ก่อนอื่นผมขอเป็นตัวแทนของแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่อยู่ในห้องนี้และผู้ที่รับชมการถ่ายทอดออนไลน์ทั่วโลก แสดงความเสียใจกับครอบครัวของคุณแตงโมทั้งทางฝ่ายคุณแม่ และทางฝ่ายคุณพ่อ
เมื่อตอนเที่ยงผมได้รับเชิญจากคุณหนุ่มกรรชัย ให้ไปออก “รายการโหนกระแส” เพื่อจะตอบคำถามว่า ผมคิดอย่างไรกับการจะส่งน้องแตงโมหรือพี่แตงโมของหลายๆ คน ให้ไปเป็นนางฟ้ากลับสู่สวรรค์ ผมขอบอกความจริงให้ทราบว่า ตามความเชื่อของคริสเตียน นางฟ้า หรือเทวดานั้น พอจะเทียบเคียงได้กับฑูตสวรรค์ที่มีหน้าที่รับใช้พระเป็นเจ้าบนสวรรค์ (โดยไม่มีรายละเอียดในเรื่องเพศ) แต่ตามความเป็นจริงแล้วเราไม่ได้ส่งคุณแตงโมไปเป็นนางฟ้า เพราะว่านั่นยังไม่พอ
พระวจนะของพระเจ้าบอกว่าผู้ใดที่มาหาพระเจ้า ด้วยความเชื่อศรัทธา เขาก็จะได้รับความเมตตาและได้รับการไถ่ให้รอดพ้นจากการลงโทษ เพราะบาป ด้วยโลหิตขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าและผู้นั้นจะได้รับฐานะใหม่ นั่นคือ ถ้าเป็นผู้หญิง ก็จะได้เป็นดุจเทพธิดา ถ้าเป็นผู้ชายก็จะได้เป็นดุจเทพบุตร หรือพูดเป็นภาษาตามพระคัมภีร์ได้ว่า บุคคลนั้นจะได้กลายได้เป็นบุตรของพระเจ้า ดังนั้น วันนี้เราไม่ได้มาส่งคุณแตงโมให้ไปเป็นแค่นางฟ้า แต่เธอนั้นสูงส่งมากยิ่งกว่านั้นอีก นั่นคือเธอกลายเป็นธิดาของพระเจ้าแล้ว ด้วยเหตุนี้เองเราจึงมาด้วยความยินดี ไม่ใช่มาส่งคุณแตงโม ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่ต้องส่ง เพราะเธอได้ไปสวรรค์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ว่าเรามาส่งความระลึกถึง เธอผู้ที่อยู่ในฐานะซึ่งสูงกว่านางฟ้า ผมจึงขอขอบคุณทุกๆ ท่านทั้งที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังที่มาร่วมรำลึกถึงคุณแตงโมด้วยความอาลัย ในการจัดงานในครั้งนี้
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงนิพนธ์ไว้ว่า
“เห็นกันอยู่เมื่อเช้า สายตาย
สายอยู่สุขสบาย บ่ายม้วย
บ่ายรื่นชื่นรวยราย เย็นดับ ชีพแฮ
เย็นเล่นกับลูกด้วย ค่ำม้วย อาสัญ”
พระราชนิพนธ์บทนี้พูดถึงความไม่แน่นอนของชีวิต เพราะเห็นกันอยู่เมื่อเช้า ตอนสายก็จากกันไปเสียแล้ว อยู่กันสุขสบายดีในตอนสาย แต่พอถึงตอนบ่ายก็จากไปเรียบร้อยเช่นกัน หรือว่าตอนบ่ายอยู่กับดีๆ พอถึงตอนเย็นก็ดับชีพ บางรายนั้น ตอนเย็นยังเล่นกับลูก ๆ แต่ตอนกลางคืนก็จากไป
คุณแตงโมคงจะเข้าข่ายใดข่ายหนึ่งในนี้ เพราะตอนเย็นอาจเล่นกับลูกอีสเตอร์ แต่ในตอนค่ำคืนวันนั้นเธอก็จากไป ช่างน่าเสียใจที่ไม่มีใครรู้ว่า วันคืนของชีวิตของเราจะเป็นเช่นไร
คุณแตงโมเคยบอกผมว่า “วันที่เราจากไปอาจจะมีคนรักเรามากขึ้นอย่างเหลือเชื่อ” และก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ดังเช่น ในวันนี้ จริง ๆ แล้ว แท้จริงแล้ว ผมต้องอยู่ในการซ้อมพิธีแต่งงาน เพราะว่าในวันพรุ่งนี้ผมจะต้องประกอบพิธีแต่งงานให้กับคู่บ่าวสาวคู่หนึ่ง แต่ก็เหลือเชื่อที่คู่บ่าวสาวดังกล่าว ได้โทรมาหาและบอกผมว่า ขอให้อาจารย์ไปกล่าวในพิธีอาลัยคุณแตงโมจะดีกว่า ส่วนพิธีแต่งงานนี้จะขอให้อาจารย์ท่านอื่นทำพิธีแต่งงานให้กับพวกเขาแทนผม โดยขอให้ผมไปในพิธีไว้อาลัยเพื่อส่งความรักให้คุณแตงโม และครอบครัวแทน เพราะเห็นว่าสำคัญยิ่งกว่า
พี่น้องครับ มีคนรักคุณแตงโมมากจริงๆ
อันที่จริง คุณแตงโมไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบ และไม่มีใครสมบูรณ์แบบเลย ไม่ว่าจะในห้องนี้หรือในที่
ไหน ๆ ในโลก รวมทั้งที่คริสตจักรที่คุณแตงโมไปร่วมประชุมนมัสการด้วยวก็ไม่ใช่คริสตจักรที่สมบูรณ์แบบเลย
อันที่จริงคริสตจักรนั้นก็เปรียบเสมือนโรงพยาบาล คนป่วยคือคนที่ไปโรงพยาบาล แต่คนปกติเขาไม่ไปโรงพยาบาลกัน นอกจากความจำเป็นหรือมีหน้าที่ที่ต้องทำ
คนไปโรงพยาบาลก็หวังจะพบหมอเพื่อได้รับการรักษาให้หายหรืออย่างน้อยก็ทำให้ดีขึ้น คริสตจักรจึงประกอบไปด้วยคนที่มีอาการของโรคแปลกๆ หลายๆ อย่าง แต่ทุกคนก็มีความหวังว่าเขาจะดีขึ้นและจะหาย
คุณแตงโมก็เป็นคนหนึ่งที่เข้ามาคริสตจักรที่เหมือนกับโรงพยาบาล กล่าวได้ว่า คริสตจักรไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ของนักบุญ แต่เป็นดุจโรงพยาบาลของคนบาป คริสตจักรเป็นที่ ๆ ให้กำลังใจและความหวังแก่ทุกคนว่า แม้แต่นักโทษ ฆาตกร หรือคนชั่ว ทุกคนเหล่านี้ล้วนมีอนาคต เช่นเดียวกับที่ทุกคนที่เป็นคนดีในวันนี้หลาย ๆ คนก็อาจมีอดีตเช่นเดียวกัน ทุกคนที่เข้ามาในคริสตจักร ทุกคนจะได้รับความรักจากพระเจ้า โดยถ้วนหน้า คริสตจักรที่คุณแตงโมอยู่ก็เช่นกันคือ ไม่ใช่คริสตจักรที่มีแต่คนสมบูรณ์แบบอยู่ เพราะบางคนไม่มีอะไรกินเลยเมื่อเข้ามาในคริสตจักร บางคนป่วย บางคนเป็นลูกจ้างหากินวันต่อวัน บางคนเป็นเจ้าของกิจการ บางคนเป็นศิลปิน บางคนเป็นดารา และบางคนเป็นเศรษฐี มีคละเคล้ากันหมด นี่คือคริสตจักรที่คุณแตงโมไป ด้วยเหตุนี้คริสตจักรจึงมีช่องทางและช่องว่างเสมอที่จะมีส่วนร่วมในชีวิตของคนบางคน
บางคนถามว่าทำไมพระเจ้าไม่สร้างให้ทุกคนเท่าเทียมกันหมดเลย คงต้องถามกลับไปว่าทำไมนิ้วมือของคนเราไม่เท่ากันเลยสักนิ้วเดียว หรือทำไมทั้งห้านิ้วไม่เท่ากันหมด?
คำถามเช่นนั้นอาจบ่งบอกว่าเราคงเข้าใจคำว่าความเท่ากันไม่ถูกต้อง เราต้องการการเสริมกันอย่างเหมาะสมมากกว่าความเท่ากัน เพราะถ้านิ้วยาวเท่ากันทั้งห้านิ้วก็คงทำให้เราทำอะไรไม่ได้เลย บางทีการมีคนจนกว่าเราก็คือโอกาสที่ทำให้เรามีคุณค่าในการที่จะช่วยคนเหล่านั้นให้ดีขึ้น หรือการมีคนที่รวยกว่าเราปรากฎอยู่ก็อาจเป็นแรงบันดาลใจให้เราขยันมากขึ้น แล้วคุณแตงโมเป็นคนหนึ่งในท่ามกลางคนเหล่านั้น เธออาจเจอคนที่เหนือกว่าเธอหรือด้อยกว่าเธอในคริสตจักร แต่เธอเป็นคนที่แสดงน้ำใจเสมอมา แน่นอนครับว่าคุณแตงโมที่เรามาส่งเธอในวันนี้ไปอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้าแล้ว เธอไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบและในคริสตจักรที่ผมอยู่นั้นก็มีคนทุกชนิด ยกเว้นประเภทเดียวที่ไม่มี นั่นก็คือ คนสมบูรณ์แบบ!
เราทั้งหลายในคริสตจักรจึงล้วนเป็นพี่น้องที่มาใช้ชีวิตร่วมกัน เราทุกคนล้วนต่างมีอดีตแต่เราทุกคนก็มีอนาคตด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เอง ถ้าเราอยากรู้เรื่องชีวิตให้ดีขึ้น เราจึงควรหาโอกาสจะไปยัง 4 สถานที่ต่อไปนี้ เพื่อเราจะรู้จักชีวิตของเราได้ดีมากยิ่งขึ้น
โรงพยาบาล
การไปโรงพยาบาลทำให้เราได้พบสัจธรรมข้อหนึ่งนั่นคือ ไม่มีอะไรโชคดีไปกว่าการมีสุขภาพที่ดี การได้ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเราจะพบเลยว่า การเราไม่ป่วยไข้หรือเป็นอะไรเลยนั่นคือโชคดีของชีวิตเลยนะ ผมมีตัวอย่างคนที่เป็นเศรษฐี แต่ทุกวันนี้กินอะไรไม่ได้ หมอห้ามกินหมดเลย หลายคนเป็นคนรวย แต่นี่ก็กินไม่ได้ นั่นก็กินไม่ได้ ดังนั้นที่โรงพยาบาลจะสอนบทเรียนชีวิตแก่เราว่าไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการมีสุขภาพที่ดี
คุกหรือเรือนจำ
การไปที่คุกหรือเรือนจำจะทำให้เราพบสัจธรรมอีกข้อหนึ่งคือว่า ชีวิตนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการมีอิสรภาพและเสรีภาพ เพราะสิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่งดงามมากสำหรับการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
สุสาน
การไปสุสานจะสอนสัจธรรมข้อหนึ่งว่า ไม่ว่าจะรวยหรือจน ไม่ว่าจะเก่งขนาดไหนล้วนไม่มีใครหลีกเลี่ยงความตายได้แม้แต่คนเดียว ที่สุสานจะสอนเราว่าการรู้จักมีความสุขตามอัตภาพ ทั้งเป็นส่วนตัวและกับคนที่เรารักและการที่ยังมีลมหายใจ และสามารถเดินไปเดินมาได้อยู่นั้น นั่นเป็นสิ่งที่ดีเลิศของชีวิตแล้ว
คริสตจักร หรือโบสถ์
การไปโบสถ์หรือคริสตจักรจะทำให้เราจะได้พบสัจธรรมข้อหนึ่งว่า ความรักแท้มีอยู่จริง พระเจ้าทรงรักและได้ประทานความรอดพ้นให้กับมนุษย์ เพื่อช่วยทุกคนให้พบกับหนทางสู่สวรรค์ด้วยความดีของพระเจ้า ไม่ใช่ความดีของเรา
ถ้าจะให้คุณแตงโมไปสวรรค์ด้วยความดี100% คุณแตงโมคงไม่ได้ไป แต่คุณแตงโมได้ไปสวรรค์ด้วยการพึ่งความดีจากพระเจ้า 100% ข่าวดีคือพระเจ้าทรงรักคุณแตงโม และทรงรักพวกทุกคน ไม่ว่าเราเป็นคนประเภทไหน หรือมีอดีตเป็นมาอย่างไร พระเจ้าได้ทรงช่วยเราให้รอดจากบาป ผ่านการทรงไถ่บาปเหล่านั้นด้วยการยอมทนทุกข์ทรมานตายบนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ เราจึงรอดพ้นกรรมที่เราก่อโดยพระคุณของพระองค์ที่ยอมรับโทษกรรมแทนเรา ทั้งที่พระองค์ไม่ได้ก่อกรรมขึ้นและโดยเพราะความเชื่อศรัทธาของเราที่มีต่อการไถ่บาปของพระองค์
พระเยซูคริสต์เจ้าทรงยอมถูกตรึงบนไม้กางแขน ที่เรียกกันว่าไม้กางเขน เพื่อบอกกับพระเจ้าว่า ถ้าพระองค์จะลงโทษหรือคิดบัญชีกับคนคนนี้ ก็ขอให้พระองค์ทรงลงโทษข้าพเจ้าแทนหรือพูดในภาษาบัญชี ก็คือ ถ้าพระองค์จะลงโทษหนักคน ๆ นี้ ขอให้ได้โปรดมาลงบัญชีหรือคิดบัญชีของข้าพเจ้าแทน แบบที่เรียกว่า “In My Account”
ใช่ครับ มนุษย์ทุกคนต้องรับโทษตายเพราะบาปที่แต่ละคนได้ก่อขึ้นเอง การที่พระเยซูคริสต์เจ้าได้บอกกับพระเจ้าว่าข้าพเจ้าขอรับโทษแทนทุกคนบนไม้กางเขนนั้น นั่นจึงเป็นการแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่มากทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นบางคนปฏิเสธพระองค์ บางคนด่าพระองค์ และบางคนจะฆ่าพระองค์ แต่พระองค์ก็ยังทูลวิงวอนขอพระเจ้าทรงเมตตรยกโทษให้พวกเขา เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ นี่คือการยกโทษด้วยพระทัยกว้างขวางและสูงส่งขององค์พระเยซูคริสต์
พี่น้องที่รัก ความตายเป็นสิ่งสากลยิ่งกว่าการมีชีวิตอยู่ เพราะว่าทุกคนที่เกิดมาล้วนต้องตาย แต่ใช่ว่าทุกคนจะได้เกิดมาและมีชีวิตอยู่ ด้วยเหตุเองเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ เราต้องได้กระทำสิ่งสำคัญที่สมควรแก่การกระทำในชีวิตเพื่อโลกนี้ และคนที่เรารักก่อนที่เราจะตายและจากไปจะดีไหม?
พระคัมภีร์ ยอห์น ซึ่งเป็นชื่อหนังสือเล่มหนึ่งในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล บทที่ 13 ข้อ 1 กล่าวว่า “ก่อนถึงงานเทศกาลปัสกาพระเยซูทรงทราบว่าถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา พระองค์ทรงรักบรรดาคนของพระองค์ที่อยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาทั้งหลายจนถึงที่สุด”
มีบทเรียน 3 ประการจากพิธีไว้อาลัยในครั้งนี้ คือ บทเรียนที่หนึ่ง เราควรรู้ว่าเราจะต้องจากไปและมั่นใจว่าเราจะไปที่ไหน (หลังจากที่เราจากโลกนี้ไป?)
ไม่มีอะไรน่าสะเทือนใจเท่ากับประโยคที่บอกว่า “ถึงเวลาแล้วที่จะจากไป” ช่างเป็นถ้อยคำที่สะเทือนใจยิ่งนัก เมื่อพระเยซูคริสตเจ้าตรัสว่าถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะต้องจากไป เราทุกคนก็ควรรู้และตระหนักเช่นกันว่าวันหนึ่งจะถึงเวลาที่เราจะต้องจากไปเช่นกัน ปัญหามีประเด็นเดียวเท่านั้น ก็คือว่าแม้ว่าเรารู้ว่าเราจะต้องจากไป แต่เราเองไม่รู้เลยว่าเราจะจากไปเมื่อไหร่ พี่น้องครับ เราไม่รู้ว่าเราจะจากไปเมื่อไหร่ แต่พระเยซูทรงทราบว่าพระองค์จะจากไปเมื่อไร อย่างไรก็ตาม เราทั้งหลายต้องเตรียมพร้อมเสมอสำหรับการต้องจากไปไม่ว่าเราจะรู้วันเวลาหรือไม่ก็ตาม
น่าสนใจนะครับ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 เวลา 4 โมงครึ่ง โดยประมาณ คุณแตงโมไปลงเรือกับเพื่อน ๆ แล้วช่วงเวลา 4 ทุ่มกว่า เราก็ได้รับการแจ้งข่าวว่า คุณแตงโมตกเรือ และได้จากไปแล้ว ใครจะคิดนะครับ การออกจากบ้านเพื่อไปยังสถานที่ที่หนึ่งเพื่อเที่ยวสนุกสนานจะเป็นการจบชีวิตของเรา
แน่นอนครับว่าเราต่างเสียใจแม้ไม่รู้ว่าเรื่องราวที่แท้จริงเป็นยังไง เวลานี้เราจะไม่กล่าวหาผู้ใด เรามีก็แต่ความเห็นใจและรอฟังความจริงกันอยู่ เพราะว่านอกจากบางคนที่อยู่บนเรือแล้วก็ไม่มีใครรู้จริง ๆ ว่า อะไรเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น
ความจริงหนึ่งที่แน่นอนก็คือเราทุกคนที่เป็นมนุษย์นั้นมีความเท่าเทียมกันเรื่องหนึ่ง นั่นคือเราทุกคนจะได้ตาย เราจึงควรจะมั่นใจก่อนว่าเมื่อถึงเวลาที่เราจะจากโลกนี้ไปเราจะไปที่ไหน และจะเจอกับอะไรหรือจะไปพบกับใคร สิ่งที่น่ากลัวยิ่งในชีวิตก็คือว่าเมื่อเราต้องจากที่หนึ่งแล้วเดินทางไปโดยไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางนั้นอยู่ไปไหน หากสมมุติว่าผมได้รับการแจกตั๋วเครื่องบินฟรี แต่ในตั๋วไม่บอกว่าจะไปที่ไหน ผมคงไม่สบายใจที่จะรับตั๋วเครื่องบินนั้นมาอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้เองการตายสำหรับบางคนจึงนับว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากหากเป็นเช่นนั้น แต่สำหรับคนที่เมื่อจะต้องจากโลกนี้ไปแล้วรู้ชัดเจนก่อนแล้วว่าจะไปไหน นั่นจะเป็นความมั่นคงของชีวิตมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากเรารู้จักเจ้าของที่ที่เราจะไป และรู้จักปลายทางที่จะไปว่าช่างงดงามน่าอยู่ยิ่งนัก เราก็คงไม่กลัวที่จะไป ณ ที่นั้น จะมีก็แต่ความยินดีและชื่นบาน
เช่นเดียวกันกับคุณแตงโม เพราะเธอได้จองที่และได้ตั๋วที่จะไปที่ปลายทางอันสุขเกษมนั้นไว้เรียบร้อยแล้ว เธอรู้จักที่ที่เธอจะไป เธอรู้จักเจ้าของที่ที่เธอจะไปหา เธอมีทุกอย่างที่จองไว้ล่วงหน้านานแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเธอยังไม่รีบใช้บริการ แม้จะใช้เวลาไหนก็ได้ในทันที แต่ที่แน่นอนถึงเป้าหมายปลายทางที่จะไปนั้นก็คือแผ่นดินสวรรค์นั่นเอง ผมขอบคุณพระเจ้าที่คุณแตงโมมีตั๋วใบนั้นอยู่ในมือพร้อมแล้วก่อนเวลาที่ได้ใช้ตั๋วหรือสิทธิอันนั้นมาตั้งนานแล้ว แล้วนี่ก็คือสิ่งที่คุณแตงโมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนที่คุณแตงโมรักจะได้พบกับคุณแตงโมในที่แห่งเดียวกัน เพียงแต่จำเป็นต้องมีการรับตั๋วปลายทางเดียวกันนั้นให้พร้อมก่อนถึงเวลาที่แต่ละคนจะออกเดินทางตามวาระเวลาของตน และไม่ว่าจะไปช้าไปเร็ว เราก็จะได้พบกันอย่างแน่นอนที่ปลายทางเดียวกัน แม้ว่าเราจะยังไม่เจอกันในตอนนี้ แต่เราก็ไม่เศร้าโศกเสียใจ จะมีก็แต่เพียงแค่รู้สึกเสียดายที่เธอจากฉันไปเร็วกว่าที่คาดคิดไว้หน่อยนึง แต่ว่าไม่เป็นไร เหมือนเรานั่งรถไฟฟ้าแล้วไปพบกันที่สถานีต่อไปที่เรารู้อยู่ว่าที่สถานีไหน อย่างคุณแตงโมเธอก็บอกเราว่าให้ไปพบกันที่สถานีหน้าหรือ Next Station ที่บนสวรรค์
ขอพระเจ้าทรงเมตตาให้เราทั้งหลายได้ตระหนัก และมีความมั่นใจเช่นกันว่าเราจะไปที่ไหน และจะไปเจอใคร ขอพระเจ้าทรงเมตตาให้เราทุกคนได้มีสิ่งเดียวกับที่คุณแตงโมมี นั่นคือมีตั๋วที่จะไปปลายทางเดียวกัน นั่นคือที่สวรรค์ ถ้าอย่างนั้นขอย้ำอีกครั้งว่าเราควรมีตั๋วนี้อยู่ในมือโดยเร็ว คือมีตั๋วที่ยืดหยุ่นเวลาได้ แค่ขอให้แน่ใจว่าเราจะได้ไปปลายทางเดียวกัน
บทเรียนประการต่อมาก็คือว่า เราควรแสดงความรักต่อคนที่เรารัก ในขณะที่เราและเขายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้และเรายังสามารถทำอะไรให้กันได้ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ เรามีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้ในโลกนี้ แต่ประการเดียวที่เราไม่รู้คือสิทธิ์นี้จะหมดเมื่อใด? ดังนั้นจงใช้สิทธิ์ของเราในการแสดงความรักกับคนบางคนที่เขาอยากได้รับจากเราในเวลาที่เขาต้องการ
ใช่ครับ ดอกกุหลาบช่อใหญ่ที่นำมามอบไว้หน้าโลงศพของคนที่เรารักนั้นเป็นสิ่งดี แต่จะยิ่งดีกว่านั้น ถ้าเรามอบดอกกุหลาบเล็กๆ ดอกหนึ่งให้แก่เขาในยามที่เขายังมีชีวิตอยู่ ด้วยความรักจากใจจริง
แม่ชีเทเรซ่า เจ้าของรางวัลโนเบล เคยกล่าวว่า
“เราอาจจะไม่สามารถรักหรือทำสิ่งใดๆ ที่ยิ่งใหญ่ให้แก่คนที่เรารัก
แต่เราสามารถทำสิ่งเล็กๆ ด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ให้แก่เขาได้”
และบางครั้งการแสดงความรักนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ แต่ถ้ายิ่งมีเงินเยอะมากเท่าไร เราก็ยิ่งสามารถแสดงความรักที่ทรงอานุภาพให้เขาหรือเธออย่างไม่จำกัดได้มากขึ้นเท่านั้น (ถ้าใช้เป็น)
เราคงแก้ตัวไม่ได้หรอกว่าเราไม่มีเงิน เราจึงแสดงความรักต่อใครไม่ได้
ในพระคัมภีร์บอกว่า พระเยซูคริสตเจ้าทรงรักสาวกของพระองค์ และพระองค์ทรงรักพวกเขาจนถึงที่สุด ดังนั้น ขอให้เรารักกันและกันจนถึงที่สุดเช่นกัน
วันนี้ผมขอแสดงความชื่นชมยินดีต่อคุณแตงโมที่เธอมีเพื่อนฝูงหลายคนที่รักเธอจนถึงที่สุด แบบงานไม่เสร็จก็ไม่เลิก ต่อให้ติดขัดประการใดก็จะขอสู้ไปด้วยกันต่อจนกว่าจะถึงที่สุด เพื่อแสดงความรักให้กับคุณแตงโม ผมยังหวังเลยว่าถ้าหากวันที่ผมต้องจากโลกนี้ไปมาถึงจะมีคนที่จะจริงใจแสดงความรักต่อผมจนถึงที่สุดเหมือนอย่างที่คุณแตงโมได้รับในวันนี้
วันนี้ไม่ว่าคุณแตงโมเธอเสียชีวิตด้วยสาเหตุประการใดก็ตาม แต่คุณแตงโมได้รับสิ่งที่เยี่ยมที่สุดแล้ว นั่นคือความรักจากหัวใจของคนทั่วโลกที่รักคุณแตงโม แค่นี้ก็คุ้มกับการจากไปแล้วเพราะเป็นการจากไปแล้วดีกว่าปัจจุบันนี้ และเป็นการจากไปแล้วปลอดภัย และมีความสุขกับพระเจ้าเป็นนิรันดร์ การจากไปแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องโศกเศร้าอะไร แค่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเท่านั้นเอง เพราะอย่างไรเดี๋ยวเราก็จะเจอกันอีก แค่ปล่อยให้เธอไปรอเราก่อนล่วงหน้า เหมือนที่พระเยซูคริสตเจ้าตรัสพระองค์ต้องไปก่อนเพื่อจัดเตรียมที่อยู่ไว้สำหรับพวกเรา และพระองค์จะกลับมารับเรา แล้วพระองค์จะกลับมารับเราแบบไหน? มีการรับเรา 2 แบบคือ
รับแบบที่ 1 คือมารับจากการเสียชีวิตของเรา
รับแบบที่ 2 คือมารับตอนที่เรายังไม่เสียชีวิต แต่ถึงเวลาที่พระเยซูคริสต์เจ้าจะเสด็จกลับมาบนท้องฟ้าด้วยเสียงแตรของเหล่าเทพบดีทั้งหลายและเมื่อนั้นเอง ทุกคนที่มีตั๋วล่วงหน้า ก็คือคนที่ยอมกลับใจใหม่และเชื่อในพระองค์แล้วจะถูกรับขึ้นไปพร้อมกันทั่วทั้งโลก
ผมเองก็คิดไม่ถึงว่า พระเจ้าจะรับคุณแตงโมไปเร็วเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม ขอให้เราทั้งหลายได้ตระหนักไว้เสมอว่าวันหนึ่งเราเองก็คงต้องจากไป แม้ว่าจะไม่ทราบว่าเป็นวิธีไหน แต่เราจะต้องจากไปแน่ ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่าไม่มีคำว่าเร็วเกินไป ที่จะแสดงความเมตตาและความรักต่อกันแต่อาจจะมีคำว่าช้าเกินไป ถ้ายังรีรออยู่จนไม่ได้แสดงความเมตตาและความรักนั้นแก่ใครบางคน ดังนั้นถ้าหากว่าวันนี้เรายังมีโอกาสที่จะแสดงความรักต่อใครได้ก็ให้รีบทำทันที ซึ่งบางทีก็ไม่ใช่คนอื่นไกลเลยครับ แต่เป็นคนที่อยู่ร่วมห้องเดียวกับเรา ในบ้านหรือในอาคารเดียวกับเรา เขาหรือเธออาจต้องการคำว่า
“ฉันรักเธอ” “ผมรักคุณ” “แม่รักลูก” “ลูกรักแม่” “พ่อรักลูก” “ลูกรักพ่อ” “พี่รักน้อง” “น้องรักพี่” หรืออื่น ๆ
พี่น้องทั้งหลายครับ ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าถ้าคุณจะรักใครสักคน จงรักเขาจนถึงที่สุด เหมือนอย่างที่พระเยซูคริสต์เจ้ารักพวกพ้องของพระองค์จนถึงที่สุด
บทเรียนประการสุดท้ายก็คือว่า “เราควรทำอะไร” เป็นการสานต่อในสิ่งที่คนที่จากไปแล้วปรารถนาที่จะทำแต่ยังทำไม่สำเร็จ หากวันนี้เราทั้งหลายมาร่วมรำลึกถึงการจากไปของคุณแตงโม เราก็ควรสานต่อในบางสิ่งบางอย่างที่คุณแตงโมเธออยากจะทำแต่เธอยังทำไม่สำเร็จ เพื่อเป็นการบอกกับคุณแตงโม ว่า “ฉันจะรักเธอให้มากจนถึงที่สุดเลยนะ” แม้ว่าเธอไม่อยู่แล้ว และฉันจะทำให้เสร็จตามที่เธอปรารถนาเลย แต่คำถามก็คือเราทราบไหมครับว่าคุณแตงโมได้ส่งสัญญาณอะไรแจ้งมาบอกทุกคนในที่นี้ และคนที่กำลังชมอยู่ทั่วแผ่นดินในปัจจุบันนี้ว่าเธอต้องการให้เราช่วยสานต่อในเรื่องอะไร? หรือมีเรื่องอะไรบ้างที่คุณแตงโมยังทำค้างอยู่ต่อคุณแม่ ต่อคุณป้า ต่อเพื่อนๆ ต่อแฟนคลับทั้งหลาย หรือต่อคริสตจักรที่คุณแตงโมเป็นสมาชิกอยู่ หรือต่อวงการที่คุณแตงโมอยู่หรือต่อสังคมนี้ของเรา?
พี่น้องที่รักมีอะไรที่คุณสามารถทำเพื่อคนที่จากไปแล้วได้บ้างครับ?
ถ้าผู้ใดเคยพูดว่าฉันรักเธอแตงโม ตอนนี้ฉันยังมีชีวิตอยู่ฉันจะทำเพื่อเธอให้ถึงที่สุด คำว่าถึงที่สุดนี้หมายความว่า ฉันจะทำในสิ่งที่เธอต้องการให้เธอจนกว่าฉันจะทำไม่ได้
เวลานี้คุณจะทำอะไรให้คุณแตงโมครับ?
หนึ่งในบทเรียนจากพิธีไว้อาลัยในวันนี้คือ การจากไปของคนที่เรารัก เตือนสติให้เราสมควรเป็นแบบ
อย่างให้แก่คนที่ยังอยู่ในการสืบสานสิ่งที่มีคุณค่าที่เราเคยทำไว้ อย่างเช่นในกรณีของคุณแตงโมความกตัญญูของคุณแตงโมนับว่าเป็นสิ่งเป็นแบบอย่างที่ดียิ่งประการหนึ่ง การเรียนรู้สู้ชีวิตอย่างไม่ยอมแพ้ก็น่าจะเป็นอีกแบบอย่างหนึ่ง การรู้จักอยู่และสามารถปรับตัวให้อยู่ได้อย่างเพียงพอก็น่าจะเป็นอีกแบบอย่างหนึ่ง และที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือคุณแตงโมเป็นแบบอย่างของคนที่ปรารถนาที่จะให้คนทั้งหลายได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากพระเจ้า เธอบอกว่าเธอได้รู้จักกับพระเจ้า เธอได้รับพระคุณจากพระเจ้าอย่างมากล้นจนเธออยากจะรับใช้พระเจ้าโดยไม่ละอายที่จะบอกว่ารักพระเจ้าและรักทุกคนต่อหน้าทุกคนทุกช่องทาง และเธออยากให้ทุกคนได้รู้จักกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณแตงโมเธออยากให้คุณแม่รู้จักพระเจ้า อยากจะให้เพื่อนฝูงและแฟนคลับทุกคนได้รู้จักพระเจ้า ผมหวังว่าสิ่งที่คุณแตงโมปรารถนาดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นเป็นจริงและมีคนหลาย ๆ คนสานต่อแบบอย่างและความมุ่งหมายของคุณแตงโมในเรื่องนี้
กล่าวโดยสรุปคือพี่น้องที่รักทั้งหลายครับ เราทุกคนทราบว่าวันหนึ่งเราต้องจากไป แต่เราไม่ทราบว่าจะจากไปที่ไหน หรือจะจากไปเมื่อใด แต่เราจะมั่นใจและปลอดภัยมากขึ้นเมื่อเรารู้ว่าเราจะไปไหน และเราจะพบกับใคร
วันนี้ขอให้เราแสดงความรักต่อคนที่เรารักในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ และในขณะที่เรายังทำได้ ขอให้เราทั้งหลายสานต่อในสิ่งที่ดีที่ผู้ที่จากเราไปแล้วปรารถนาที่จะทำแต่เขาเองยังทำไม่เสร็จ และขอให้เราทั้งหลายได้ดำเนินชีวิตที่ดีเพื่อเป็นแบบอย่างให้คนทั้งหลายได้สืบสานต่อไป แม้ว่าเราอาจจะอยู่ไม่นาน แต่ขอให้ชีวิตเราเป็นตำนานที่เล่าขานตลอดไป
ขอพระเจ้าอวยพรสำหรับทุกสิ่งที่คุณแตงโมได้กระทำมา ให้เป็นตำนานที่จะเล่าขานตลอดไปนับจากนี้ จากนี้ไปคนไทยและคนทั้งโลกมีอีกหนึ่งตำนานไว้เล่าสู่กันฟังถึงความรักและมิตรภาพของคนที่ไม่สมบูรณ์คนหนึ่งที่สามารถอยู่กับคนอื่น ๆ ที่ไม่สมบูรณ์ด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ นี่คือสุดยอดของชีวิต ขอพระเจ้าทรงเมตตาแก่ทุกๆ คน และขอให้เราทั้งหลายที่จะมีชีวิตที่คนอื่นกล่าวถึงและชื่นชมเช่นกัน
ผมชอบคำพูดของนักเขียนชื่อดังของโลก นามว่า มาร์ค ทเวน ที่กล่าวว่า
“จงดำเนินชีวิตของท่านแบบชนิดที่ว่า
เมื่อวันตายมาถึงท่าน แม้แต่สัปเหร่อยังนั่งร้องไห้!”
