บทความ

มรดกจากครอบครัวรูธถึงดาวิด

ถอดบทเรียนชีวิตครอบครัวจากพระธรรมนางรูธ

แง่มุมที่เรามักคุ้นเคยจากพระธรรมนางรูธคือ ความรักภักดีของรูธ ลูกสะใภ้ที่มีต่อแม่สามี ความเชื่อที่เธอมีในพระเจ้า ถูกนับเป็นพงศ์พันธุ์พระเยซู ได้เป็นปู่ทวดย่าทวดของกษัตริย์ดาวิด แต่เมื่อได้พิจารณาเรื่องราวให้ละเอียดขึ้น เราก็พบอีกแง่มุมที่คนอาจไม่สังเกตเห็น นั่นคือ ภาพความเป็นครอบครัวที่แข็งแรง จนถือได้ว่านี่คือแบบอย่างครอบครัวที่มีสุขภาพดี และเห็นถึงผลดีที่กระทบออกไปเป็นวงกว้างมากขึ้น

บางทีเราไม่ควรมองเรื่องของดาวิดในแง่การสืบเชื้อสายทางพันธุกรรมเท่านั้น แต่ควรเห็นถึงแง่ของชีวิตที่กระทบชีวิต การส่งอิทธิพลจากรุ่นสู่รุ่น มีคำกล่าวที่ว่า “บททดสอบการสร้างสาวก จะไม่ได้เห็นผลในคนรุ่นที่สอง แต่จะเห็นผลในรุ่นที่สาม” ฉะนั้นคนรุ่นหลังอย่างกษัตริย์ดาวิดผู้ซึ่งมีรากฐานชีวิตที่ดีตั้งแต่เด็ก จึงมีแนวโน้มเป็นผลมาจากมรดกที่คนรุ่นก่อนหน้าได้มอบไว้ให้ แล้วอะไรคือมรดกที่ถูกทิ้งไว้ให้

แบบอย่างชีวิตของนาโอมี

แม่ม่ายผู้น่าสงสารคนนี้ถูกเข้าใจผิดจากผู้อ่านส่วนหนึ่ง เพียงเพราะเธอเปลี่ยนชื่อจาก “นาโอมี” (สุขสบาย) เป็น “มารา” (ขมขื่น) ที่ทำให้เราเห็นภาพของแม่สามีผู้สูญสิ้นทุกสิ่งจนท้อแท้กับชีวิต แน่นอนสิ่งที่เธอเจอมามันหนักเกินไปสำหรับผู้หญิงที่ออกมาจากบ้านเกิดอย่างครบบริบูรณ์ แต่ที่สุดต้องกลับบ้านมามือเปล่า

การเปลี่ยนชื่อนี้จึงไม่ได้สื่อว่าเธอโกรธเคืองจนหันหลังให้พระเจ้า แม้รู้ว่าเหตุร้ายมาจากพระเจ้า แต่ก็ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น บทที่ 1:20-21 มีถึง 4 ครั้งที่เธอบอกว่าพระเจ้าเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดกับเธอ เช่น “องค์ทรงฤทธิ์ทำให้ชีวิต…” “องค์พระผู้เป็นเจ้านำฉันกลับมา…” เหตุที่เธอเปลี่ยนชื่อก็เพียงต้องการสะท้อนความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองในขณะนั้น

และจากพระคัมภีร์ทำให้เราเห็นว่า นาโอมีรอคอยและหวังใจในพระเจ้า เธอยังซื่อสัตย์ไม่ทอดทิ้งพระเจ้า แต่กลับมายังเบธเลเฮม เมืองของพระเจ้า ด้วยความหวังใจถึงความซื่อสัตย์ที่พระเจ้าจะมีต่อครอบครัวเธอ และเมื่อได้รู้เรื่องของโบอาส ความหวังเธอลุกโชนขึ้นอีกครั้ง อีกทั้งคำแนะนำที่ให้กับรูธนั้น (3:2-4) ก็เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไปของชาวยิว หาใช่การยั่วยวนโบอาสอย่างที่บางคนเข้าใจผิด

และเรายังเห็นถึงความห่วงใยที่นาโอมีหยิบยื่นให้กับรูธ ทั้งยินดีให้เธอไปตั้งต้นครอบครัวใหม่ได้ (1:8) ห่วงใยอนาคตของรูธ จนหาทางช่วยให้เธอได้แต่งงานใหม่ เพื่อพ้นสภาพจากแม่ม่าย (3:1) มันชวนให้เราคิดย้อนไปว่า เหตุที่นางรูธไม่ลังเลที่จะเลือกติดตามนาโอมีไปทุกที่นั้น ก็เพราะว่านาโอมีรักและดีกับเธอเสมอมา และชวนคิดได้อีกว่า แบบอย่างชีวิตที่เดินกับพระเจ้าของนาโอมีรวมถึงครอบครัวของนาง ต้องมีอิทธิพลต่อคนต่างชาติอย่างรูธจนมีความเชื่อเข้มแข็งในทางพระเจ้า

และไม่ว่านาโอมีจะเผชิญเรื่องเลวร้ายมาแค่ไหน แต่ด้วยชีวิตที่ยืนระยะผ่านความวางใจพระเจ้า เราก็เห็นว่า บั้นปลายของเธอได้รับพรมาก ถึงขนาดคนในเมืองต่างเปรียบเปรยว่า แค่ลูกสะใภ้คนเดียวก็ยอดเยี่ยมกว่ามีลูกชายถึง 7 คน (4:14-15)

ชีวิตที่ใส่ใจผู้อื่นของโบอาส

โบอาส คืออีกคนที่ต้องถูกพูดถึง เขาเปิดให้คนมาเก็บข้าวที่ตกตามพื้นในไร่ได้ ไม่เพียงซื่อสัตย์ในการยึดถือธรรมบัญญัติที่ให้ดูแลคนยากจน แต่มันสะท้อนความใส่ใจที่มีต่อผู้อื่นเสมอ แน่นอนว่าชีวิตที่เดินกับพระเจ้าได้หล่อหลอมคุณธรรมในตัวโบอาส เราสัมผัสว่าทุกสิ่งที่เขาคิด เขาพูด เขาตัดสินใจมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง โบอาสช่วยเหลือรูธเป็นพิเศษเพราะเขาถูกสัมผัสใจจากชีวิตที่เสียสละของรูธ (2:11-12) เชื่อได้ว่าเขาต้องเป็นคนที่ได้รับการยอมรับในระดับหนึ่ง ที่ประตูเมืองไม่ว่าโบอาสจะขอความร่วมมือจากใคร ทุกคนก็ยอมให้ความช่วยเหลือ (4:1-3) แม้แต่นาโอมีก็ยังรับรู้ถึงชื่อเสียงอันดีของโบอาส จนมั่นใจล่วงหน้าว่าเขาจะจัดการเรื่องรูธให้เรียบร้อยได้ (3:18) น่าคิดเช่นกันว่าถ้าไม่ใช่โบอาสแล้ว นาโอมีจะกล้าแนะนำรูธให้ทำอย่างนั้นหรือไม่ (เพราะธรรมเนียมญาติสนิทช่วยไถ่นั้น ญาติมีสิทธิ์ปฏิเสธได้)

ชีวิตที่ดีงามของรูธ

คงไม่ต้องสาธยายเรื่องราวของรูธมากนัก เพราะชีวิตเธอโดดเด่นเห็นชัดเจน ตั้งแต่วันที่รูธแสดงออกให้เห็นว่ารักภักดีและสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและนาโอมีนั้น นั่นคงเป็นพลังใจและต่อเติมความหวังที่ริบหรี่ ให้แม่สามีอย่างนาโอมีให้ก้าวเดินต่อไป ชีวิตที่ถ่อมใจของรูธสำแดงออกมา ไม่เพียงแค่โบอาสที่ได้ยินเรื่องราว ได้เห็นกับตา มันทำให้โบอาสยอมตัดสินใจครั้งใหญ่เพื่อร่วมชีวิตกับแม่ม่ายต่างชาติอย่างเธอ และความดีงามของเธอนั้นยังเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วทั้งเมือง (3:11)

ต้นทุนจากครอบครัว

คิดภาพตามว่า ครอบครัวที่ประกอบด้วย โบอาส ชายที่เชื่อฟังพระเจ้าและสำแดงชีวิตที่ดีอย่างชัดเจน  รูธ หญิงผู้ถอดแบบพิมพ์เขียวคุณสมบัติของผู้หญิงจากสุภาษิต 31  และ นาโอมี ผู้ซึ่งสั่งสมประสบการณ์มากมาย และพร้อมถ่ายทอดบทเรียนการยืนหยัดวางใจในพระเจ้าให้ฟัง ลักษณะชีวิตของทั้งสามคนนี้ส่งผลกระทบต่อกัน ขัดเกลากัน หลอมรวมและส่งอิทธิพลให้กัน

แล้วคุณคิดว่า โอเบด ลูกของรูธและโบอาสจะถูกเลี้ยงดูเติบโตขึ้นมาอย่างไร แม้พระคัมภีร์ไม่ได้ให้รายละเอียดเหล่านี้ แต่ก็พอคาดคะเนได้ว่า ต้นทุนจากครอบครัวน่าจะส่งเสริมให้โอเบดเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี และถ่ายทอดสิ่งดีต่อไปยังลูกหลานทั้ง เจสซี และ ดาวิด ผู้ซึ่งสร้างผลกระทบต่อผู้คนในวงกว้าง

แม้แต่เราที่มายืนจุดนี้ได้ อาจเป็นเพราะชีวิตของใครบางคนในครอบครัวทางกายภาพ หรือครอบครัวฝ่ายวิญญาณที่กระทบชิ่งมาถึงชีวิตเรา

โอเคแม้ว่าเราไม่มีทางการันตีได้ว่า รุ่นพ่อรักพระเจ้าแล้วรุ่นลูกรุ่นหลานจะรักพระเจ้าตามด้วย แต่คนรุ่นหลังก็พอจะเป็นภาพสะท้อนของคนรุ่นก่อนหน้าได้ ฉะนั้นสิ่งที่เราควรทำ คือร่วมกันหว่านต้นทุนที่ถูกต้อง เพื่อทั้งคนรุ่นเราและคนรุ่นต่อไปมีทุ่งนาได้เกี่ยวเก็บ เหมือนที่รูธได้รับจากชีวิตนาโอมี โบอาสได้รับจากชีวิตรูธ ผู้คนในเมืองได้รับจากชีวิตรูธและโบอาส

สะท้อนคิด

แม้คุณอาจเป็นคริสเตียนคนเดียวในครอบครัวตอนนี้ แต่ชีวิตที่เติบโตในพระคริสต์ของคุณ จะมีส่วนเสริมสร้างครอบครัวให้แข็งแรงขึ้นได้

หากคุณอยู่ในครอบครัวที่ส่วนใหญ่เป็นคริสเตียน แต่เป็นครอบครัวยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก จงเริ่มที่ตัวคุณ ยอมให้พระเจ้าเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิต เพื่อจะเป็นแสงแรกที่ส่องสว่างถึงคู่ชีวิต ถึงพ่อแม่ ถึงลูก

ถ้าคุณอยู่ในครอบครัวคริสเตียนที่ค่อนข้างลงตัว คุณมีต้นทุนที่ดีที่พระเจ้าใส่ไว้ ควรมองให้ไกลไม่หยุดอยู่ที่รุ่นถัดไป แต่มองไปถึงรุ่นที่ 3 เตรียมรากฐานที่สร้างความยั่งยืนในความเชื่อให้ลูกหลานและสังคม

และเราทุกคนซึ่งอยู่ร่วมกันในคริสตจักรหรือครอบครัวฝ่ายวิญญาณ คุณมองเห็นตัวเองได้ขัดเกลา สร้างผลกระทบ หรือส่งอิทธิพลต่อพี่น้องในชุมชนอย่างไรบ้าง?

อ้างอิง

 

บทความ:  JK
ภาพ:  Cristian Newman on Unsplash
ออกแบบ:  Nan Tharinee

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง