดี

พอไปถึงสนามบินที่เยอรมันบอกได้คำเดียว ลงปุ๊บหนาวปัป รีบหยิบทุกอย่างมาใส่ แต่พอเดินไปเรื่อยๆ ในเขาวงกตสนามบินก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ในสนามบินมีรถไฟฟ้าเล็กๆ เพื่อไปยัง Terminal ต่างๆ เหมือนเดินมาอีกฟากของสนามบินซึ่งไกลมาก ไกลสุดๆ แต่ดีที่มีเวลาเหลือเยอะ เนื่องจากเราลงเครื่องตี 5 ครึ่ง ขึ้นอีกทีตอน 10.20 น. (ตามเวลาท้องถิ่นนะคะ)

จุดมุ่งหมายของเราคือ Gate B43 พอเดินมาถึงก็มีผู้หญิงนั่งรออยู่คนหนึ่ง ทันทีที่เค้าเห็นพวกเรา เค้าก็รีบลุกขึ้นถามว่าใช่พวกเราไหม? จบภารกิจแรก ได้เพื่อนจากจีนที่มาคนเดียวชื่อ “ซูซี่” (พวกเราได้รับรูปของกันและกันก่อนออกเดินทาง เนื่องจากองค์กรที่ส่งพวกเรามาของทั้งสองประเทศได้มีโอกาสพูดคุยกัน)

พอเจอกัน เค้าก็ถามเรื่องเอกสารเข้าประเทศอีกสองประเทศที่เราจะไปว่าทำหรือยังทำอย่างไร? เราก็ดีใจที่ได้ช่วยนิดๆ หน่อยๆ เพราะกรอกเอกสารมาแล้วเรียบร้อย หลังจากนั้นเราเองก็เดินเล่น วนๆ อยู่แถวนั้น แต่เพราะเช้ามากร้านค้ายังไม่เปิดกันสักเท่าไหร่ พอร้านเริ่มเปิดเราก็ไปเดินดูพบช็อกโกแลตหน้าโมสาร์ทที่มักได้เป็นของฝากบ่อยๆ จากเพื่อนที่มาเที่ยวเยอรมัน เราไม่ได้ซื้ออะไรเลยเพราะอิ่มมาจากบนเครื่องแล้ว ที่นี่แดดยามเช้าสวยมาก สักวันพลอยจะกลับมาที่นี้ใหม่แบบได้เดินชมทุกมุมเมือง ไม่ใช่แค่ในสนามบิน

ก่อนจะขึ้นเครื่องเพื่อบินต่อหลังจากที่รอมาประมาณ 4 ชม. เจ้าหน้าที่ก็ได้เรียกให้ทุกคนแสดงเอกสารผลตรวจโควิด-19 กับเอกสารที่กรอกเพื่อเข้าประเทศบาร์เบโดส เราก็แอบสังเกตเห็นหลายคนเหมือนยังไม่ได้กรอกเอกสารก็โวยวายกันใหญ่ เพราะเจ้าหน้าที่จะไม่ให้ขึ้น เขาบอกว่ายังไงก็ขึ้นไม่ได้ต้องไปกรอกเอกสารก่อน

เราก็ไม่ได้กังวลอะไรมากเพราะเตรียมมาเรียบร้อย ตอนเอาไปยื่นเจ้าหน้าที่ก็ยิ้มแล้วบอก ดี ดีมาก เหมือนเราเตรียมพร้อมและปริ้นเอกสารมาทุกอย่างแล้วเขาก็บอกว่า “That what I want” แล้วก็ถามถึงคนไทยอีกคนหนึ่ง ปรากฎว่าพี่ที่มาด้วยกันอีกคนติดปัญหาเรื่องเอกสารนิดหน่อย เลยมีเรื่องให้ตื่นเต้นเพื่อเพิ่มสีสันของการผจญภัยในครั้งนี้

ก็ขอบคุณพระเจ้าที่ให้มีเพื่อนคนจีนอีกคนอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นพลอยคงจะหัวร้อนมากไปกว่านี้ และเนื่องจากเรากรอกมาหลายรอบมากก็เลยช่วยพี่เค้ากรอกจนสำเร็จและทันเวลาพอดี หลังจากที่เจ้าหน้าที่ประกาศเรียกพวกเราผ่านไมค์ซึ่งผู้โดยสารทุกคนก็ได้ขึ้นเครื่องเรียบร้อยหลังจากรอพวกเราอยู่สักพัก แต่ก็ได้บินตรงตามเวลาไม่สาย ถ้าสายสงสัยคงไม่ได้ไปแน่นอน ขอบคุณพระเจ้ามั๊กมาก

ตอนอยู่บนเครื่อง ตัวเครื่องบินเหมือนจะเล็กกว่าลำก่อนหน้า เป็นสายการบินในเครือชื่อ Eurowings แต่ผู้โดยสารเยอะกว่าลำแรก แต่ก็ยังสามารถนั่งแยกๆ กันได้ ไม่ถึงกับต้องนั่งติดกัน เที่ยวบินนี้นั่งต่อไปอีก 10 ชม. หลับๆ ตื่นๆ แอบดูหนังจากจอคนอื่นที่ดูอยู่บ้าง เนื่องจากเค้าไม่แจกหูฟังแล้วของเรามีแต่ของไอโฟนซึ่งใช้ไม่ได้ ก็ฟังเพลงตัวเองแต่ดูหนังคนอื่น…สนุกดีนะ ต้องลองสักครั้ง

มีคนดูหนังเรื่อง The Devil Wears Prada, Killing Eve และก็มีเรื่องอะไรก็ไม่รู้แต่ Brad Pitt แสดง มีหนังการ์ตูนสนุกอยู่ ไม่รู้ชื่ออะไรอีกเช่นกัน เรื่องเกี่ยวกับสายลับ นักวิทยศาสตร์ที่ผลิตของให้สายลับ และนกพิราบ คืออยู่ดีๆ สายลับก็กลายเป็นนักพิราบเพราะดันเผลอกินของทดลองเข้าไปประมาณนั้น

พอถึง Bridgetown แดดแรงไม่มีตกเลยตั้งแต่อยู่บนเครื่อง ถึงแดดแรงแต่ไม่ร้อน อากาศเย็น ลมพัดแรงมาก เจ้าหน้าที่ให้เราเอาผลตรวจโควิด-19 ยื่นให้ดูอีกครั้ง ก็แอบลุ้นๆ ว่าเอ๊ะเวลามันจะเกินไหม พวกเราก็เลยพยายามเกาะกลุ่มกันไว้

จากนั้นก็เดินมากรอกเอกสารอีกครั้ง ซึ่งตรงนี้แหละที่ทำให้เราต้องจองที่พัก เพราะเราบอกว่าเราแค่ Transit ไม่กี่ ชม. เองนะที่เยอรมัน เค้าก็บอกแต่คุณก็อยู่ในเยอรมันแล้วเพราะงั้นไม่ได้ต้องเข้าพักในที่ที่เค้าจัดไว้ให้ พวกเราก็เลยต้องจองที่พักโดยเดินมาหาเจ้าหน้าที่อีกท่านหนึ่ง เขาก็ถามว่าพวกคุณเป็นครอบครัว? เราก็บอกว่าเพื่อน เค้าแนะนำว่า ถ้าจะพักห้องเดียวกันและถ้ามีคนถามอีกให้บอกว่าเป็น ญาติกัน (ญาติที่พาสปอร์ตคนละประเทศ ไทย อเมริกา จีน) ไม่อย่างนั้นจะให้พักห้องแยก

ทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างเรียบง่าย จนมาถึงรับกระเป๋า ความสนุกก็เริ่มขึ้น คือเราหากระเป๋าไม่เจอ เราก็พยายามไปถามเจ้าหน้าที่ ก็มีเจ้าหน้าที่ผู้ชายหลายๆ ท่าน ช่วยกันเดินหา ดีที่ก่อนบินถ่ายรูปกระเป๋าไว้เลยยื่นให้เค้าดู

หลังจากหาอยู่สักพักเค้าก็ให้เราไปคุยกับเจ้าหน้าที่ผู้หญิงท่านหนึ่ง ซึ่งมีคนคุยเรื่องกระเป๋าก่อนเราถึง 2 คน ในใจตอนนั้นคิด “ที่เราบอกพระเจ้าว่าขอเอาแบบไม่ต้องตื่นเต้นมาก คืออันนี้ใช่ไหม? เราก็ห่วงว่าจะเข้า ตม. ไม่ได้ เพราะทุกคนบอกว่าต้องคุยดีๆ แต่มันดันง่ายแบบ ง่ายมากจน งง เลยได้ความสนุกที่กระเป๋าหาย?!” เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า กระเป๋าจะมาอีก 1 สัปดาห์มากับสายการบินเดิมให้เขียนที่อยู่ไว้ให้ครบ

เค้าก็แอบเห็นเอกสารเรามีชื่อเรือ เค้าก็ถาม คุณจะไปเรือเหรอ ถ้างั้นให้เขียนให้หมดเลย เรืออะไร ออกวันที่เท่าไหร่ เผื่อมันไม่ทันช่วงที่เรากักตัวที่ St.Vincent เค้าจะได้ติดต่อเรือให้ และเค้าก็ถามว่าของข้างในมีอะไรที่ระบุเป็นพิเศษไหม นี่ก็คิดก็มีแค่เสื้อผ้าปกติ แล้วก็นึกถึง เจ้าหมี เลยบอกว่ามี Teddy Bear ไปอย่างเขิลๆ เค้าบอก “That what I want” เจ้าหน้าที่ทุกคนในสนามบินคือ น่ารักมาก พยายามช่วยอย่างมาก ไม่ได้โหดอย่างที่คิด ระหว่างผ่านไปแต่ละจุดเค้าก็จะจดชื่อ เจ้าหน้าที่ทุกคนทำหน้าแบบ “โอ้ ทำไมชื่อยาวจัง” เอาจริงๆ ก็ไม่ได้ยาวขนาดนั้นนะแค่ 21 ตัวเอง ชิวๆ

การผจญภัยได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ที่สนามบิน มีเรื่องให้ลุ้น ให้อธิษฐานอยู่ตลอด ตอนแรกก็นึกว่าการผจญภัยคือตอนที่ได้อยู่บนเรือแล้ว แต่ไม่ใช่เลย การผจญภัยของพลอยเริ่มตั้งแต่วันที่ตัดสินใจออกเดินทาง หาตั๋วเดินทางยันบินไปหาเรือ ตอนหน้ามาลุ้นกันต่อว่า พลอยจะเจอกระเป๋าที่หายไปไหมนะคะ

ออกแบบ:  Nantharinee

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง