ก่อนอื่นผมต้องชี้แจงก่อนว่า จุดประสงค์ของการเขียนซีรีย์นี้ “ไม่ใช่เพื่อลบหลู่” ความเชื่อของบางศาสนา แต่เกิดจากการที่ผมได้ยินคำถามดี ๆ มากมายจากผู้นำหลายท่านของศาสนาบางศาสนา ซึ่งบางคำถามเป็นเพียงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และบางคำถามก็เป็นคำถามที่แหลมคม ผมจึงคิดว่าน่าจะเขียนบทความเป็นซีรีย์ “เพื่อชี้แจงและอธิบาย” เกี่ยวกับข้อสงสัยต่าง ๆ ที่ผู้นำศาสนานั้นอาจจะมีต่อความเชื่อของคริสเตียนในด้านต่าง ๆ
คำถาม
คำถามแรกที่ผมอยากจะชี้แจง มาจากคลิปหนึ่งใน YouTube (https://youtu.be/IC4Ufxo_sDk) ในนาทีที่ 1:22 ท่านผู้บรรยายได้กล่าวโดยแปลเป็นไทยได้ว่า ไม่มีข้อความที่ชัดเจนจากคัมภีร์ไบเบิลตอนใดตอนหนึ่ง ที่พระเยซูได้กล่าวว่า “I am God” และไม่เพียงจากผู้บรรยายท่านนี้เท่านั้น ผมเองก็ได้ยินคำถามที่แหลมคมนี้จากผู้เชื่อถือศาสนาอื่นๆ บางท่านที่อยู่ใน Clubhouse เช่น “ช่วยระบุได้ไหมว่า ส่วนไหนของพระคัมภีร์ไบเบิลที่ พระเยซูเอ่ยอ้างว่าทรงเป็นพระเจ้า?” ซึ่งคำถามนี้ดูเหมือนจะนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า พระเยซูไม่เคยเอ่ยอ้างว่าตนเองเป็นพระเจ้า ดังนั้นสภาพพระเจ้าของพระเยซูเป็นเพียงการตีความของคริสเตียนเท่านั้น
คำชี้แจง
ประเด็นที่ 1 ข้อสรุปที่ไม่สมเหตุสมผล (Invalid Conclusion)
ในทางตรรกศาสตร์ หากสมมติให้นาย ก พูดจริงเสมอ
Premise – นาย ก ไม่เคยเอ่ยอ้างว่าเป็นตำรวจ
Conclusion – นาย ก ไม่เป็นตำรวจ
ข้อสรุปข้างต้น เป็นข้อสรุปที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะว่า นาย ก อาจจะเป็นหรือไม่เป็นตำรวจก็ได้
ในทำนองเดียวกัน การที่พระเยซูไม่เคยพูดว่า “เราเป็นพระเจ้า” ข้อสรุปที่สมเหตุสมผลก็คือ พระเยซูอาจจะเป็นหรือไม่เป็นพระเจ้าก็ได้ ซึ่งการสรุปในสิ่งที่พระเยซูไม่เคยพูด จึงเป็นการสรุปที่ไม่สมเหตุสมผล
และในทางกลับกัน
Premise – นาย ก ไม่เคยเอ่ยอ้างว่าไม่เป็นตำรวจ
Conclusion – นาย ก เป็นตำรวจ
ข้อสรุปข้างต้นก็เป็นข้อสรุปที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นกัน ซึ่งเป็นเหตุผลที่คริสเตียนไม่ได้ถามกลับไปว่า “ช่วยระบุได้ไหมว่า ส่วนไหนของคัมภีร์ของท่านที่พระเยซูเอ่ยอ้างว่าไม่ได้ทรงเป็นพระเจ้า”
ผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า เนื่องจากพระเยซูไม่เคยเอ่ยอ้างว่าเป็นพระเจ้า แล้วคริสเตียนไปเอาข้อสรุปว่าพระเยซูเป็นพระเจ้ามาจากไหน คำตอบง่าย ๆ ก็คือ คริสเตียนก็เอาข้อสรุปมาจากพระคัมภีร์ไบเบิลนี่แหละครับ ซึ่งปรากฏในประเด็นที่ 2 และ 3
ประเด็นที่ 2 พระเยซูเอ่ยอ้างในสิ่งที่พระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้
Premise 1 – มีเพียงตำรวจเท่านั้นที่ทำ X ได้
Premise 2 – นาย ก ทำ X ได้
Conclusion – นาย ก เป็นตำรวจ
ในทางตรรกศาสตร์ ข้อสรุปข้างต้นเป็นข้อสรุปที่สมเหตุสมผล เช่นเดียวกัน แม้ว่าพระเยซูไม่เคยเอ่ยอ้างแบบตามตัวอักษรว่า “เราเป็นพระเจ้า” แต่พระเยซูก็เอ่ยอ้างหลายอย่างที่พระเจ้าเท่านั้นที่จะทำได้ เช่น
2.1 พระเยซูตรัสยืนยันว่าทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย (the First and the Last)
สภาพเบื้องต้นและเบื้องปลาย เป็น สภาพนิรันดร์ ซึ่งเป็นลักษณะประการหนึ่งของพระเจ้าที่ไม่มีในมนุษย์ ซึ่งหลักคิดนี้ถูกเขียนเอาไว้ทั้งในคัมภีร์บางเล่ม เช่น อัลกุรอ่าน (ซูเราะฮฺ 57:3) ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม (อิสยาห์ 44:6) และ ในภาคพันธสัญญาใหม่พระเยซูก็ทรงเอ่ยอ้างว่าพระองค์มีสภาพนี้ (ยอห์น 8:58, วิวรณ์ 1:17-18, 22:13)
2.2 พระเยซูทรงให้อภัยบาป
ในกรอบความคิดของ monotheism (การนับถือพระเจ้าองค์เดียว) การทำบาปของมนุษย์ เป็นการละเมิดกฎศีลธรรมของพระเจ้า และมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถให้อภัยบาปแบบสมบูรณ์แบบได้ ซึ่งหลักคิดนี้ถูกเขียนเอาไว้ทั้งในอัลกุรอ่าน (ซูเราะฮฺ 3:135) ในพันธสัญญาเดิม (ดาเนียล 9:9) และ ในพันธสัญญาใหม่พระเยซูได้เอ่ยอ้างว่าพระองค์สามารถให้อภัยบาปได้ (มาระโก 2:5) ซึ่งธรรมาจารย์ก็ตั้งข้อสงสัยในคำพูดของพระเยซูว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ให้อภัยบาปได้ (มาระโก 2:6-7)
2.3 พระเยซูตรัสยืนยันว่าทรงเป็นแสงสว่าง (the Light)
แสงสว่าง เป็นอีกหนึ่งพระลักษณะของพระเจ้าที่ไม่มีในมนุษย์ ซึ่งหลักคิดนี้ถูกเขียนเอาไว้ทั้งในอัลกุรอ่าน (ซูเราะฮฺ 24:35) ในพันธสัญญาเดิม (สดุดี 27:1) และ ในพันธสัญญาใหม่พระเยซูได้ตรัสยืนยันว่าทรงเป็นแสงสว่าง (ยอห์น 8:12)
2.4 พระเยซูตรัสยืนยันว่าทรงเป็นความจริง (the Truth)
ความจริง ก็เป็นอีกหนึ่งพระลักษณะของพระเจ้าที่ไม่มีในมนุษย์ ซึ่งหลักคิดนี้ถูกเขียนเอาไว้ทั้งในอัลกุรอ่าน (ซูเราะฮฺ 22:6) ในพันธสัญญาเดิม (สดุดี 31:5) และ ในพันธสัญญาใหม่พระเยซูได้เอ่ยอ้างว่าพระองค์เป็นความจริง (ยอห์น 14:6)
2.5 พระเยซูตรัสยืนยันว่าทรงเป็นผู้พิพากษา (the Judge)
ในกรอบความคิดของ monotheism มนุษย์ทุกคนจะถูกพิพากษาโดยพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งหลักคิดนี้ถูกเขียนเอาไว้ทั้งในอัลกุรอ่าน (ซูเราะฮฺ 22:56-57) ในพันธสัญญาเดิม (สดุดี 9:7-8) และ ในพันธสัญญาใหม่พระเยซูได้เอ่ยอ้างว่าพระองค์เป็นผู้พิพากษามนุษย์ (มัทธิว 25:31-32; ยอห์น 5:22)
2.6 พระเยซูทรงสามารถชุบชีวิตมนุษย์ได้ (the Resurrection)
การชุบชีวิตคนตาย เป็น ความสามารถที่มีในพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งหลักคิดนี้ถูกเขียนเอาไว้ทั้งในอัลกุรอ่าน (ซูเราะฮฺ 22:7) ในพันธสัญญาเดิม (1 ซามูเอล 2:6) และ ในพันธสัญญาใหม่พระเยซูได้เอ่ยอ้างว่าพระองค์สามารถชุบชีวิตได้ (ยอห์น 5:21; 11:25)
2.7 พระเยซูทรงมีพระสิริของพระเจ้า (God’s Glory)
แน่นอนว่าพระสิริของพระเจ้า ก็ย่อมมีในพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งหลักคิดนี้ถูกเขียนเอาไว้ทั้งในอัลกุรอ่าน (ซูเราะฮฺ 57:1) ในพันธสัญญาเดิม (อิสยาห์ 42:8) และในพันธสัญญาใหม่พระเยซูได้เอ่ยอ้างว่าพระองค์มีพระสิริของพระเจ้าตั้งแต่ก่อนสร้างโลก (ยอห์น 17:5)
2.8 พระเยซูทรงมีสิทธิอำนาจในการเปลี่ยนกฎของพระเจ้า
หลายครั้งที่พระเยซูเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมกฎทางด้านศีลธรรมของชาวยิวที่มาจากพระเจ้า เช่น พระเยซูมีสิทธิอำนาจมากกว่าโมเสส (มัทธิว 19:8-9) ซึ่งการกระทำเช่นนี้มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสามารถเปลี่ยนกฎของพระองค์เองได้
2.9 พระเยซูมิได้ตรัสห้ามสาวกเมื่อพวกเขานมัสการพระองค์
ในกรอบความคิดของ monotheism การนมัสการถูกสงวนเอาไว้ใช้กับพระเจ้าเท่านั้น ดังนั้นมนุษย์จะไม่นมัสการสิ่งอื่นใดนอกจากพระเจ้า แต่ในพันธสัญญาใหม่มีหลายครั้งที่สาวก (รวมถึงทูตสวรรค์) เข้ามากราบนมัสการพระเจ้า (มัทธิว 14:33; 28:9; ฮีบรู 1:6) ซึ่งหากพระเยซูไม่ใช่พระเจ้า พระเยซูก็ย่อมจะห้ามปรามไม่ให้ใครเข้ามานมัสการพระองค์ (กิจการ 10:25-26; 14:14-15; วิวรณ์ 22:8-9)
2.10 พระเยซูทรงสามารถทำทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำได้
พระเยซูเอ่ยอ้างว่าสามารถทำทุกอย่างที่พระเจ้าทำได้ (ยอห์น 5:19)
ประเด็นที่ 3 ข้อสนับสนุนในพระคัมภีร์ตอนอื่น ๆ ที่ทำให้คริสเตียนเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า
นอกจากคำพูดและการกระทำของพระเยซูที่สนับสนุนว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ยังมีข้อพระคัมภีร์อีกมากมาย (แม้จะไม่ใช่คำพูดของพระเยซูโดยตรง) ที่สนับสนุนว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า เช่น
- พระเยซูมีสภาพเทียบเท่าพระเจ้า (ยอห์น 10:30; ฟีลิปปี 2:5-8)
- พระเยซูมีสภาพนิรันดร์ (ยอห์น 1:1)
- อัครทูตยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า (ยอห์น 20:28; กิจการ7:59; ยากอบ 2:12; 2 เปโตร 1:1)
- ศัตรูของพระเยซูยอมรับว่า พระเยซูเอ่ยอ้างหรือทำตัวเป็นพระเจ้า (ยอห์น 5:18)
สรุป
แม้ว่าพระเยซูมิได้ทรงเคยเอ่ยข้อความที่ว่า “เราเป็นพระเจ้า” แต่พระดำรัสและพระราชกิจอื่น ๆ ของพระเยซูสนับสนุนว่าพระเยซูทรงสามารถกระทำในสิ่งที่เฉพาะพระเจ้าเท่านั้นที่จะกระทำได้ ดังนั้นคริสเตียนจึงสามารถสรุปว่า “พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า” โดยอาศัยการตีความพระคัมภีร์แบบบริสุทธิ์ใจและตรงไปตรงมา ไม่ได้เกิดจากการกดดันทางการเมืองในสมัยคอนสแตนติน หรือ ผลประโยชน์ใด ๆ ในคริสตจักรสมัยแรกตามที่บางท่านเข้าใจแต่อย่างใด
ผมหวังว่าบทความนี้ จะช่วยให้คริตชนสามารถตอบคำถามข้างต้นได้อย่างชัดเจน และ รัดกุม อีกทั้งมีความมั่นใจว่าความเชื่อของคริสเตียนถูกวางรากฐานเอาไว้อย่างหนักแน่นมั่นคงบนพระวจนะของพระเจ้า
ปล. หากจะเข้าใจว่าทำไมคริสเตียนจึงยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า อันที่จริงแล้ว นอกจากข้อสรุปที่ได้จากพระคัมภีร์ไบเบิล เราอาจจะต้องศึกษาประเด็นต่าง ๆ ทางประวัติศาสตร์ควบคู่กันไปด้วย เช่น การขยายตัวของคริสตจักรสมัยแรก ประมวลหลักคำสอน (Creed) การอภิปรายโต้ตอบกันของ Alexandria และ Antioch และเอกสารสำคัญอื่น ๆ อีกมากมาย แต่เนื่องจากพื้นที่ของบทความมีจำกัด ผู้เขียนจึงยังไม่ขอลงรายละเอียดเอาไว้ ณ ที่นี้
อ้างอิง
https://acts17apologetics.files.wordpress.com/2019/05/deity-of-christ-tract-final.pdf
Millard J. Erickson (1998), Christian Theology 2nd ed, Baker Academic, MI.
บทความ: ดร.อาณัติ เป้าทอง
ออกแบบ: Nan Tharinee
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น