บทความ

จริงหรือที่มัทธิวบทที่ 27 ข้อ 46 กล่าวว่าพระเยซูมิได้เป็นพระเจ้า?

จริงหรือ...พระเยซูไม่เคยพูดว่า "เราเป็นพระเจ้า" ตอนที่ 2

ตอบคำถามความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ตอนที่ 2

ก่อนอื่นผมต้องชี้แจงก่อนว่า จุดประสงค์ของการเขียนซีรีส์นี้ “ไม่ใช่เพื่อลบหลู่” ความเชื่อของศาสนาบางศาสนา แต่เกิดจากการที่ผมได้ยินคำถามดี ๆ มากมายจากผู้นำหลายท่านของศาสนาดังกล่าว ซึ่งบางคำถามเป็นเพียงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และบางคำถามก็เป็นคำถามที่มาจากความคิดที่เฉียบแหลม ผมจึงคิดว่าน่าจะเขียนบทความเป็นซีรีส์ “เพื่อชี้แจงและอธิบาย” เกี่ยวกับข้อสงสัยต่าง ๆ ที่ผู้นำศาสนานั้น ๆ อาจจะมีต่อความเชื่อของคริสเตียนในด้านต่าง ๆ

คำถามและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

จากพระกิตติคุณมัทธิว บทที่ 27 ข้อ 46

พอเวลาประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามา สะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” (THSV11)

อาจารย์และผู้นำศาสนาท่านหนึ่งได้อ้างอิงพระธรรมข้อนี้และกล่าวว่า “ผู้ที่พูดถ้อยคำเช่นนี้ออกมาจะเป็นพระเจ้าได้อย่างไรและจะเต็มใจตาย สมัครใจตายได้อย่างไร ให้คำพูดของพระเยซูเป็นตัวยืนยันสถานะของท่านเอง และอย่าไปสร้างคิดค้น ประดิษฐ์คำอธิบายกันเอาเอง แล้วเอาไปขัดกับคำพูดของพระเยซู” ซึ่งดูเหมือนว่าผู้นำศาสนาท่านนี้กำลังพยายามชี้นำให้ผู้ฟังเข้าใจว่าคำพูดนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าพระเยซูกำลังทรงสื่อสารกับพระเจ้า ดังนั้นพระเยซูจึงไม่ใช่พระเจ้า ในฐานะคริสเตียนคนหนึ่งผมจึงขอชี้แจงเพื่อแก้ไขความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนดังกล่าวดังต่อไปนี้

 

คำชี้แจง

ประเด็นที่ 1 หลักคำสอนในศาสนาของผู้นำท่านนี้เองก็ไม่เชื่อว่าพระเยซูตรัสประโยคนี้

หากอ้างอิงจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ล คำตรัสของพระเยซูที่เรากำลังอภิปรายกันอยู่นี้เกิดขึ้นในขณะที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน แต่ตามความเชื่อของผู้นำศาสนาท่านนี้นั้นพระเยซู (หรือนบีอีซา) ไม่ได้ทรงถูกตรึงที่กางเขนเลย ดังนั้นตามหลักของเหตุผลแล้วผู้ที่เชื่อถือศาสนาดังกล่าวนี้ก็ต้องไม่เชื่อว่าพระเยซูตรัสประโยคนี้ด้วยเช่นกัน

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลกมากหากผู้นำศาสนาท่านนี้อ้างอิง “คำตรัสของพระเยซูที่กางเขน” เพื่อมายืนยันว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า ทั้ง ๆ ที่ในความเชื่อของศาสนาของท่านเองก็ไม่เชื่อว่าพระเยซูทรงถูกตรึงที่กางเขน สิ่งที่ท่านผู้นำศาสนากล่าวอ้างนั้นทำให้หลายคนรู้สึกสงสัยว่าท่านอาจจะมีเจตนาเพียงเพื่อสั่นคลอนความเชื่อของคริสเตียนใหม่ที่ยังมีความรู้พระคัมภีร์ไม่มากนัก เพราะสิ่งที่ท่านผู้นำกล่าวก็ไม่น่าจะเป็นประโยชน์ประการใดต่อผู้ที่นับถือศาสนาของท่านเองเลย

 

ประเด็นที่ 2 หลักคำสอนของศาสนาของท่านนั้นไม่เชื่อถือพระกิตติคุณมัทธิว

ในทางวิชาการมีคำศัพท์หนึ่งคำที่น่าสนใจ คือ Cherry-picking ซึ่งหมายถึง การกระทำที่เลือกเอาเฉพาะในส่วนที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง และละเลยในส่วนที่ตัวเองไม่ได้รับผลประโยชน์

ผมเองก็พบว่ามีบ่อยครั้งที่นักวิชาการในศาสนาของท่านมีลักษณะของ cherry-picking กล่าวคือหลาย ๆ ท่านจะหยิบยกเฉพาะบางข้อความในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์เพียงเพื่อสนับสนุนความเชื่อของศาสนาของตน และละเลยข้อพระคัมภีร์ข้ออื่น ๆ ที่ขัดแย้งกับความเชื่อของตน เช่น การอ้างว่ายอห์น 14:16 เป็นคำพยากรณ์ถึงศาสดาในศาสนาของตน แต่จงใจที่จะไม่กล่าวถึงยอห์น 14:6 ซึ่งยืนยันว่าพระเยซูทรงเป็นหนทางเดียวที่มนุษย์จะสามารถไปถึงพระเจ้าได้ ทั้ง ๆ ที่เป็นข้อความที่อยู่ในพระคัมภีร์เล่มเดียวกันและบทเดียวกัน และในกรณีที่เรากำลังอภิปรายกันอยู่นี้พวกเขาอ้างว่ามัทธิว 27:46 กล่าวว่าพระเยซูตรัสประโยคดังกล่าวจึงเป็นการพิสูจน์ว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า แต่พวกเขากลับละเว้นการเอ่ยถึงมัทธิว 27:50 ที่กล่าวว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชมน์จริงๆ บนกางเขน (ศาสนาดังกล่าวไม่เชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชมน์เลยด้วยซ้ำ) ทั้ง ๆ ที่พระธรรมทั้ง 2 ข้อเป็นข้อพระธรรมที่อยู่ในบริบทเดียวกัน

 

ประเด็นที่ 3 มุมมองเกี่ยวกับพระเจ้าที่แตกต่างกัน

ตามกรอบความเชื่อในศาสนาของผู้นำที่เข้าใจคลาดเคลื่อนนี้ พระเจ้าทรงมีลักษณะที่เป็น One Person One Being (strict monotheism) ในขณะที่ตามความเชื่อของคริสเตียนนั้นพระเจ้าทรงมีลักษณะที่เป็น Three Persons, One Being (Trinity) ดังนั้นทุกครั้งที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวถึงพระบิดาและพระบุตร ย่อมสร้างความสงสัยและความไม่เข้าใจว่าพระบุตรเป็นบุคคลที่แยกจากพระบิดาแล้วจะเป็นพระเจ้าเหมือนกันได้อย่างไร? ในกรณีนี้ก็เช่นกันการที่พระเยซูตรัสกับพระบิดาย่อมขัดแย้งกับลักษณะของพระเจ้าในกรอบความเชื่อของศาสนาดังกล่าวแน่นอน แต่ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้ขัดแย้งกับลักษณะของพระเจ้าในกรอบความเชื่อของคริสเตียนแต่อย่างใด และหากผู้อ่านสนใจว่าเหตุใดคริสเตียนจึงเห็นว่าพระเยซูทรงมีสภาพเป็นพระเจ้าก็สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากบทความตอนที่ 1 ของซีรีส์นี้ได้ (https://christlike.co/resource/question-about-jesus-1)

 

ประเด็นที่ 4 การตีความพระธรรมมัทธิว 27:46 ตามความเชื่อของคริสเตียน

คริสเตียนมีการตีความพระธรรมข้อนี้ใน 2 แนวทางใหญ่ ๆ คือ

4.1 พระเยซูกำลังทรงสื่อสารคำถามกับพระบิดาจริง ๆ ว่า “ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?”

กรอบการตีความนี้อธิบายว่าพระบิดาทรงมีพระลักษณะแห่งความบริสุทธิ์ ดังนั้นในขณะที่พระบุตรกำลังรับความผิดบาปของมนุษย์เอาไว้บนพระองค์เองที่กางเขน พระบิดาจึงไม่สามารถมีส่วนร่วมกับความบาปที่มีอยู่ในตัวพระบุตรได้ จึงต้องทรงทอดทิ้งพระบุตร (แบบชั่วคราว) แต่เมื่อพระบุตรทรงมีชัยชนะเหนือความบาปและฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว พระบิดากับพระบุตรก็กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง

4.2 พระเยซูกำลังทรงสื่อสารกับประชาชนในบริเวณนั้น (ดู พระธรรมสดุดีบทที่ 22)

ตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์นั้นพระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนราว ๆ ปี ค.ศ. 33 (แต่บ้างก็เชื่อว่าเป็นปีอื่น หากท่านสนใจประเด็นนี้ก็สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ “พระเยซูถูกตรึงวันไหน” https://christlike.co/resource/what-day-was-jesus-crucified ) ในขณะที่พระคัมภีร์ที่เราใช้ในปัจจุบันนี้มีการแบ่งบทแบ่งข้อเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1555 โดย Robert Stephanus ดังนั้นเวลาที่ผู้คนในสมัยก่อนหน้านั้นจะอ้างอิงพระคัมภีร์พวกเขาจะวิธีการอ่านประโยคแรกของข้อความในพระคัมภีร์ที่ตนต้องการจะอ้างอิง

ดังนั้นกรอบการตีความนี้ จึงอธิบายว่าพระเยซูกำลังตรัสกับประชาชนว่าพระองค์กำลังทรงทำให้คำพยากรณ์เกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ในพระธรรมสดุดีสำเร็จเป็นจริงโดยการตรัสเพียงประโยคแรกของพระธรรมสดุดีบทที่ 22 เพื่อเป็นการอ้างอิงไปยังคำพยากรณ์ทั้งหมดในบทสดุดีนั้นนั่นเอง

 

ประเด็นที่ 5 การตีความทางประวัติศาสตร์

ในการศึกษาทางประวัติศาสตร์นั้น หากนักประวัติศาสตร์ต้องการตีความเนื้อหาทางความประวัติศาสตร์ที่แตกต่างจากของเดิม นักประวัติศาสตร์ท่านนั้นก็ต้องสามารถแสดงหลักฐานใหม่ที่สามารถอธิบายเนื้อหาดังกล่าวได้ดีกว่าหลักฐานเก่า เพื่อนำมาลบล้างการตีความแบบเดิม กล่าวคือนักประวัติศาสตร์ท่านนั้นจะมีภาระในการพิสูจน์ (burden of proof) เพื่อนำเสนอการเปลี่ยนเนื้อหาทางประวัติศาสตร์

เป็นที่ทราบกันดีว่าชุดความเชื่อของศาสนาของผู้นำที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนนี้เกิดขึ้นภายหลังชุดความเชื่อของคริสเตียน ดังนั้นการที่ท่านผู้นำศาสนาท่านนี้จะกล่าวแย้งข้อมูลทางประวัติศาสตร์นั้นก็เท่ากับว่าภาระพิสูจน์จะตกอยู่กับท่านเอง คือท่านต้องหาหลักฐานอันเป็นที่ประจักษ์ว่าพระเยซูไม่ได้ทรงถูกตรึงบนกางเขน หรือต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลถูกบิดเบือนอย่างที่ท่านกล่าวอ้างจริง ๆ

 

ผมหวังว่าบทความนี้ จะช่วยคริตชนให้สามารถตอบคำถามข้างต้นได้อย่างชัดเจนและรัดกุม อีกทั้งจะมีความมั่นใจว่าความเชื่อของตนได้รับการวางรากฐานเอาไว้อย่างแจ่มแจ้งประจักษ์มีหลักหนักแน่นบนพระวจนะคำของพระเจ้า

 

อ้างอิง

https://calisphere.org/item/c1e8314e2c8b62233b2c44ebaa189d31/

บทความ:  ดร.อาณัติ เป้าทอง 
ออกแบบ:  Nan Tharinee

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง