เรื่องราวคำบอกเล่าจาก ราวี ซาคาเรียส (Ravi Zacharias)
ช่วงที่ผมไปทำพันธกิจในเวียดนามเมื่อปี ค.ศ.1971 มีล่ามที่เดินทางไปกับผมคนหนึ่งคือ เฮียน ฝ่าม (Hien Pham) เขาเป็นคริสเตียนหนุ่มที่กระตือรือร้น ทุ่มเท และทำงานเป็นล่ามแปลร่วมกับกองกำลังทหารอเมริกัน เขาเป็นแค่พลเรือนที่ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ทางการใดๆในกองทัพ แต่เพราะเขาเป็นคนที่รู้ภาษาอังกฤษอย่างดีจนเข้ามาช่วยพวกทหารที่มีข้อจำกัดทางภาษาได้
ระหว่างนั้นเขายังได้ทำงานร่วมกับทีมมิชชันนารี เขากับผมเดินทางไปทั่วเวียดนามและกลายเป็นเพื่อนสนิทกันมาก และเมื่อผมต้องอำลากันเพื่อกลับอเมริกา พวกเราซึ่งยังเด็กทั้งคู่ต่างไม่รู้ว่าเส้นทางชีวิตของเราจะได้โคจรมาพบกันอีกไหม จากนั้นภายใน 4 ปี เวียดนามใต้พ่ายแพ้ ผมไม่รู้ว่ามีเกิดอะไรขึ้นบ้างกับชีวิตของเฮียน
ปี ค.ศ.1988 หรือ 17 ปีต่อมา มีสายหนึ่งโทรหาผมอย่างคาดไม่ถึง “พี่ราวี?”
ผมจำเสียงของ เฮียน ได้ทันที เราจึงได้กลับมาติดต่อกันอีก ผมถามว่าเขาทำยังไงถึงออกจากเวียดนามมาที่อเมริกาได้ โดยไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเรื่องราวต่อไปนี้ที่เขาเล่าให้ฟัง
หลังจากเวียดนามตกเป็นของฝ่ายคอมมิวนิสต์ไม่นาน เฮียนก็ถูกจับ และถูกกล่าวหาว่าให้การช่วยเหลือสนับสนุนชาวอเมริกัน เขาต้องเข้าๆ ออกๆ คุกอยู่หลายปี มีครั้งหนึ่งที่เขาถูกจำคุกอยู่นาน ก็เพื่อจุดประสงค์เดียวคือต้องการล้างสมองเขาให้ต่อต้านพวกตะวันตก โดยเฉพาะต่อต้านอุดมการณ์ประชาธิปไตยและความเชื่อคริสเตียน เขาถูกห้ามเด็ดขาดไม่ให้อ่านอะไรก็ตามที่เป็นภาษาอังกฤษ และยังถูกกีดกันไม่ให้เข้าถึงเนื้อหาชักจูงของคอมมิวนิสต์ทั้งในภาษาฝรั่งเศสและภาษาเวียดนาม
งานเขียนของนักปรัชญาอย่าง คาร์ล มาร์กซ์ และ ฟรีดริช เอ็งเงิลส์ ที่ต้องอ่านทุกวันเริ่มส่งผลกระทบต่อความคิดเขา หนึ่งในหนังสือที่เขาถูกบังคับให้อ่าน ทำให้เขามีมุมมองต่อพวกคอมมิวนิสต์ว่าเป็นเหมือนนกที่ถูกขังอยู่ใน “กรงเหล็กแห่งทุนนิยม” กระเสือกกระสนพุ่งชน “ลูกกรงแห่งการกดขี่ของนายทุน” จนต้องหลั่งเลือด แต่กระนั้น พวกมันยังคงต่อสู้ดิ้นรนเพื่อโบยบินไปสู่เป้าหมายแห่งอิสรภาพ
เฮียน เริ่มโอนอ่อนตามขบวนการล้างสมองนี้ เขาเริ่มคิดว่า บางทีเขาอาจถูกหลอก พระเจ้าอาจไม่มีอยู่จริง ที่ผ่านมาตลอดชีวิตเขาอาจถูกครอบงำจากคำโกหก พวกตะวันตกอาจหลอกเขา ยิ่งเขาคิดมากขึ้นก็ยิ่งพาตัวเองเข้าสู่จุดตัดสินใจ ในที่สุดเช้าวันหนึ่งเขาตื่นขึ้นและบอกตัวเองแน่วแน่ว่าจะไม่อธิษฐานอีกต่อไป จะไม่แม้แต่คิดถึงความเชื่อคริสเตียนอีกเลย
เช้าวันต่อมา เขาถูกมอบหมายให้ทำความสะอาดห้องน้ำเรือนจำ มันเป็นงานสยองที่ทุกคนรังเกียจ เขาดูทุกข์ทรมานที่ต้องเริ่มงานอันน่าขยะแขยงนี้ ขณะที่เขากำลังล้างกระป๋องที่เต็มไปด้วยกระดาษชำระ สายตาเขาเหลือบเห็นภาษาอังกฤษอยู่บนกระดาษชำระแผ่นหนึ่ง เขาจึงรีบทำความสะอาดกระดาษแผ่นนั้น และสอดเก็บในกระเป๋ากางเกงเพื่อเอาไปอ่านตอนดึก เขารออ่านอย่างจดจ่อ เพราะไม่ได้เห็นอะไรเป็นภาษาอังกฤษมานานแล้ว
คืนนั้นในมุ้งกันยุงหลังจากเพื่อนร่วมห้องหลับแล้ว เขานำเอาไฟฉายเล็กๆ มาส่องดูบนกระดาษชื้นๆ เขาเริ่มอ่านจากมุมบนสุด “โรม บทที่ 8” เขาตัวสั่นและตกใจ และอ่านต่อไป
และเรารู้ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างร่วมกันก่อผลดีแก่คนที่รักพระเจ้า
คือแก่คนทั้งหลายที่พระองค์ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์… (ข้อ 28)
ถ้าอย่างนั้น สิ่งเหล่านี้เราจะว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเราได้? (ข้อ 31)
พระองค์ผู้ไม่ทรงหวงพระบุตรของพระองค์เอง แต่ประทานพระบุตรนั้นเพื่อเราทุกคน
ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ประทานสิ่งสารพัดให้เราด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ… (ข้อ 32)
แล้วใครจะให้เราขาดจากความรักของพระคริสต์ได้? จะเป็นความทุกข์หรือความยากลำบาก หรือการเคี่ยวเข็ญ หรือการกันดารอาหาร หรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัย หรือการถูกคมดาบหรือ? (ข้อ 35)
แต่ในเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เรามีชัยเหลือล้น โดยพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าแน่ใจว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถทำให้เราขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ (ข้อ 37-39)
เฮียนถึงกับน้ำตาซึม เพราะเขารู้พระคัมภีร์ และไม่ได้อ่านมันมานานแล้ว ไม่ใช่แค่นั้นเขายังรู้ด้วยว่า ไม่มีพระคัมภีร์ข้อไหนที่หนุนใจคนซึ่งกำลังจำนนต่อความชั่วร้ายที่คุกคามให้ยังเชื่อมั่นและเข้มแข็งได้ดีเท่าข้อนี้แล้ว เขาร้องทูลขอพระเจ้าทรงยกโทษ เพราะนี่เป็นวันแรกในรอบหลายปีที่เขาตั้งใจว่าจะไม่อธิษฐานแล้ว เห็นชัดว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมสำหรับเขา
วันรุ่งขึ้นเฮียนขอผู้คุมค่ายให้เขาทำความสะอาดห้องน้ำอีก งานล้างห้องน้ำจึงกลายเป็นงานประจำของเขา เพราะเขาพบว่าเจ้าหน้าที่บางคนในค่ายเอาพระคัมภีร์มาใช้เป็นกระดาษชำระ ในแต่ละวันเฮียนจะหยิบกระดาษส่วนที่เป็นพระคัมภีร์ ทำความสะอาด และนำมาใช้เป็นบทเฝ้าเดี่ยวทุกๆ คืน ด้วยวิธีนี้ช่วยให้เขารวบรวมเนื้อหาส่วนต่างๆ ของพระคัมภีร์ได้
เหมือนเวลาที่ถูกจัดเตรียมอย่างเหมาะสม ถึงเวลาที่เฮียนถูกปล่อยตัวออกมา เขาเริ่มวางแผนเตรียมพร้อมหนีออกนอกประเทศ หลังจากพยายามและล้มเหลวอยู่หลายครั้ง ครั้งนี้เขาจึงแอบสร้างเรือลับๆ ร่วมกับคนอีก 53 คนที่วางแผนหลบหนีไปด้วยกัน โดยเฮียนถูกเลือกให้ขึ้นมาเป็นผู้นำ
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนจนกระทั่งก่อนออกเดินทางไม่กี่วัน เมื่อเวียดกง 4 คนมาเคาะที่ประตูบ้านของเฮียน พอเขาเปิดประตู พวกนั้นถามหาเฮียนบอกได้ยินมาว่า เขาพยายามจะหลบหนี “มันเป็นเรื่องจริงใช่ไหม?” พวกนั้นซักไซ้ไล่เรียง
เฮียนรีบปฏิเสธทันที พร้อมสร้างเรื่องอธิบายถึงสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ เห็นชัดว่าพวกนั้นจากไปแบบไม่พอใจนัก
เฮียนโล่งใจ แต่ก็รู้สึกผิดหวังในตัวเอง “เอาอีกแล้ว พระเจ้า ผมกำลังพยายามลิขิตชะตาชีวิตของตัวเอง ทำไมผมจึงดื้อดึง เกินกว่าที่จะเชื่อว่าพระองค์สามารถนำผมให้ก้าวผ่านทุกอุปสรรคได้” เขาจึงสัญญากับพระเจ้า และเชื่อว่าพระองค์จะช่วยไม่ให้เขาตกอยู่ในสภาพนี้อีก เขาอธิษฐานว่าถ้าเวียดกงกลับมาอีก ครั้งนี้เขาจะพูดความจริง
ในช่วงไม่กี่ชั่วโมงก่อนออกเรือ ทุกอย่างดูลงตัว แต่กลับมีเรื่องคาดไม่ถึงทำเขารู้สึกหวั่นวิตก มีเวียดกง 4 คนมายืนอยู่ที่ประตูของเขาอีกครั้ง “มีแหล่งข่าวบอกเราว่าคุณพยายามหลบหนี มันจริงหรือไม่?”
เฮียนยอมรับออกมาว่า “ใช่ ฉันกับอีก 53 คน คุณจะจับฉันไปขังอีกหรือ” ทุกคนนิ่งเงียบ แล้วพวกเวียดกงก็โน้มตัวเข้าไปใกล้เฮียน และกระซิบว่า “ไม่หรอก เราต้องการหนีไปกับคุณด้วย!”
ในแผนการหลบหนีที่เหลือเชื่อที่สุด ทั้ง 58 คนล่องเรืออยู่กลางทะเลใหญ่ จู่ๆ ก็มีพายุรุนแรง เฮียนเอามือปิดหน้าร้องเรียกพระเจ้า “พระองค์จะนำพวกเรามาจบชีวิตที่นี่กันหรือ?”
เฮียนสรุปเรื่องราวของเขาว่า “พี่ราวี เวียดกงทั้งสี่ที่เดินทางมาด้วยนั้น เป็นชาวประมงที่ชำนาญในการเดินเรือ ถ้าไม่ใช่เพราะทักษะการล่องเรือของพวกเขาทั้งสี่ พวกเราคงไม่อาจรอดมาได้”
มีชาวเวียดนามมากมายที่ล่องเรืออพยพหนีออกจากประเทศภายหลังสงครามเวียดนาม
(ที่มาภาพ: www.independent.co.uk)
ในที่สุดพวกเขาเดินทางอย่างปลอดภัยมาถึงประเทศไทย และหลายปีต่อมา เฮียน ฝ่าม ได้เดินทางมายังผืนแผ่นดินอเมริกา ที่ซึ่งเขาได้ตั้งรกรากและกลายเป็นนักธุรกิจจวบจนปัจจุบัน เขารู้สึกขอบคุณอเมริกา และอธิษฐานเผื่อให้ชนชาตินี้เปิดใจต่อเรื่องราวของพระคริสต์ เพื่อวันหนึ่งพวกเขาจะกลายเป็นชนชาติของพระองค์
เรื่องนี้ให้แง่คิดอะไรกับคุณบ้าง?
- อย่าสิ้นหวังแม้สถานการณ์ดูหมดหวัง – เราสามารถพบพระเจ้าได้แม้ในวันที่มืดมนที่สุด
- อย่าจำกัดวิธีการช่วยกู้ของพระเจ้า – ไม่เพียงแค่อย่าสิ้นหวัง อย่าตีกรอบวิธีของพระเจ้า วางใจให้สุดใจ และให้พระเจ้าเปิดทางให้เราจากความวางใจนั้น
- ชุมชน และสภาพแวดล้อม มีผลต่อความเชื่อ – คนที่เราคบ เพื่อนสนิท คริสตจักร ครอบครัว สามารถหล่อหลอมหรือบั่นทอนความเชื่อของเราได้ จงมองหาและพาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมและกลุ่มคนที่ช่วยเสริมสร้างชีวิตเราให้เติบโตในทางพระเจ้า
- ให้พระวจนะเป็นมากกว่าแค่ตัวหนังสือ – เราต้องซึมซับประสบการณ์พบพระเจ้าผ่านพระวจนะ ยิ่งคุ้นเคยคุณยิ่งเห็นคุณค่าพระคำพระเจ้า พระวจนะจะมีฤทธิ์อำนาจและไม่เป็นเพียงแค่ตัวหนังสือที่อ่านผ่านๆ
- ความรอดในพระเจ้า ไม่ใช่ การหาทางรอดให้ชีวิต – ไม่ใช่แค่เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่มีชีวิตอยู่เพื่ออะไรต่างหาก เหมือนที่ Fyodor Dostoyevsky กล่าวว่า “The mystery of human existence lies not in just staying alive, but in finding something to live for.” การตอบสนองของ เฮียน ในตอนท้ายทำให้เห็นว่า เขาไม่ได้เลือกที่จะหาทางรอดให้ชีวิต แต่เลือกจะใช้ชีวิตอย่างซื่อตรงต่อพระเจ้าและพระวจนะ แล้วคุณล่ะ ใคร/อะไร คือสิ่งที่ทำให้คุณต้องการใช้ชีวิตอยู่ต่อไป?
บทความ: The story of Hien Pham, as told by Ravi Zacharias
แปลและเรียบเรียง: Phan Rungratanaprasert & JK
ภาพ: Ashwini Chaudhary on Unsplash
ออกแบบ: Zippy
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น