พระธรรมวิวรณ์ได้พูดถึง สัตว์ร้ายสองตัวที่มีอำนาจสูงสุดในโลก ในช่วงที่เวลา 7 ปีแห่งการทนทุกข์ครั้งใหญ่ก่อนการเสด็จกลับมาของพระเยซู (วว. 13-17)
สัตว์ร้ายตัวแรก ได้รับการแต่งตั้งและได้รับอำนาจจากซาตานเพื่อทำการต่อต้านพระคริสต์ มันมีอำนาจเหนือประชาชาติ มันทำสงครามกับธรรมิกชนและชนะเขา คนทั้งโลกจะบูชากราบไหว้มัน
สัตว์ร้ายตัวที่สอง ใช้อำนาจทั้งสิ้นของสัตว์ร้ายตัวแรก อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากสัตว์ร้ายตัวแรก มันได้บังคับให้คนทั้งปวงรับเครื่องหมายไว้ที่หน้าผากหรือที่ข้อมือ หากใครไม่มีเครื่องหมายนี้จะทำการซื้อขายไม่ได้ เครื่องหมายนี้ก็คือเลข 666 และพระคัมภีร์บอกว่าเป็นเลขของบุคคลผู้หนึ่ง จึงทำให้หลายคนอยากรู้ว่า ใครคือสัตว์ร้ายตัวนี้ซึ่งเป็น “ปฏิปักษ์ของพระคริสต์”
ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มีการคาดเดาว่าคนโน้นคนนี้ คือ สัตว์ร้ายตัวที่ว่านี้ บ้างก็ว่าหมายถึง จักรพรรดิเนโรแห่งโรมัน บ้างก็ว่าหมายถึง ฮิตเลอร์ผู้นำเผด็จการของเยอรมัน บ้างก็ว่าหมายถึง พระสันตะปาปา และแม้กระทั่งประธานาธิบดีบางคนของสหรัฐอเมริกา ก็เคยถูกกล่าวถึงว่าเป็นปฏิปักษ์ของพระคริสต์
ประเด็นอยู่ที่เราจะตีความพระคัมภีร์ตอนนี้แบบไหน ซึ่งพระธรรมวิวรณ์มีการตีความหมายอยู่ถึง 4 รูปแบบ คือ
- The Idealist View or the spiritual view
– การตีความในเชิงอุดมคติหรือเชิงจิตวิญญาณ - The Preterist View
– การตีความในเชิงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต - The Historicist View
– การตีความในเชิงประวัติศาสตร์ - The Futurist View
– การตีความในเชิงอนาคต
ถ้าตีความในเชิงประวัติศาสตร์ก็หมายความว่าสัตว์ร้ายตัวนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ถ้าตีความในเชิงอนาคตก็หมายความว่าสัตว์ตัวนี้จะเกิดขึ้นในช่วงปลายยุคก่อนพระเยซูเสด็จกลับมา
ในบทความนี้ผมขอนำเสนอการตีความหมายในแบบที่ 3 คือ The Historicist View ที่ตีความว่า สัตว์ร้ายตัวนี้ หมายถึงจักรพรรดิเนโรแห่งโรมัน อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ตีความแบบนี้
หลักฐานที่ชี้ว่าเป็นเนโร
ประการแรก
เหตุการณ์ต่างๆ ที่กล่าวถึงในวิวรณ์นั้นเป็นสิ่งที่จะอุบัติขึ้นอย่างรวดเร็ว ในข้อแรกของหนังสือเล่มนี้ยอห์นได้บอกไว้ว่า “วิวรณ์ของพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าประทานแก่พระองค์ เพื่อสำแดงต่อบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์เกี่ยวกับสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้…” (วว. 1:1) และพูดย้ำในข้อต่อมาว่า “เวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว” (1:3) และในตอนท้ายของหนังสือยอห์นก็กล่าวซ้ำในเรื่องเวลาที่รวดเร็วโดยใช้คำว่า “ในไม่ช้า” (22:6) “ในเร็ว ๆ นี้” (22:7) และ “ใกล้จะถึงเวลานั้นแล้ว” (22:10)
คนในสมัยนั้นไม่ได้คิดว่าจะหมายถึงอีกสองพันหรือสามพันปีข้างหน้า แต่หมายถึงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งก็คือศตวรรษแรกนั่นเอง (เนื่องจากวิวรณ์ถูกเขียนขึ้นในราวปี ค.ศ. 90-95 ดังนั้นคำว่า “เร็ว ๆ นี้” ก็หมายถึงอีกไม่กี่ปีข้างหน้า)
เมื่อพูดอย่างนี้ก็มีความหมายว่าแม้แต่ยอห์นเองก็เชื่อว่าสิ่งต่างๆ ที่ท่านเขียนไว้ในหนังสือนั้นจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ไม่ใช่อีกสองพันหรือสามพันปีข้างหน้า
ประการที่สอง
ยอห์นพูดถึงสัตว์ร้ายตัวนี้ว่ามีเจ็ดหัว ในมุมมองของนักศาสนศาสตร์ไม่ว่าจุดยืนในเรื่องยุคสุดท้ายจะเป็นแบบไหน ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า สัตว์ร้ายนี้มีความหมายมากกว่าหนึ่งความหมาย บางครั้งหมายถึงการกระทำที่โหดร้าย บางครั้งหมายถึงอาณาจักร บางครั้งหมายถึงกษัตริย์ 7 องค์ (ดู วว. 13:1; 17:10) ใน วิวรณ์ 17:9-10 บอกว่า “นี่ต้องใช้ความคิดอย่างมีปัญญา หัวทั้งเจ็ดนั้นคือเนินเขาเจ็ดยอดที่หญิงนั้นนั่งอยู่ และคือกษัตริย์เจ็ดองค์ ห้าองค์ล่วงไปแล้ว และองค์หนึ่งกำลังเป็นอยู่ ส่วนอีกองค์หนึ่งนั้นยังไม่มา และถ้ามาแล้วก็จะต้องอยู่เพียงระยะสั้นๆ” พระคัมภีร์ทั้งสองข้อนี้พูดถึงเนินเขาเจ็ดยอด ซึ่งนักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่ต่างยอมรับว่าหมายถึงโรม ซึ่งคนในยุคสมัยนั้นเรียกกรุงโรมว่า “นครแห่งเจ็ดเนินเขา” นี่เป็นหลักฐานบ่งชี้ว่ายอห์นกำลังหมายถึงเนโร
ประการที่สาม
กษัตริย์องค์ที่หก ดูวิวรณ์ 17:9-10 อีกครั้ง ยอห์นบอกว่าหัวทั้งเจ็ดนั้นคือกษัตริย์เจ็ดองค์ ซึ่ง 5 องค์แรก (จูเลียส ออกัสตัส ไทเบเรียส กายอัส และคลาวดิอัส) “ล่วงไปแล้ว” (สิ้นพระชนม์) และองค์หนึ่งกำลังเป็นอยู่ (องค์ที่ 6) ส่วนกษัตริย์องค์ที่ 7 ยังไม่มา และเมื่อมาแล้วก็จะปกครองเป็นเวลาสั้นๆ ซึ่งตามประวัติศาสตร์จักรพรรดิองค์ต่อจากเนโรคือกัลบาซึ่งปกครองเพียง 7 เดือนเท่านั้น
จักรพรรดิองค์ที่ 6 ของโรมันก็คือเนโร เกี่ยวกับลำดับของจักรพรรดิที่ยอห์นกำลังเขียนคงไม่เป็นความบังเอิญเป็นแน่
ประการที่สี่
ในเรื่องนี้ต้องใช้สติปัญญาให้ดี ถ้าใครมีความเข้าใจ ก็จงคิดคำนวณเลขของสัตว์ร้ายตัวนั้น เพราะว่าเป็นเลขของคนผู้หนึ่ง เลขของมันคือหกร้อยหกสิบหก – วิวรณ์ 13:18
การคำนวณหาความหมายของเลข 666 ซึ่งวิวรณ์ 13:18 ได้กล่าวถึงว่าเป็นเลขของบุคคลคนหนึ่ง การแปลงชื่อเป็นตัวเลข หรือที่เรียกว่า gematria เป็นสิ่งที่นิยมทำกันมากในศตวรรษแรกๆ โดยเฉพาะกับคนในระดับสูง แต่ทุกวันนี้นี้ไม่เป็นที่นิยมกันแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องแปลกที่ยอห์นจะเขียนสิ่งที่คนในศตวรรษต่อๆ มาไม่ได้ใช้กันแล้ว จึงน่าจะหมายความว่า ยอห์นกำลังเขียนวิธีการที่คนในยุคร่วมสมัยกับยอห์นคุ้นเคย และจะรู้ได้ว่ายอห์นหมายถึงใคร ผู้อ่านหนังสือวิวรณ์จะสามารถแปลงเลข 666 ออกมาเป็นชื่อของเนโร และการถอดรหัสนี้ก็สมเหตุสมผลมาก เพราะเนโรก็ได้รับฉายาว่า “สัตว์ร้าย”
นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันอย่าง Tacitus (ค.ศ. 56-117) พูดถึงเนโรว่าเป็นคนที่ “โหดเหี้ยมอมหิต” เขาได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์ไปเป็นจำนวนมาก ส่วน Pliny the Elder (ค.ศ. 23-79) อธิบายถึงเนโรว่า “ผู้ทำลายมนุษยชาติและยาพิษของโลก” อีกคนหนึ่งเรียกเนโรว่า “ผู้ปกครองที่กดขี่ข่มเหง”
ไม่เพียงเท่านั้น คำทำนายเกี่ยวกับสัตว์ร้ายตัวแรกนั้นหัวๆ หนึ่งถูกฟันปางตายแต่รักษาหาย สอดคล้องกับเนโร เพราะเป็นที่เชื่อกันว่าแม้เนโรจะฆ่าตัวตาย แต่เขาไม่ตาย และกลับมามีอำนาจอีกครั้ง
ความหมายของสัญลักษณ์ 666
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าบางคนตีความว่าหมายถึงเนโร แต่บางคนได้ตีความคำพยากรณ์ของเครื่องหมายนี้ไว้ว่า ในอนาคตผู้นำรัฐบาลโลกที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์หรือสัตว์ร้ายจะบังคับให้ทุกคนทั่วโลกฝังชิพที่มือขวาและหน้าผาก โดยชิพจะมีข้อมูลทางการเงินของแต่ละคนบันทึกไว้อยู่โดยการซื้อขาย และการแลกเปลี่ยนนี้จะไม่ใช้เหรียญหรือธนบัตร แต่จะใช้การโอนถ่ายข้อมูลทางดิจิตอลที่ฝังอยู่ในชิพแทน
นักวิชาการพระคัมภีร์ในสายอนุรักษ์นิยม (Conservative) มีทัศนะว่าจะเป็น “เครื่องหมาย” ฝ่ายวิญญาณมากกว่าที่จะหมายถึงอิเล็กทรอนิกส์ เพราะก่อนหน้านี้ก็ได้พูดถึงการประทับตราที่หน้าผากของผู้เชื่อ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ฝ่ายวิญญาณ บันทึกประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมในจักรวรรดิโรม โดยเฉพาะเรื่องของการซื้อขายสินค้าในตลาดในสมัยของจักรพรรดิเนโร การที่ผู้คนจะเข้าไปยังตลาดได้นั้น พวกเขาจำต้องเดินผ่านประตูทางเข้าทว่าก่อนที่พวกเขาจะเข้าประตูนี้ได้ พวกเขาจะต้องนมัสการรูปปั้นของจักรพรรดิเมื่อพวกเขานมัสการเสร็จแล้วพวกเขาจะต้องนำขี้เถ้าที่ใช้ในการนมัสการมาวางไว้ที่มือและโปะที่หน้าผากแล้วพวกเขาถึงจะมีสิทธิในการเข้าประตูเพื่อไปซื้อขายสินค้าในตลาดพิธีกรรมที่ประตูหน้าตลาดนี้มีชื่อเรียกว่า “การรับเครื่องหมาย” ซึ่งพิธีกรรมนี้คือเรื่องราวของการรับเครื่องหมายของสัตว์ร้าย
ในขณะเดียวกัน ถ้าเราตีความหมายเรื่องนี้เป็น “อนาคต” ก็คงไม่ใช่เนโร แต่คงหมายถึงใครบางคนที่ซาตานจะแต่งตั้งขึ้นเพื่อทำงานในช่วงสามสัปตะครึ่งสุดท้ายก่อนการเสด็จมาพระเยซู
บทความ: ศจ. ดร. สมใจ รักษาศรี
ศิษยาภิบาลคริสตจักรแห่งความเชื่อแบ๊บติสต์
อาจารย์สถาบันพระคริสตธรรมศึกษา Faith Bible Institute
ผู้อำนวยการสถาบันครอบครัวไทย
ภาพ: Mick Haupt on Unsplash
ออกแบบ: Zippy
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น