เมื่อพูดถึงเรื่อง “ฉาวโฉ่” หรือ “อื้อฉาว” ที่ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Scandal” หลายคนคงจะไม่อยากมีเหตุการณ์นี้กับตัวเองขึ้นสักครั้งในชีวิต เพราะคำนี้หมายถึงเรื่องไม่ค่อยจะดีที่ผู้คนมักจะทำอย่างลับๆ แต่พอมันไม่ลับก็ “ฉาว” กลิ่นคาวๆ ของมาให้ผู้คนได้ชมเชย (?) กล่าวถึงกันไปทั้งบาง จนทำเอาคนที่เป็น “ต้นเหตุ” ของข่าวฉาวนั้นแทบจะไม่อยากก้าวออกจากรังของตัวเองทีเดียว ไม่เชื่อลองค้นหนังที่มีคำว่า “Scandal” ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเรื่องผิดผี ผิดคน ผิดจริยธรรมต่างๆ นานา
จนวันหนึ่งผมได้ยินบทเพลงที่มีชื่อว่า “Scandal of Grace” ของวง Hillsong UNITED แปลเป็นไทยง่ายๆ ว่า “เรื่องอื้อฉาวแห่งพระคุณ” ผมเลยแบบ เจ้ยย เดี๋ยวนะ!!! พระคุณมันจะกลายเป็น “เรื่องอื้อฉาวได้ยังไง”ขณะที่ยังงงๆ ก่งก๊ง ก็อ่านเนื้อเพลงไปจนพบความหมายของมัน
“เรื่องอื้อฉาวแห่งพระคุณ” นั้นคือเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ที่ยอมตายบนกางเขนเพื่อเรา ยอมรับคำกล่าวโทษ กล่าวหา ยอมรับความอับอาย ทนทุกข์ ยอมเป็นคนที่ “อื้อฉาว” และโดนว่ากล่าวสาปแช่งประณามจากประชาชนมากมาย ทั้งที่พระองค์ไม่มีความผิด ว่ากันตามตรงคือ มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย!
แต่ทั้งนี้ก็เพื่อให้เราทุกคนได้รับการชำระจากความผิดความบาป พระองค์ตายแทนที่เรา ยอม “อื้อฉาว” เพื่อให้เราได้มีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง
หลังจากน้ำตานองหน้าหลังจากรู้ความหมายและฟังและร้องไปด้วยไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ก็ทำให้ผมได้มาระลึกถึงเหตุการณ์หนึ่งในพระคัมภีร์ ที่เป็นเรื่อง “ฉาว” ของพระเยซูเช่นกัน และก็ได้เปลี่ยนชีวิตคนๆ หนึ่งไปตลอดกาล
เรื่อง “ฉาวๆ” นี้อยู่ใน ลูกา 19:1-10
ชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ “ศักเคียส” มีอาชีพเป็นคนเก็บภาษีคนยิวส่งโรมัน โกงภาษีชาวบ้านจนตัวเองร่ำรวย ทำให้คนทั้งเมืองไม่มีใครเอา โดนเพื่อนบ้านเกลียดขี้หน้า ตราหน้าว่าเป็นคนทรยศชาติ ขูดรีดกดขี่ โกงคนชาติเดียวกันเองไปเลียขาพวกโรมัน นอกจากนั้นตัวก็ยังเตี้ย มีปมด้อย ชีวิตมีแต่ “เรื่องอื้อฉาว” ทั้งนั้น
แต่เมื่อเขาได้ยินเรื่องของพระเยซู รู้ว่าพระองค์จะมา เขาอยากจะเห็น อยากจะพบ อยากรู้ว่าพระองค์เป็นใคร แต่ด้วยความเตี้ยท่ามกลางฝูงชนแน่นขนัด ทำให้ถูกบดบัง เขามองไม่เห็น เขาจึงไปปีนขึ้นต้นไม้ เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะเห็นได้ชัด
ด้วยสิ่งที่เขาเคยทำ สังคมนั้นก็ไม่ใส่ใจเขา ไม่มีที่ให้เขายืน ไม่มีใครให้โอกาสเขา
แต่เมื่อพระเยซูมาถึง ท่ามกลางฝูงชนที่โอบล้อมเนืองแน่นจนเต็มถนน ไม่มีที่ให้แม้แต่จะแทรกตัว
พระเยซูกลับเรียกเขาให้ลงมาจากต้นไม้ แล้วบอกว่า “เฮ้ ศักเคียส ลงมาเถอะ เดี๋ยวผมขอไปกินข้าวที่บ้านคุณได้ไหม อ่อ ผมขอค้างคืนด้วยเลยนะ”
เป็นคำพูดที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมากถึง…
ด้านศักเคียสนั้น แม้จะอึ้ง ทึ่ง ตะลึงตึงตึงตึงตึง แต่ก็รีบตอบตกลง กระโจนลงจากต้นไม้ เตรียมไปจัดแจงหุงหาอาหารทำกับข้าว ตระเตรียมที่นอนให้เรียบร้อยด้วยความยินดี
ส่วนฝูงชนน่ะเหรอ คำพูดของพระเยซูทำให้คนทั้งเมืองน่าจะอ้าปากค้างจนกรามตกไปถึงตาตุ่มได้
เยซู อาจารย์ชื่อดัง นักเทศน์หน้าใหม่ที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน สอนเรื่องราวที่ทำให้บรรดาธรรมาจารย์ ผู้นำทางศาสนาหน้าชาไปนักต่อนัก ชื่อเสียงดังไปแปดแคว้นสิบแคว้น มีชีวิตที่น่าเลื่อมใสศรัทธา มีสิทธิอำนาจที่คนเคารพยกย่อง ผู้เผยพระวจนะที่บริสุทธิ์ พระเมสสิยาห์ที่คนเฝ้ารอหา กลับไปขอกินข้าวที่บ้านของคนบาป คนเลว คนชั่ว ในสายตาของชาวบ้าน!!!! คนที่เขามองกันว่าเป็นมลทิน ไม่ควรจะไปสุงสิงแตะต้องยุ่งเกี่ยว เพราะเดี๋ยวจะเป็นมลทินตาม (คนยิวเป็นกังวลเรื่องการเป็นมลทินมากถึงมากที่สุด)
กลายเป็นว่าพระเยซูสร้างเรื่อง “ฉาวโฉ่” ให้กับตัวเองแบบสุดๆ ทำให้ประชาชนต่างพากันตั้งคำถาม สงสัย บางคนถึงกับกล่าวหา กล่าวโทษ เหยียดหยาม ทำไมไอดอลของเขาทำอะไรแหกกฎและไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งแบบนี้ ศรีทนไม่ได้ !!!
เรื่องแบบนี้ทำให้พระเยซูนั้นสูญเสียความนิยมไปได้ง่ายมาก จากการละเลยบทบัญญัติและค่านิยมของสังคม และจะต้องเป็นที่ติฉิน นินนา ว่าร้ายต่างๆ นานา
แล้วใครเลยจะรู้? ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังนั้นทำให้เงิบยิ่งกว่า
ชายนิสัยไม่ดี ที่ไม่มีใครเอา กลับลุกขึ้นมาประกาศก้อง “ผมขอยกเงินทองของทุกอย่าง ครึ่งหนึ่งในชีวิตของผมให้กับคนยากจน แล้วสิ่งที่ผมโกงคนอื่นเขามาผมจะชดใช้คืนให้ทุกคนสี่เท่า !!!!”
…เงิบไปทั้งบางสิคราวนี้….
