ว่ากันว่าช่วงกุมภาพันธ์เป็นเดือนของคนมีคู่ ส่วนคนโสดก็อยู่เงียบๆ เหงาๆ ในห้อง พร้อมกับความคิดที่วนเวียนไปมาในหัวว่าจะเอาไงต่อกับชีวิตดี? พระเจ้า จะมีสักคนเข้ามาไหมเนี่ย? คนนี้จะไหวไหม? ขบวนสุดท้ายแล้วนะ? อยู่คนเดียวก็ได้ จบๆ กันไป
วันนี้เราอยากชวนมานั่งคุยกับรุ่นพี่ท่านหนึ่งคือ อ.ประกิจ ซึ่งปัจจุบันรับใช้พระเจ้าเป็นศิษยาภิบาลอาวุโสของ Hope Leeds ในประเทศอังกฤษ และยังได้ดูแลภาคพันธกิจยุโรปของ Hope International Ministries โดยเราไม่ได้มาคุยเรื่องงานรับใช้ แต่จะมาพูดคุยกันในฐานะคนโสดรุ่นใหญ่วัย 48 ปีถึงเรื่องราวความรักที่แทบจะไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน รวมถึงว่าจะใช้ชีวิตโสดอย่างมีความสุขได้อย่างไร
เรื่องราวความรักเมื่อ 15 ปีก่อน
ที่จริงพี่เคยมีคนรัก คือเริ่มจากความเป็นเพื่อนผู้รับใช้จนต่อมากลายเป็นเพื่อนสนิทและคนรัก พี่เองรับใช้อยู่ที่อังกฤษ ส่วนเขาอยู่ในเอเชีย การที่เราทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้นำระดับสูงในคริสตจักร ต่างคนต่างมีนิมิตชัดเจนในการรับใช้พระเจ้า จึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหากคบกันแล้วก็จะต้องนำไปสู่การแต่งงาน ก็ต้องคิดถึงอนาคตด้วยว่าจะเป็นยังไง
ดังนั้น ก่อนคบกันจริงจังก็ตกลงกันก่อนว่า ถ้าแต่งแล้วเขาจะยินดีย้ายมาอยู่ที่อังกฤษ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาเองอาจต้องสละนิมิตภาระใจของตัวเองไปด้วย ทางพี่เองก็อยากมั่นใจว่าหากเขาย้ายมาแล้วจะอยู่กับเราได้จริงๆ จึงเล่าให้ฟังหมดถึงสิ่งที่เขาจะต้องเผชิญในยุโรปโดยเฉพาะในเรื่องการรับใช้ ที่ท้าทายและแตกต่างจากการรับใช้ในเอเชียอย่างสิ้นเชิง จนดูเหมือนเราอาจจะเตรียมเขามากไป จนเขารู้สึกกลัว แม้เขาเองยินดีที่จะเชื่อฟังตามพระคัมภีร์ก็ตาม
ในที่สุด หลังจากคบกันประมาณ 3-4 ปี เราก็เปิดตัวในฐานะคู่รักอย่างเป็นทางการ เนื่องจากทั้งคู่เป็นผู้นำระดับสูง เราไม่อยากไปใช้เวลาด้วยกันแล้วสมาชิกเจอตามที่สาธารณะแล้วตีความไปต่างๆ นานา เลยเปิดตัวเป็นทางการไปดีกว่า แต่หลังจากเปิดตัวเป็นทางการ เราก็คบกันได้เพียงประมาณ 1 ปี
มีหลายสาเหตุที่ทำให้ไปต่อไม่ได้ นอกเหนือจากเรื่องนิมิต การย้ายถิ่นฐาน มันก็ยังมีเรื่องการปรับตัวของเราทั้งสองคน เรียกได้ว่าทั้งคู่เป็นคนมั่นใจในตัวเองและชอบยืนตามเส้น ส่วนตัวเราถ้าปะทะกันจะเป็นฝ่ายเงียบ แต่ฝ่ายหญิงถ้าไม่ชอบใจแล้วจะโพล่งออกมาเลย
อีกเรื่องอันนี้เราประเมินเองนะ คือพอเราใช้คำว่าแฟน เขาก็เริ่มจะคาดหวังมากขึ้น ต้องมีเวลาให้กันมากขึ้น แต่ช่วงปีนั้นเป็นปีที่พี่ต้องเผชิญเรื่องท้าทายในงานรับใช้เยอะมากที่อังกฤษ แค่แก้ปัญหาเหล่านั้นก็หมดแรงแล้ว จนไม่เหลือแรงไปโฟกัสเอาใจใส่เขาอย่างที่เขาคาดหวัง จนในที่สุดเป็นเหตุให้ต้องบอกเลิกกันไป
รู้สึกยังไงกับสถานะความเป็นโสด ยังคิดถึงเรื่องการแต่งงานอีกไหม
ที่ผ่านมายังโสดก็อาจเพราะสถานะของตัวเองด้วย ตอนอยู่เมืองไทยก็ไฟแรงในเรื่องการรับใช้จนไม่ค่อยได้คิดเรื่องนี้นัก พอไปอยู่ยุโรปก็ต้องย้ายถิ่นฐานบ่อย มันก็เลยไม่ค่อยรู้จักใคร โบสถ์ที่เราไปประจำก็มีคนไม่มาก หลายที่ก็มีแต่คนที่อายุน้อยกว่ามากทั้งในฝ่ายธรรมชาติหรือฝ่ายวิญญาณ หรือไม่ก็มีครอบครัวไปแล้ว การที่จะรู้จักใครจริงจังก็อาจจะยากสักหน่อย สรุปคือไม่ได้ตั้งใจจะโสด แต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยเท่าที่ควร
ความรู้สึกอยากโสด-อยากมีครอบครัว มันก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเป็นพักๆ โดยอุดมคติคิดว่าการมีคู่ย่อมดีกว่า นี่ไม่ได้ตอบในเชิงศาสนาศาสตร์นะ ส่วนตัวเป็นคนชอบมีเพื่อน ชอบคุย เราเป็นคนที่ชอบมิตรภาพที่ไม่ผิวเผิน คบเพื่อนแล้วลงลึก จึงคิดว่าถ้ามีคู่ครองก็น่าจะดีกว่าสำหรับตัวเอง แต่ก็รู้ว่าการมีเพื่อนกับการมีภรรยามันไม่เหมือนกันเสียทีเดียว เราไม่ได้อยู่กับเพื่อนตลอดเวลา แต่เราต้องอยู่กับคู่ครองตลอดเวลา มันต้องมีเคมีที่ตรงจริงๆ
จุดตัดสินใจอีกเรื่องที่ทำให้เราตระหนักว่า มีคู่ครองดีกว่า คือเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา ป่วยหนักมากจนไม่มีแรงลุกขึ้นมาดูแลตัวเอง คิดว่าถ้าอายุมากขึ้นกว่านี้คงยิ่งลำบาก แต่ถ้ามีคนอยู่ข้างๆ มาสนับสนุนเราก็คงจะดีกว่า
ฉะนั้น ถามว่าอยากมีคู่ครองไหม ก็ตอบว่าใช่
คนโสดกับการรับมือกับความเหงา
ถามว่าถ้าเหงาแล้วอยู่ได้ยังไง ตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือ มันไม่มีทางเลือก ถ้าเกิดเหงาขึ้นมาก็ต้องยอมรับสภาพให้ได้ แต่ก็ไม่ได้เหงาตลอดเวลา
ส่วนตัวมี 2 อย่างที่จะทำให้เกิดความรู้สึกเหงามาก คือเวลาที่เผชิญปัญหาหนักแล้วไม่มีใครเข้าใจเรา บางทีทีมงานก็ไม่เข้าใจเราในฐานะผู้นำว่ารู้สึกยังไง จึงเหมือนกับว่าเราต่อสู้อยู่คนเดียว นี่ทำให้เข้าใจพระเยซูที่เกทเสมนี สาวกก็รักพระองค์มาก แต่ทุกคนก็หลับหมดเลย บางทีรู้สึกแบบนี้ ช่วงที่เราทุกข์แทบจะตาย แต่ทีมงานเราก็ไม่เข้าใจถึงความรู้สึกของเรา อีกเวลาที่จะรู้สึกว่าเหงามาก คือ เมื่อป่วยหนักจนไม่สามารถดูแลตัวเองได้
ถามว่ากระเสือกกระสนตลอดเวลาหรือเปล่า คำตอบก็คือไม่ พี่เป็นคนชอบทำกิจกรรม มีงานอดิเรก ใช้เวลากับคนอื่น ดูหนังฟังเพลง อ่านหนังสือ ไปยิม จะไม่อยู่บ้านคนเดียวแล้วนั่งคิดฟุ้งซ่าน
ในประเด็นของการมีเพื่อนนั้น ถ้าเราได้ใช้เวลากับเพื่อนที่เป็นโสดจะช่วย เพราะเขาจะมีเวลาให้เรา และก็จะเข้าใจกันด้วย
คนโสดกับการรับมือเรื่องการทดลองทางเพศ
มีโอกาสเป็นไปได้ที่คนโสดจะล้มลงในการทดลองทางเพศ ซึ่งจะป้องกันเรื่องนี้ได้ต้องรู้จุดอ่อนของตัวเองก่อน เราต้องรู้ก่อนว่ามีอะไรที่จะนำเราไปถึงจุดนั้น หรือสถานการณ์แบบไหน เจอคนประเภทไหน อยู่ในสถานที่แบบไหนที่จะทำให้เราถูกทดลอง เราก็ต้องไม่เอาตัวเราไปอยู่ตรงนั้น อีกอย่างที่จะช่วยเรา คือหาเพื่อนที่จะคุยไม่ให้เราเหงาและหดหู่ การมีผู้นำที่คอยปกคลุมฝ่ายวิญญาณก็เป็นสิ่งที่ช่วยได้มาก เขาจะรู้จุดอ่อนของเราและคอยอธิษฐานเผื่อเรา
สิ่งสำคัญที่สุดคือ มีความยำเกรงพระเจ้า คือพระเจ้ามองดูเราอยู่ คิดอยู่ในใจเสมอว่านี่คือสิ่งที่ผิดและทำให้พระองค์เสียพระทัย เราจะไม่ข้ามเส้นนี้ ความยำเกรงพระเจ้าก็จะช่วยเรา
ผู้ชายโสดมีโอกาสถูกมองว่าไม่แมนหรือเปล่า
ส่วนตัวไม่เคยมีใครมาคุยเรื่องนี้กับเราตรงๆ แต่ได้ยินจากคนอื่นอีกที ก็ไม่ได้รู้สึกแย่นะ อาจจะประหลาดใจนิดหน่อย ที่จริงอาจเพราะการที่พี่ไปอยู่ยุโรปมานาน ซึมซับวิถีแบบคนที่นั่น ทำให้เราไม่ค่อยรู้สึกอะไร ถ้าใครคิดอะไรกับเรา ก็ไปห้ามเขาไม่ได้ ถ้าใครตัดสินเรา มันก็เป็นปัญหาของเขาไม่ใช่ปัญหาของเรา เขาต้องรับผิดชอบกับพระเจ้าเอง
แล้วถ้าจะแต่งงาน มีหลักในการเลือกคู่ครองยังไงบ้าง
ด้วยความที่พี่เป็นผู้นำระดับสูง คนที่จะมาอยู่เคียงข้างก็ต้องเสียสละมากนะ เพราะเขาจะต้องสนับสนุนเรามากไม่ว่าจะเรื่องในครอบครัวหรือการรับใช้ ครั้นจะขอให้เขาแค่เลี้ยงลูกอยู่บ้านมันก็ไม่ใช่ เขาควรเป็นเหมือนเพื่อนเรา ที่เราสามารถแบ่งปัน เล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง ซึ่งเขาก็ต้องรับได้ในระดับหนึ่ง
ความเข้ากันได้ (Chemistry) เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ไม่ใช่แค่เลือกว่าจะแต่งงานกับคนที่เฝ้าเดี่ยวทุกวัน หรือคนที่อดอาหารอธิษฐานเยอะ เมื่อก่อนเราเคยคิดว่าให้เลือกคนฝ่ายวิญญาณ ซึ่งตอนนี้เห็นว่า คำว่าฝ่ายวิญญาณไม่ได้หมายความว่าต้องมีของประทานเป็นผู้นำ แต่เขาต้องมีความเป็นผู้ใหญ่ในความคิดและมีทัศนคติบวก แม้จะไม่เป็นผู้นำแต่ควรเป็นผู้สนับสนุนที่ดี
บางคนบอกให้รอเฉยๆ เดี๋ยวพระเจ้าก็นำเอง บางคนกระวนกระวายจนเข้าไปขอเบอร์โทร พี่คิดอย่างไร
ความกระวนกระวายเป็นสิ่งที่เรารู้สึก บังคับไม่ได้ แต่การตอบสนองความรู้สึกนั้นต่างหากที่เราสามารถบังคับได้ เมื่อกระวนกระวายแล้วทำอะไรนั่นเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การขอเบอร์ไม่ได้ผิดในตัวมันเอง แต่ขอเบอร์แล้วเอาไปทำอะไรต่างหาก ถ้ามีที่ปรึกษาให้คำแนะนำก็จะเป็นสิ่งที่ดี
เราควรตั้งเป้าจะแต่งงานตอนอายุเท่านั้นเท่านี้ไหม?
การตั้งเป้าไม่ใช่สิ่งที่ผิด ตรงกันข้าม เป้าหมายทำให้เรามีทิศทาง แต่ก็ต้องกลับไปถามตัวเองว่าพระเจ้าว่ายังไง ทำไมต้องอายุ 25 ถ้ามันสมเหตุสมผล และเหมาะสมก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเลยกำหนดเวลาที่วางแผนไว้แล้ว เราก็ต้องวางใจพระเจ้า เพราะแผนของพระเจ้าก็อาจจะไม่เหมือนแผนของเรา อาจจะพูดเหมือนกำปั้นทุบดิน แต่ถ้ามันทำอะไรไม่ได้ ก็คือทำอะไรไม่ได้ ถ้าเหงาก็กลับไปทำตามคำแนะนำที่ให้ไว้ข้างต้น
คิดยังไงกับคำว่า “ต้องแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าในเรื่องนี้นะ”
คนไทยชอบใช้คำว่าแสวงหาน้ำพระทัย การแสวงหาน้ำพระทัยเป็นเรื่องเล็ก แต่เรื่องที่ใหญ่กว่าคือการดำเนินชีวิตในน้ำพระทัยต่างหาก การแสวงหาน้ำพระทัยคือการที่เราไม่รู้อะไรสักอย่างเลยจึงแสวงหา คือเริ่มต้นจากศูนย์ แต่การเดินในน้ำพระทัย คือเราเดินอยู่แล้ว และพระเจ้าก็นำเราอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราอาจจะยังไม่ชัดเจน มีสองสามทางเลือกที่เป็นไปได้ แล้วเราก็ถามว่าสามทางนี้ตกลงคือทางไหน มันไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ หรือไม่เคยได้ยินเสียงพระเจ้าในชีวิตนี้เลย พี่ไม่เชื่อเลยนะว่าคนที่ไม่เคยได้ยินเสียงพระเจ้าในชีวิตมาก่อน แล้วอยู่ๆ พระเจ้าจะมาพูดกับเขาแค่เรื่องคู่ครอง ส่วนใหญ่มันก็จะลงล็อกคือ เลือกตามใจเราชอบแล้วบอกว่าพระเจ้าบอก
แล้ว “คนที่ใช่” กับ “คนที่เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า” เหมือนหรือต่างกันไหม
คนที่เราคิดว่าใช่ อาจจะเป็นน้ำพระทัยหรืออาจจะไม่เป็นก็ได้ ตรงกันข้ามคนที่พระเจ้าคิดว่าเหมาะกับเราเริ่มต้นเราอาจจะคิดว่าไม่ใช่สำหรับเรา แต่รู้จักกันไปรู้จักกันมาก็ตระหนักว่าใช่ ความรู้สึกที่ตรงกับพระเจ้าอาจจะมาในตอนสุดท้ายก็ได้ พี่คิดว่าเป็นไปได้เยอะด้วย บางทีปัญหาอาจจะอยู่กับเราเช่น เรื่องการปรับตัว เขาใช่แต่เรารู้สึกว่าไม่ใช่ เราเป็นปัญหาเอง บางทีเราไม่ยอมโต
ถ้าถามว่าจะรู้ได้ยังไงว่าพระเจ้านำ มันไม่มีสูตร ให้ถามคำถามต่อไปว่า ที่ผ่านมาพระเจ้านำเรื่องอื่นอย่างไร ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องเรียน แต่ถ้าเราไม่เคยได้ยินเสียงพระเจ้าในเรื่องอื่นเลย ก็ยากที่เราจะได้ยินเสียงของพระเจ้าในเรื่องนี้ด้วย ถ้าเรารู้สึกว่าพระเจ้านำแล้ว ควรจะมีการรับรองด้วยนะ พระเจ้าไม่ใช่พูดครั้งเดียวแล้วเงียบไปเลย ควรจะมีการรับรองจากพระเจ้าหลายครั้ง
ดังนั้น “คำว่าใช่” สำหรับส่วนตัวพี่ คือ ตรรกะใช่ คือเราคิดใคร่ครวญแบบที่เรายอมจำนนกับพระเจ้าแล้วเรารู้ว่าใช่ จนความรู้สึกค่อยๆ ตามมา หรืออาจตรงกันข้ามก็ได้ คือความรู้สึกมาก่อน ตรรกะค่อยตามมา ไม่ใช่ว่าตรรกะก็ไม่ใช่ ความรู้สึกก็ไม่ใช่ คิดยังไงก็ไม่ใช่ มันก็แปลกๆ เว้นเสียแต่ว่า เป็นแบบโมเสส พระเจ้าพูดเป็นเสียง เห็นเป็นตัวเป็นตน แม้ว่าตรรกะก็ไม่ใช่ ความรู้สึกก็ไม่ใช่ อย่างนั้นปฏิเสธไม่ได้ แต่ยุคนี้พระเจ้าไม่ค่อยพูดกับเราในรูปแบบนั้นแล้ว
คิดยังไงหากเรามองหาหรือลองเปิดใจกับคนที่ไม่เชื่อ
พระคัมภีร์บอกชัดเลยนะว่า เราไม่สามารถเทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อได้ บางคนบอกว่าเป็นไปได้ว่าคนที่ไม่เชื่ออาจจะมาเชื่อพระเจ้าหลังจากนั้น แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะมาเชื่อ เว้นเสียแต่ว่าพระเจ้าบอกให้แต่งกับคนนั้นแล้วเขาจะเชื่อ ถ้าเราเชื่อจริงๆ ว่าเขาจะมาเชื่อก็รอให้เขามาเชื่อก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องแต่งจะดีกว่าไหม
ส่วนถ้าจะลองเปิดใจคบดู เราก็ต้องถามตัวเองก่อนว่ามั่นใจขนาดไหนว่าจะไม่ถูกทดลอง แม้เราจะบอกว่าถ้าเขาไม่เชื่อ เราก็จะรอไปเรื่อยๆ แต่นั่นก็เป็นการไปสร้างปัญหาให้กับเขา เพราะไม่ใช่เพียงเรารอเขา แต่เขาก็ต้องรอเราด้วย
พี่คิดว่า เราเป็นเพื่อนได้ และทดไว้ในใจว่าถ้าวันหนึ่งเขามาเชื่อ เราอาจจะพัฒนาความสัมพันธ์เป็นคู่รักและคู่สมรส แต่จะแน่ใจขนาดไหนว่าจะทนรอได้ แล้วถ้าวันหนึ่งเราเจอคนที่เป็นคริสเตียน ของประทานก็ใช่ เคมีก็เข้ากันได้ แล้วจะทำไงต่อ จะทิ้งคนนี้หรือ นั่นก็จะทำให้เขาบาดเจ็บด้วย
แสดงออกความรักตอนเป็นแฟนทำได้แค่ไหน?
ตอบภาคทฤษฎี คือ ทำในสิ่งที่ไม่นำไปสู่การทดลอง ซึ่งแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ไม่มีสูตรตายตัว แล้วแต่คน แล้วแต่วัฒนธรรม เช่น ตะวันตกกอดคนต่างเพศและไม่คิดอะไร แต่วัฒนธรรมเรา กอดกันอาจจะนำไปสู่การทดลอง หากเราไม่รู้จักตัวเองว่าเส้นของเราอยู่แค่ไหน คำแนะนำคือ อย่าลองถ้าไม่แน่ใจ
อีกอย่างที่ช่วยในเรื่องนี้ คือ เข้าใจภาษารักของกันและกัน เพราะแต่ละคนมีภาษารักที่ไม่เหมือนกัน เราต้องแสดงความรักโดยใช้ภาษารักของเขา ไม่ใช่ภาษาของเรา
จัดการตัวเองยังไงหากต้องเป็นโสดไปตลอด
ตอบตามหลักการพระคัมภีร์เลยนะ เพราะเราก็เชื่อแบบนั้นด้วย
1) แยกระหว่าง “สิ่งที่พระเจ้าอยากให้เราเป็น” และ “สิ่งที่เราอยากเป็น”
เราอยากมีครอบครัวแล้วพระเจ้าอยากให้เรามีไหม หรือเราอยากเป็นโสดเพราะที่ผ่านมามีปัญหาเยอะ แล้วตกลงพระเจ้าอยากให้เราอยู่เป็นโสดหรือเปล่า ให้อธิษฐานถามพระเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าอธิษฐานวันนี้แล้วพระเจ้าจะตอบเราตอนเย็นวันนี้เลย แต่อย่างน้อยเราต้อง “เปิดใจ” รับฟังพระเจ้า ไม่ตั้งป้อมว่าต้องแต่งงานหรือเป็นโสด ดังนั้น สิ่งแรกที่เราต้องทำคือจัดการกับความคิดของตัวเอง
2) ไม่ว่าพระเจ้าจะให้เราเป็นอะไร เราต้องปรับตัว
ถ้าพระเจ้าบอกให้เราเป็นโสด เราก็ต้องเชื่อว่าเราเป็นได้ ฉะนั้น ต้องยอมปรับตัวกับความโสด ถ้าพระเจ้าบอกให้เรามีคู่ครอง เราก็ต้องปรับตัวกับชีวิตคู่ แท้จริง การมีปัญหาขัดแย้งกับคู่ครองไม่เหมือนกับการมีปัญหาขัดแย้งกับเพื่อนหรือทีมงานที่ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันได้แม้จะเคลียร์ปัญหาหรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าคุยกับสามีหรือภรรยาแล้วไม่จบ จะไม่กลับบ้านก็ไม่ได้ จะแยกห้องนอนก็ไม่ใช่ มันต้องอยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องยอมปรับ
อย่างตอนที่พี่มีคู่รัก พี่ก็ต้องปรับเยอะ คือถ้าเป็นทีมงานหรือสมาชิกเราจะไม่ยอมขนาดนี้ คือ พี่ต้องยอมตายกับตัวเอง คือต้องเข้าไปง้อ เราต้องยอม ด้วยความที่เรามีของประทานเป็นอาจารย์ จะเป็นคนที่ไม่ยอมง่าย มักจะให้ความสำคัญกับความถูกผิดเป็นประการแรก แต่บางครั้งความสัมพันธ์ไม่ใช่แต่เรื่องถูกผิด มันเป็นการทำให้เขาสบายใจ เราต้องจัดการกับความคิดของเรา แม้แต่เรื่องการเลือกคู่ครอง เราก็ต้องยอมจำนนกับพระเจ้าในเรื่องสเปคของเราด้วยนะ สมมติว่าพระเจ้านำว่าเป็นคนนี้แต่ปรากฏว่าไม่ใช่นางในฝันของเรา เราก็ต้องยอมปรับ
3) รู้ว่าจุดอ่อนของเราคืออะไรและป้องกันไม่ให้นำไปสู่การทดลอง
บางคนอาจบอกว่า คนที่ถูกเรียกให้มีของประทานเป็นโสดจะไม่ถูกทดลอง เขาเลยอยู่ได้ พี่ไม่แน่ใจว่าเป็นอย่างนั้นทุกคนหรือเปล่า พี่เชื่อว่าแม้คนถูกเรียกให้มีของประทานเป็นโสดก็ยังถูกทดลองได้ ฉะนั้น เราต้องรู้ว่าจุดอ่อนของเราที่อาจนำไปสู่การทดลองคืออะไร เช่น ความเหงา ความหดหู่ หากมันเกิดขึ้นกับเราครั้งแรกนั่นคือพระเจ้าอาจอนุญาตเพื่อทำให้เรารู้ว่ามันคือจุดอ่อนของเรา เพราะฉะนั้นเราต้องป้องกันไว้ก่อนเพื่อไม่ให้ไปถึงจุดนั้น
4) สื่อสารกับผู้นำ และมีเพื่อนรอบข้าง
พี่ว่าการสื่อสารช่วยเราหลายอย่าง มนุษย์เราถูกสร้างมาให้มี Accountability ต่อพระเจ้าและต่อมนุษย์ ในเชิงจิตใจเหมือนการช่วยย้ำเตือนเรา เหมือนพระวิญญาณบริสุทธิ์ และการปกคลุมฝ่ายวิญญาณจากการที่เขาอธิษฐานเผื่อก็ช่วยได้ ส่วนการมีเพื่อนรอบข้าง (peer) ไม่ใช่หมายความว่าต้องรับใช้ในระดับเดียวกัน เราอาจจะเป็นพี่เลี้ยงเขา แต่เป็นเหมือนเพื่อนที่เราจะพบปะกัน พูดคุยแบ่งปันซึ่งกันและกัน
ฝากถึงคนโสดทั้งผู้ชายผู้หญิง
อยากให้คนโสดทุกคน เขียนคุณลักษณะของคู่ชีวิต โดยให้ระบุมากกว่าแค่เรื่องฝ่ายวิญญาณ เช่น รักพระเจ้า อ่านพระคัมภีร์ทุกวัน ไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ อยากให้เขียนถึงบุคลิก ลักษณะชีวิต Lifestyle เพราะตรงนั้นจะเป็นตัวกำหนดว่าจะเสริมสร้างหรือจะสร้างความขัดแย้ง เราควรให้ความสำคัญกับเรื่องฝ่ายวิญญาณเป็นประการแรก แต่เท่านั้นไม่พอ ที่จริงยังไม่เคยเจอใครมีปัญหากับภรรยาเพราะภรรยาไม่เฝ้าเดี่ยว ไม่ได้บอกว่าเรื่องฝ่ายวิญญาณไม่สำคัญ แต่เรื่องที่ขัดแย้งกันมักเป็นเรื่องฝ่ายธรรมชาติ ดังนั้นอยากให้เขียนเลยว่า อะไรคือสิ่งที่ชอบ และอะไรคือสิ่งที่เรารับยาก
วันหนึ่งเมื่อเราไปเจอคนที่ชอบ ให้กลับมาดูว่าเขามีคุณลักษณะตรงกับที่เราได้เขียนไว้ไหม ถ้ามันมีที่เรารับไม่ได้ แต่เราบอกว่าเรายังชอบอยู่ แสดงว่าเราตาบอดแล้ว แล้วพอแต่งงานไปแล้ว สิ่งที่ไม่ชอบเหล่านี้จะปรากฏ แล้ววันนั้นเราจะเริ่มรู้สึก เพราะตอนชอบกันเรามักลืมสิ่งที่เราไม่ชอบ
อีกสิ่งคือ รู้จักคนให้เยอะในขณะที่เรายังไม่ชอบคนไหน เราเทียบสิ่งต่างๆ ที่เราเขียนก่อนที่เราจะไปถึงจุดที่ชอบ เพราะถ้าชอบเราจะลืมในสิ่งที่เรารับไม่ได้ ให้อธิษฐาน และมีที่ปรึกษาที่เรากล้าเปิดใจคุย
ถ้าอยากวางเป้าหมายว่าจะแต่งอายุเท่าไหร่ ก็วางได้ แต่อย่าให้มันเป็นโคทองคำ แล้วแต่พระเจ้าจะว่ายังไง
อยากให้รู้จักคนๆ นั้นจริงๆ จากการใช้เวลา เช่น ใช้เวลาจากการได้อยู่ในงานรับใช้เดียวกัน เพราะการรับใช้มันเหมือนมีความกดดัน เหมือนฟองน้ำ มันบีบตัวเราออกมา เช่น ลองมานั่งอธิษฐานด้วยกัน 5 นาทีแรกยังอธิษฐานในหัวข้อฝ่ายวิญญาณอยู่ แต่พออธิษฐานไปสักพัก เริ่มหมด ที่นี้สิ่งที่อธิษฐานต่อไปมันช่วยให้เราเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในใจมากขึ้น จะเริ่มรู้สิ่งที่เขาปรารถนาในใจลึกๆ
บทสัมภาษณ์: อาจารย์ประกิจ ตรีทศายุธ
ออกแบบภาพ: Promise
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น