บทความ

ทำไมซาโลมอนจึงบอกว่า “มนุษย์ไม่มีอะไรดีกว่าสัตว์เดียรัจฉาน”

ชื่อบทความนี้มาจาก พระธรรมปัญญาจารย์ 3:18-19 ที่ว่า

“ข้าพเจ้ารำพึงในใจของข้าพเจ้าเกี่ยวกับบรรดาบุตรของมนุษย์ว่า พระเจ้าทรงทดสอบเขาเพื่อจะสำแดงว่าเขาเป็นเพียงสัตว์ เพราะว่าเคราะห์ของบรรดามนุษยชาติกับเคราะห์ของสัตว์เดียรัจฉานนั้นเหมือนกัน ฝ่ายหนึ่งตาย อีกฝ่ายหนึ่งก็ตายเหมือนกัน ทั้งสองมีลมหายใจอย่างเดียวกัน และมนุษย์ไม่มีอะไรดีกว่าสัตว์เดียรัจฉาน เพราะสารพัดก็อนิจจัง”

คำว่า “เขาเป็นเพียงสัตว์” ในข้อ 18 และ “มนุษย์ไม่มีอะไรดีกว่าสัตว์เดียรัจฉาน” (ข้อ 19) คงช็อกความรู้สึกของเราพอสมควร เพราะพระธรรมปฐมกาลบอกว่า เราถูกสร้างพระฉายาของพระเจ้า (ปฐก.1:27) แล้วทำไมซาโลมอนจึงบอกว่ามนุษย์เป็นเพียงสัตว์?

บริบทของพระคัมภีร์ตอนนี้ จะเป็นตัวช่วยให้เราเข้าใจว่า ซาโลมอนกำลังหมายถึงอะไรเมื่อท่านเขียนเช่นนี้

ประการแรก : มนุษย์และสัตว์เดียรัจฉานเหมือนกันในเรื่องความอยุติธรรมและความอธรรม

ข้อสังเกตของซาโลมอนก็คือในท่ามกลางมนุษย์นั้นมีความอยุติธรรมและความอธรรมปะปนอยู่ด้วย “ยิ่งกว่านั้นอีก ที่ภายใต้ดวงอาทิตย์ข้าพเจ้าเห็นว่า ในที่ของความยุติธรรมมีความอธรรมอยู่ด้วย และในที่ของความชอบธรรมมีความอธรรมอยู่ด้วย” (ข้อ 16)

ทั้งๆ ที่มนุษย์ถูกสร้างตามพระฉายาหรือพระลักษณะของพระเจ้า ซึ่งทั้งความยุติธรรมและความชอบธรรมอันเป็นพระลักษณะของพระเจ้า ย่อมถูกบรรจุไว้ในมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง ก็หมายความว่ามนุษย์มีศักยภาพที่จะดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมและยุติธรรมอยู่ในตัวแล้ว

ขณะที่สัตวเดียรัจฉานไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้เลย แต่กลับกลายเป็นว่าในสังคมมนุษย์ก็ยังมีความอยุติธรรมและความอธรรม ไม่ต่างไปจากสังคมของสัตว์เดียรัจฉานเลย นี่คือความไม่ต่างกันที่ซาโลมอนกำลังพูดถึง

ประการที่สอง : มนุษย์และสัตว์เดียรัจฉานเหมือนกันในเรื่องความตาย

ข้อสังเกตของซาโลมอนคือ “เพราะว่าเคราะห์ของบรรดามนุษยชาติกับเคราะห์ของสัตว์เดียรัจฉานนั้นเหมือนกัน ฝ่ายหนึ่งตาย อีกฝ่ายหนึ่งก็ตายเหมือนกัน ทั้งสองมีลมหายใจอย่างเดียวกัน” (ข้อ 17)

คำว่า “เคราะห์” ในข้อนี้ควรจะแปลว่า “บั้นปลาย” ทั้งของมนุษย์และสัตว์ก็เหมือนกัน คือ ทั้งสองต่างก็ต้องตาย ในระหว่างที่มนุษย์และสัตว์มีชีวิตอยู่ สิ่งที่ทั้งสองเหมือนกันคือต่างก็มีลมหายใจ เมื่อตายต่างก็หมดลมหายใจเช่นเดียวกัน

ประการที่สาม : มนุษย์และสัตว์เดียรัจฉานเหมือนกันในเรื่องการกลับไปเป็นผงคลีดิน

ข้อสังเกตของซาโลมอนคือ “ทุกอย่างไปยังที่เดียวกัน ทุกอย่างเป็นมาจากผงคลีดิน และทุกอย่างกลับเป็นผงคลีดินอีก” (ข้อ 20) เพราะร่างกายของทั้งมนุษย์และสัตว์ถูกสร้างมาจากดิน ดังนั้นเมื่อความตายมาถึง ร่างกายจึงกลับไปเป็นผลคลีดินดังเดิม

คำสำคัญที่จะมองข้ามไม่ได้เลยเมื่อศึกษาพระธรรมปัญญาจารย์คือ คำว่า “อนิจจัง” ซึ่งมาจากคำภาษาฮีบรูว่า הֶבֶל (เฮเบล) มีความหมายว่า “ว่างเปล่า” หรือ “เปล่าประโยชน์” หรือ “ไร้ประโยชน์ หรือ “ไร้ความหมาย” (ส่วนคำว่า “อนิจจัง” เป็นคำทางพุทธศาสนา มีความหมายว่า ไม่จีรังยั่งยืน ซึ่งเป็นคนละความหมายกับคำว่า “เฮเบล”)

ในพระคัมภีร์ตอนนี้ซาโลมอนกำลังบอกว่า ถ้าชีวิตของคนเราเป็นเหมือนที่กล่าวมาข้างต้น คือ ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดียรัจฉาน ชีวิตก็เปล่าประโยชน์ ว่างเปล่า และไร้ความหมาย ซาโลมอนไม่ได้พยายามทำให้เรายอมรับว่ามนุษย์ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดียรัจฉาน แต่ท่านกำลังพยายามสื่อถึงความแตกต่างที่สำคัญของมนุษย์กับสัตว์เดียรัจฉาน นั่นคือ ปลายทางของวิญญาณ

สัตว์มีวิญญาณหรือไม่? ถ้ามี มันเหมือนกับวิญญาณมนุษย์หรือไม่?

“ใครรู้ว่าจิตวิญญาณของมนุษย์ไปสู่เบื้องบนหรือเปล่า และวิญญาณของสัตว์เดียรัจฉานลงไปสู่พิภพโลกหรือเปล่า” (ข้อ 21)

ประเด็นนี้ทำให้เกิดคำถามว่า สัตว์มีวิญญาณหรือไม่? ถ้าใช่ วิญญาณของสัตว์และวิญญาณของมนุษย์เหมือนกันหรือไม่?

เพื่อตอบคำถามนี้ เราต้องไปดูรากศัพท์ของคำนี้ในพระคัมภีร์ คือ คำว่า רוַּח (รัวค์) ซึ่งหมายถึง “ลม ลมหายใจ วิญญาณ”

ในข้อ 19 บอกว่ามนุษย์และสัตว์มีลมหายใจ (รัวค์) เหมือนกัน
ในข้อ 21 บอกว่าวิญญาณของสัตว์ (รัวค์) ลงไปสู่พิภพโลก ส่วนวิญญาณของมนุษย์ (รัวค์) ไปสู่เบื้องบน

ดังนั้น “รัวค์” ที่เป็นลมหายใจทั้งของมนุษย์และสัตว์เหมือนกัน แต่ถ้า “รัวค์” ที่หมายถึงวิญญาณ มนุษย์และสัตว์ไม่เหมือนกัน เพราะวิญญาณของสัตว์ลงไปสู่พิภพโลก แต่วิญญาณของมนุษย์ไปสู่เบื้องบน คือ กลับไปหาพระเจ้าเพราะวิญญาณมาจากพระเจ้า “และจิตวิญญาณกลับไปสู่พระเจ้าผู้ประทานให้มานั้น” (ปญจ.12:7)

ในเบื้องต้นจึงได้คำตอบว่า วิญญาณของมนุษย์และวิญญาณของสัตว์เป็นคนละอย่างกัน วิญญาณของมนุษย์คือลมหายใจของพระเจ้า (ปฐก.2:7) มาจากพระเจ้า (ปญจ.12:7) พระองค์ทรงบรรจุวิญญาณไว้ในมนุษย์เพื่อเขาจะมี “ชีวิต” (มีชีวิตตามพระลักษณะของพระเจ้า) ไม่ใช่แค่สิ่งมีชีวิตที่หายใจ ส่วนวิญญาณของสัตว์นั้นเป็นสภาวะนามธรรมในร่างของสัตว์เพื่อมันจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่หายใจ

นี่คือความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์ นักวิชาการได้แยกความต่างนี้โดยใช้คำ 2 คำ คือ
soul (แม้จะแปลว่าวิญญาณ แต่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรู้สึก ความต้องการ) และ
spirit (หมายถึงวิญญาณที่มาจากพระเจ้า)

วิญญาณของสัตว์เป็น soul ซึ่งจะยุติลงพร้อมๆ กับการตายของสัตว์ตัวนั้น คำว่า “ลงไปสู่พิภพโลก” ไม่ได้หมายถึงตกนรก แต่หมายถึงการสูญสิ้นไปพร้อมๆ กับที่ร่างของสัตว์ที่กลับสู่ความเป็นดินและอยู่บนแผ่นดินโลก

ส่วนวิญญาณ หรือ spirit ของมนุษย์ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อคนๆ นั้นตายแล้ว (หยุดการหายใจ) วิญญาณของเขาจะไปคืนสู่พระเจ้า เพราะวิญญาณมาจากพระเจ้า


ในข้อ 22 ซาโลมอนจึงสนับสนุนให้ทุกคนมีชีวิตและดำเนินชีวิตด้วยความเปรมปรีดิ์ “เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเห็นว่า ไม่มีอะไรดีไปกว่าที่มนุษย์จะเปรมปรีดิ์ในการงานของตน เพราะว่านั่นเป็นรางวัลของเขา” ซึ่งเป็นไปไม่ได้หากปราศจากพระเจ้า เพราะซาโลมอนได้ทดลองมาแล้วทุกอย่าง และพบว่า “ว่างเปล่า” หรือ “เปล่าประโยชน์” หรือ “ไร้ประโยชน์ หรือ “ไร้ความหมาย” ในตอนท้ายของหนังสือเล่มนี้ซาโลมอนจึงย้ำว่า “จงยำเกรงพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์” (ปญจ.12:13)


บทความ:  ศจ. ดร. สมใจ รักษาศรี (D. Min., D.C.Ed.)

                  ศิษยาภิบาลคริสตจักรแห่งความเชื่อแบ๊บติสต์
                  ผู้อำนวยการสถาบันพระคริสตธรรมศึกษาออนไลน์เฟธ
                  ผู้อำนวยการสถาบันครอบครัวไทย
ภาพ:  Charles Deluvio on Unsplash
ออกแบบ: Nan Tharinee

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง