บทความ

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวันวาเลนไทน์

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นเหมือนธรรมเนียมปฏบัติของบรรดาหนุ่มสาวที่รอคอยจะแสดงออกความรักต่อกัน บ้างก็เขียนการ์ด บ้างก็ซื้อของขวัญ บ้างก็ไปกินอาหารหรูสักมื้อ แต่มีสักกี่คนที่จะเข้าใจถึงที่มา และ ความหมายที่แท้จริงของวันวาเลนไทน์

โดยส่วนตัวนั้น ผมได้ค้นหาที่มาและความหมายของวันวาเลนไทน์อยู่พักหนึ่ง ก็ต้องประหลาดใจว่า ข้อมูลที่ได้จากแหล่งต่าง ๆ มีความหลากหลายมาก จนยากที่จะฟันธงไปได้ว่าอะไรคือเรื่องจริง แต่อย่างไรก็ตามผมได้รวบรวมข้อมูลที่พอจะเชื่อได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงหลาย ๆ แหล่งเชื่อตรงกัน

1. วันวาเลนไทน์ อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับ เทศกาลของชาวโรมันที่ชื่อว่า Lupercalia ที่จัดขึ้นในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ของทุกปี

2. มีนักบวชที่ชื่อวาเลนไทน์อยู่หลายคน ที่ตายเพราะความเชื่อ และมีอย่างน้อย 3 คน ที่ตายในวันที่ 14 กุมภาพันธ์

3. ตำนานที่เป็นที่เผยแพร่มากที่สุด คือ เซนต์วาเลนไทน์ แห่งกรุงโรม โดยมีเนื้อหาดังนี้

ในปี ค.ศ. 270 จักรพรรดิ Claudius II (ค.ศ. 214 – 270) ปกครองอาณาจักรโรมันอยู่ 2 ปี (ค.ศ. 268 – 270) ต้องการจะรักษาความยิ่งใหญ่ทางการทหาร แต่เกิดปัญหาที่ผู้ชายหลายคนเห็นคุณค่าการแต่งงานและอยากอยู่บ้านมากกว่าการไปรบเพื่ออาณาจักร นั่นทำให้ “ความรัก” กลายเป็นศัตรูของ “ความมั่นคงของชาติ”

ดังนั้น Claudius II จึงออกกฎหมายห้ามการแต่งงาน (ดีนะที่ครองราชย์อยู่แค่ 2 ปี!!) มีนักบวชในกรุงโรมคนหนึ่งชื่อ Valentine ไม่เห็นด้วย จึงได้ทำการจัดพิธีแต่งงานแบบลับๆ ให้กับหนุ่มสาวคู่หนึ่ง จึงเป็นสาเหตุให้เขาถูกจับ ถูกเฆี่ยนตี และถูกตัดคอในวันที่ 14 (บ้างก็ว่า 15) กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270

ตำนานยังเล่าต่อไปว่า ในขณะที่อยู่ในคุก เขาได้ทำการรักษาลูกสาวของผู้คุมให้หายจากการตาบอด และตำนานยังกล่าวต่อไปว่าเขาได้พบรักกับลูกสาวคนนั้น และก่อนที่จะถูกตัดคอเขาได้เขียนจดหมายลาตายไปหาแฟนสาว โดยลงท้ายจดหมายว่า “Love from your Valentine” (บ้างก็ว่า “Your Valentine”)

4. ค.ศ. 496 Pop Gelasius I ได้ประกาศให้ 14 กุมภาพันธ์ เป็น The Feast of St. Valentine (คาดเดาว่า ทำเพื่อเอามาทดแทน Lupercalia)

5. ค.ศ. 1370-1389 Geoffrey Chaucer เขียน “คำกลอน” เกี่ยวกับความรัก โดยมีความเกี่ยวข้องกับวันวาเลนไทน์

6. ค.ศ. 1415 เป็นเอกสารที่เก่าแก่ที่สุดที่ระบุว่าวันวาเลนไทน์มีอยู่จริง โดยเป็นคำกลอนที่เขียนโดย Charles, Duke of Orleans ถึงภรรยาของเขาในขณะที่ตัวเองอยู่ในคุก

7. ค.ศ. 1600 ในละครของ William Shakespeare เรื่อง Hamlet มีการพูดถึงวันวาเลนไทน์

8. ศตวรรษที่ 18 เริ่มมีการเขียนการ์ดให้เพื่อนและคนรัก

9. ค.ศ. 1969 โรมันคาโทลิก ได้เอาวันวาเลนไทน์ออกจากปฏิทิน เพราะว่า ข้อมูลเกี่ยวกับ St. Valentine ไม่ชัดเจน


ในฐานะที่เป็นคริสเตียนมาเกือบ 30 ปี ผมตระหนักดีว่า วันวาเลนไทน์ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับพระคัมภีร์เลย แต่เป็นเพียงวันที่ถูกตั้งขึ้นมาเท่านั้น ซึ่งต่างจากวันคริสต์มาสและอีสเตอร์ที่ยังมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตของพระเยซูบ้าง

โดยที่ความหมายของวันคริสต์มาสและอีสเตอร์ สามารถอธิบายได้ด้วยพระคัมภีร์ข้อสำคัญข้อหนึ่ง คือ

ยน.3:16 – พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์

ดังนั้นสำหรับวันคริสต์มาสและอีสเตอร์  สิ่งที่เราควรทำคือ ระลึกถึงและขอบคุณพระเจ้าสำหรับ “ความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา” ที่ทำให้พวกเรามีความหวังในชีวิตนิรันดร์

ส่วนในวันวาเลนไทน์ ผมอยากนำเสนอข้อพระคัมภีร์อีกหนึ่งที่เขียนคล้ายๆ กัน คือ

1 ยอห์น 3:16-18 – เช่นนี้แหละเราจึงรู้จักความรัก โดยที่พระองค์ได้ยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเรา และเราก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง แต่ถ้าใครมีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแล้วยังไม่เปิดใจช่วยเขา ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในคนนั้นได้อย่างไร? ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง

ฉะนั้นโอกาสของวันวาเลนไทน์ สิ่งที่เราควรทำ คือ เราควรถ่ายโอนความรักที่เราได้จากพระเจ้าไปสู่พี่น้อง ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดเท่านั้น แต่ด้วยการกระทำและความจริง ซึ่งการแสดงความรักต่อกันและกันจะเป็นดัชนีหนึ่งที่วัดว่า เราสัมผัสความรักของพระเจ้ามากแค่ไหน

อ้างอิง

  • Oruch, J. (1981). St. Valentine, Chaucer, and Spring in February. Speculum, 56(3), 534-565.
  • Catholic Encyclopedia (1913)/Pope St. Gelasius I
  • Castledon, R. (2006). The Book of Saints by Rodney Castleden.
  • William Shakespeare, Hamlet, Act IV, Scene 5


บทความ:  ดร.อาณัติ เป้าทอง

ออกแบบภาพ:  Nan Tharinee