นับเป็นข้อเขียนที่ให้ข้อคิดสะกิดใจยิ่งนักเพราะสัปเหร่อมักไม่เคยมีความรู้สึกอะไรเลยกับศพเพราะเขาได้เห็นมาตลอด แต่ขอให้วันนั้นที่สัปเหร่อได้เห็นศพของเราเขาจะร้องไห้ด้วยความเสียใจว่า
“ทำไมคนดีเช่นนี้จึงต้องตายแบบนี้ด้วย คนเช่นนี้ไม่สมควรตายจากโลกไป
เพราะเขามีคุณค่าเหลือเกิน ช่างน่าเสียดายจริงๆ !”
ขอพระเจ้าได้ทรงอวยพระพรท่านทั้งหลายทุกคนในวันนี้ ให้ท่านจะมีชีวิตที่ดีและในยามที่ท่านจากไปและจะไม่มีสิ่งใดมาทำลายชื่อเสียงที่ดีของท่านให้มัวหมองได้ ท่านจะต้องจากไป ไม่ว่าจะเกิดจากความตายในลักษณะใด ขอพระเจ้าทรงอวยพรทุกๆ ท่านให้สามารถกระทำตามที่พระคัมภีร์ที่กล่าวว่า
“ชื่อเสียงดีมีค่ายิ่งกว่าความมั่งคั่ง และความเป็นที่โปรดปราน
ของพระเจ้าและของผู้คนทั้งหลายก็ดีกว่าการมีเงินทองมาก”
อย่างไรก็ตาม หากว่าท่านมีเงินทองมากๆ ก็ขอให้ท่านยิ่งเป็นที่โปรดปรานมากยิ่งขึ้นอีก อย่าให้เงินทองที่มีเสียไปเปล่าๆ เพราะว่าแม้เงินทองของท่านจะซื้อสวรรค์ไม่ได้ แต่เงินทองเหล่านั้นอาจช่วยให้คนจำนวนไม่น้อยเข้าไปใกล้สวรรค์ได้ง่ายขึ้น!
ขอให้เราทั้งหลายจะมีน้ำใจแสดงความรักต่อกันด้วยสิ่งที่เรามี และนี่คือสิ่งที่คุณแตงโมปรารถนาอยากจะบอกทุกคน ดังนั้นถ้าหากว่าผู้ใดรักคุณแตงโมผู้นั้นก็ควรรักและช่วยคนที่คุณแตงโมรัก และรักในสิ่งที่คุณแตงโมรักด้วยเพราะเราทุกคนต่างก็ต้องการความรักด้วยกันทั้งสิ้น
ขอพระเจ้าทรงอวยพรทุกๆ ท่าน และขอให้คุณแตงโมยิ้มได้เมื่อเห็นทุกคนในวันนี้สามารถที่จะรักกันและให้อภัยกันและกันด้วยความรักที่มาจากพระเจ้า และจะเป็นการดีอย่างสุดยอดเมื่อคนที่ยังไม่ได้ตีตั๋วไปปลายทางเดียวกับคุณแตงโม จะรีบมีตั๋วนั้นอยู่ในมือให้เร็วที่สุด และช่วยกันและกันรวมทั้งคนอื่นๆ ให้มีตั๋วให้พร้อมสำหรับการเดินทางครั้งสุดท้ายในชีวิตของเราแต่ละคนที่อาจจะมาถึงเราแต่ละคนเมื่อใดก็ได้ และเราสามารถรับตั๋วนั้นได้ทันที ในนาทีนี้ด้วยการยอมรับเราเป็นคนบาปและต้องรับโทษความตาย แต่ด้วยพระเมตตาและความดีจากพระเจ้า และพระคุณของพระเยซูคริสต์เจ้าที่ทรงยอมถูกตรึงบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาป เราจึงขอถ่อมใจรับการไถ่บาปนั้นด้วยความเชื่อ เพียงแค่นี้เราก็จะได้ไปพบกับคุณแตงโมที่ปลายทางในสวรรค์เมื่อถึงเวลาของเรา
นี่คือ สิ่งเดียวและสิ่งสุดท้ายที่คุณแตงโมปรารถนาจากทุก ๆ คน
ขอพระเจ้าทรงอวยพรทุกๆ ท่านครับ!
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น