พระเยซูไม่ได้พูดสักคำว่า “เฮ้ ศักเคียส นายจะต้องกลับใจนะ นายจะต้องคืนเงินเขาไปนะ” และพระเยซูเองก็ไม่ได้ทรงกดดัน หรือขู่เข็ญอะไรเขาด้วยซ้ำ
แต่สิ่งที่พระองค์ทรงทำคือการ “หยิบยื่นความรัก” ให้กับเขา ทรงเสนอความเป็นเพื่อนกับเขา ในยามที่ทุกคนรังเกียจ พระองค์ให้โอกาส ในยามที่ทุกคนปิดประตูใส่หน้าเขา ทรงเป็นแสงสว่างที่ส่องไปในใจของเค้า ท่ามกลางความมืดมิดของคนรอบข้าง ยอมเป็นคน “อื้อฉาว” เพื่อคนเดียวที่ทุกคนเห็นว่าไร้คุณค่า
แต่ความ “อื้อฉาว” ของพระเยซู กลับทำให้เกิด “การเปลี่ยนแปลง” ของชีวิตทั้งชีวิตกับศักเคียส
การที่เขากลับใจ และเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคน ไม่ใช่เพราะว่าสังคมที่บีบบังคับ ไม่ใช่เพราะความกลัวจากกฎเกณฑ์ใด แต่เปลี่ยนแปลงด้วยความรัก ความเป็นเพื่อนที่พระเยซูมอบให้
ความอื้อฉาวของพระเยซูไม่เพียงทำให้ศักเคียสได้เปิดประตูต้อนรับให้เข้าไปพักในบ้านเท่านั้น แต่ทรงทำให้ประตูใจที่ปิดตายของเขาเปิดออกเช่นเดียวกัน ทรงเข้าไปประทับท่ามกลางใจเขา อดีตที่ปวดร้าวไม่สามารถทับถมเขาได้อีกต่อไป ทำให้เขากลับมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขาที่ส่องสว่างพระฉายาของพระเจ้าอย่างงดงาม
การเข้าหาและพูดคุยอย่างเหมาะสมถูกต้องด้วยความรักเพียงแค่ครั้งเดียวของพระองค์ กลับเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนๆ หนึ่งให้ดีขึ้นไปตลอดกาล
ค่านิยมของโลกนี้มักหล่อหลอมให้เรา “เลือกคบคน” กฎของแรงดึงดูดเอย เรื่องความคิดบวกเอย สอนให้เราปฏิเสธคนความคิดลบๆ ชีวิตลบๆ อย่าไปยุ่ง อย่าไปสุงสิง แล้วชีวิตของคุณจะมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามา มีความสุขสงบราวจิบชาบนยอดดอย
แต่พระเยซูสอนเราให้ทำตรงกันข้าม…
อาจารย์เปาโลสอนเกี่ยวกับความรักใน 1 โครินธ์ 13 ได้น่าสนใจมากว่า “จงเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ”
นั่นหมายความว่า แม้จะเป็นบุคคลที่ดูเลวร้ายที่สุดในโลก แต่เขาก็ย่อมมีส่วนดีอยู่ในตัวเขา แต่เราจะเลือกเป็นความมืดที่คอยกลืนกินความหวัง เหมือนกับคนอื่นที่มองเห็นแต่พื้นที่สีดำในตัวเขา หรือเลือกจะมองพื้นที่สีขาว และฉายแสง มอบความรัก ให้เขาฟื้นคืนชีวิตที่ควรจะเป็น กลับสู่การเป็นพระฉายาของพระเจ้า
และไม่ใช่แค่การมองเห็น เพราะถึงแม้ว่าเราจะยังมองไม่เห็นส่วนดีของเขา แต่ความเชื่อคือ
“ความมั่นใจในสิ่งที่หวังไว้ เป็นความแน่ใจในสิ่งที่มองไม่เห็น”
“เชื่อ” แม้เรายังมองไม่เห็น
เชื่อ แม้ว่าเราไม่รู้สึก
เชื่อ ว่าในลึกๆ แล้วทุกคนดีขึ้นได้
เชือ ว่าในความมืดมิด แสงสว่างจะส่องไปถึง
ถ้าเขาไม่มีเพื่อน เราจะเป็นคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนเขาได้ไหม
ถ้าเขาไม่มีใคร เราจะเป็นคนหนึ่งที่อยู่เคียงข้างเขาได้ไหม
ถ้าเขาขาดความรัก เราจะเป็นคนหนึ่งที่มอบความรักให้เขาได้ไหม
ถ้าไม่มีใครให้อภัยเขา เราจะเป็นคนหนึ่งที่ให้อภัยเขาได้ไหม
พร้อมไหมที่จะเริ่มมอบความรักกับคนอื่นทุกวัน โดยเฉพาะกับคนที่ถูกมองข้ามไป
แม้เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่การกระทำเล็กๆ ที่ถูกที่ถูกเวลา อาจทำให้คนบางคนเปลี่ยนไปตลอดกาล
เราพร้อมที่จะ “อื้อฉาว” เพื่อพระเจ้ากันไหม???
บทความ: Ik Q Rerksin Khemasoonthorn
ภาพ: Thomas Charters on Unsplash
ออกแบบภาพ: Panchanok
Tomne Jinkrawee