หลังจากกลับใจเป็นสาวกของพระเยซูแล้ว ผมเป็นสมาชิก ต่อมาเป็นอาสาสมัครรับใช้ และหลังจากนั้นเป็นศิษยาภิบาลของคริสตจักรจีนแห่งหนึ่งที่ฝั่งธนบุรีเป็นเวลา 12 ปีติดต่อกัน ในสมัยนั้นผู้นำในคริสตจักรจะเชิญผู้รับใช้อาวุโสหลายท่านแวะเวียนกันมาสอนพระคัมภีร์ในคืนวันอาทิตย์ ซึ่งแต่ละครั้งจะมีทั้งอนุชนและสมาชิกอื่นๆ มาร่วมเรียนด้วยความกระตือรือร้นคืนละหลายสิบคน ธรรมเนียมปฏิบัติอย่างหนึ่งที่เราทำกันในยุคนั้นก็คือ การเขียนคำถามถามผู้สอนเกี่ยวกับข้อสงสัยต่างๆ บางครั้งจะเป็นคำถามซึ่งเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ท่านสอน แต่ในอีกหลายๆ ครั้งก็เป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ท่านก็ยินดีตอบด้วยความเต็มใจ
จำได้ว่าในการศึกษาพระคัมภีร์คืนวันหนึ่ง ผู้รับใช้พระเจ้าที่สอนเราในคืนนั้นสอนพระธรรมมัทธิว 3:1-12 เมื่อมาถึงตอนท้ายของการเรียน แทนที่เราจะเป็นฝ่ายถามท่าน ท่านกลับเป็นฝ่ายตั้งคำถามถามเราว่า “มีใครบ้างในที่ประชุมนี้ที่ได้รับบัพติศมาด้วยไฟ?” ผลปรากฏว่าทุกคนนั่งเงียบกันหมด ด้วยเหตุผลง่ายๆว่า ไม่มีใครรู้แน่ว่าบัพติศมาด้วยไฟที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาพูดถึงในพระธรรมตอนนั้นหมายถึงอะไร หลังจากสักครู่หนึ่ง ท่านก็กล่าวต่อว่า “ถ้าหากคุณได้รับบัพติศมาด้วยไฟแล้วละก้อ นี่เป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียวแหละ!!!”
จากวันนั้นมาถึงวันนี้ เวลาผ่านไปประมาณ 40 ปี ดูเหมือนนี่ยังเป็นคำถามที่ค้างคาใจของพี่น้อง คริสเตียนหลายท่านอยู่ ในช่วง 2-3 ปีหลังนี้มีคนถามผมต่างกรรมต่างวาระหลายครั้งว่า การบัพติศมาด้วยไฟนั้นหมายถึงอะไร ดังนั้น เพื่อช่วยท่านผู้อ่านซึ่งอาจมีข้อกังขาเดียวกันคลายความข้องใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราจะพิจารณาด้วยกันว่า การบัพติศมาด้วยไฟ (มธ.3:11) นั้นแท้ที่จริงหมายถึงอะไรแน่
บริบทแวดล้อม
พระธรรมมัทธิว 3:1-12 บันทึกเกี่ยวกับพันธกิจของยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาในแคว้นยูเดีย ท่านประกาศให้ผู้ฟังของท่านหันกลับมามีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้าด้วยการกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้ และองค์พระเมสสิยาห์กำลังมา พร้อมทั้งให้บัพติศมาซึ่งแสดงถึงการกลับใจใหม่ที่ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน
ยอห์นคงจะสร้างความแตกตื่นขึ้นในหมู่ฝูงชนทางตอนใต้ของแผ่นดินอิสราเอลในเวลานั้นไม่น้อย เพราะถึงแม้ว่าท่านจะไม่ใช่รับบีผู้สอนศาสนาที่ใช้เหตุผล อ้างอิงคำสอนที่ตกทอดกันมาและให้ตัวเลือกแก่ผู้ฟัง ไม่ใช่ปุโรหิตที่เป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ หรือธรรมาจารย์ที่กำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้ผู้ฟังกระทำตาม แต่ก็มีฝูงชนมากมายพากันมาหาท่านเพื่อรับบัพติศมจากท่าน (มธ.3:5-6)
ในท่ามกลางฝูงชนที่ฟังท่านนั้นมี “พวกฟาริสีและพวกสะดูสีมากันเป็นจำนวนมาก” (มธ.3:7) ตามปกติแล้วผู้นำทางศาสนาทั้ง 2 กลุ่มนี้แม้ว่าจะเป็นสมาชิกในสภาแซนเฮดรินเหมือนกัน แต่มักจะเข้ากันไม่ค่อยได้ในหลายๆ เรื่อง เพราะความแตกต่างทางด้านความเชื่อ อุดมคติและการปฏิบัติของพวกเขา แต่ในพระธรรมตอนนี้พวกเขาร่วมมือกัน คงเพราะว่าพวกเขาเป็นตัวแทนของสภาแซนเฮดริน ซึ่งเป็นสภาสูงทางศาสนาของชาวยิวที่ถูกส่งมายังสถานที่ที่ยอห์นกำลังให้บัพติศมาอยู่ [1]
พวกเขามาทำอะไรที่ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนซึ่งยอห์นกำลังให้บัพติศมาอยู่?
ภาษากรีกของมัทธิว 3:7 มีเนื้อความที่ไม่กระจ่างนักเกี่ยวกับจุดประสงค์การมาของพวกเขา พระคัมภีร์ฉบับแปลบางฉบับถอดความว่า พวกเขามาเพื่อจะรับบัพติศมาจากยอห์น[2] ในขณะที่บางฉบับแปลใกล้เคียงภาษากรีกมากกว่าว่า พวกเขา “มายังที่ซึ่งเขา (หมายถึงยอห์น) ให้บัพติศมาอยู่”[3]
ในระหว่างความเป็นไปได้ทั้งสองนั้น อย่างหลังน่าจะมีน้ำหนักมากกว่าเพราะเหตุผลหลายประการ เช่น หากพวกเขาเป็นตัวแทนของสภาแซนเฮดรินที่ถูกส่งมา จุดประสงค์น่าจะมาเพื่อสังเกตการณ์และตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนจำนวนมากมายจึงพากันมาหายอห์นเพื่อรับบัพติศมาจากท่าน ทั้งๆ ที่ยอห์นเองก็ไม่ได้เป็นสมาชิกของสภาสูงนั้น
การมาตรวจสอบนี้อาจรวมไปถึงการจับผิดสิ่งที่ยอห์นกำลังทำด้วย ในกรณีอย่างนี้ มัทธิว 16:1-4 ยืนยันว่า เมื่อ 2 กลุ่มนี้ร่วมมือกัน พวกเขาร่วมมือกันด้วยความประสงค์ร้ายต่อผู้ที่พวกเขาประเมินว่าเป็นภัยคุกคามพวกเขา นอกจากนั้น แม้ว่าอาจจะเป็นไปได้ที่มีผู้นำทางศาสนาบางคนที่มีความสนใจในเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าและข่าวประเสริฐ (มก.12: 28-34; 15:43-47; ยน.3:1-15) แต่ผู้นำทางศาสนาแบบนี้เป็นกรณียกเว้นและมีจำนวนที่จำกัดมาก ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่พวกเขา “จำนวนมาก” (มธ. 3:7) จะเกิดความสนใจในการประกาศของยอห์นจนพากันมาหายอห์นเพื่อรับบัพติศมาจากท่านพร้อมๆกัน
ไม่เพียงเท่านั้น ลูกา 7:29-30 น่าจะเป็นพระธรรมที่ชี้ขาดในเรื่องนี้ “ทุกคนรวมทั้งบรรดาคนเก็บภาษี เมื่อได้ยินก็ยอมรับว่าพระเจ้าทรงยุติธรรม โดยเขาได้รับบัพติศมาจากยอห์นแล้ว แต่พวกฟาริสีและพวกผู้เชี่ยวชาญบัญญัติไม่ยอมรับพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา โดยเขาไม่รับบัพติศมาจากยอห์น”
ด้วยเหตุนี้ การมาของพวกเขาจึงน่าจะมีความประสงค์ร้ายมากกว่าดี พวกเขาคอยจับผิดพระเยซูในเวลาต่อมาฉันใด พวกเขาก็คงจะมาด้วยเจตนาที่ไม่ต่างกันนักในกรณีของยอห์นในมัทธิว 3 ฉันนั้น
ยอห์น กล่าวกับพวกเขาโดยตรงว่า “พวกชาติงูร้าย” ซึ่งมีความหมายว่า พวกเขามีพิษมีอันตรายมากไม่ต่างไปจากอสรพิษ อันเป็นลักษณะที่บ่งบอกถึงการไม่กลับใจใหม่ พวกเขาไม่ได้มีผลที่สมกับการกลับใจใหม่ (มธ. 3:8) ด้วยเหตุนี้ ถ้อยคำของยอห์นที่ว่า “ใครเตือนพวกท่านให้หนีจากพระพิโรธที่จะมานั้น” (มธ.3:7) จึงน่าจะเป็นถ้อยคำเสียดสีเหน็บแนม (irony) [4] ซึ่งสื่อความหมายว่า “ในเมื่อพวกเจ้าไม่ได้กลับใจใหม่ พวกเจ้าจะมายังที่ที่เราให้บัพติศมาทำไมกัน?”
หลังจากกล่าวเตือนพวกเขาว่าชาติตระกูลไม่สามารถช่วยให้พ้นจากพระพิโรธของพระเจ้าแล้ว (มธ.3:8-9) ยอห์นจึงจบถ้อยคำประกาศของท่านใน 3 ข้อถัดมาด้วยการกล่าวว่า
“บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องถูกตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ ข้าพเจ้าให้ท่านรับบัพติศมาด้วยน้ำแสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังข้าพเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะถือฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ พระองค์ทรงถือพลั่วอยู่ในพระหัตถ์แล้ว และจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว พระองค์จะทรงรวบรวมเมล็ดข้าวของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่มีวันดับ” (มัทธิว 3:10-12)
ข้อสังเกตบางประการ
ก่อนที่จะพิจารณาความหมายของการ “บัพติศมาด้วยไฟ” ที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาพูดถึง ผมอยากจะตั้งข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับพระธรรมตอนนี้ในมัทธิวบทที่ 3 และข้อพระคัมภีร์คู่ขนานที่พูดถึงเหตุการณ์เดียวกันแต่ไปปรากฏอยู่ในพระธรรมเล่มอื่นๆ ในพันธสัญญาใหม่ มีสิ่งที่น่าสังเกตหลายอย่างด้วยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้
ประการแรก เราสามารถจำแนกคนในกลุ่มผู้ฟังของยอห์นในวันนั้นได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มที่กลับใจใหม่ สารภาพความผิดบาป และรับบัพติศมาจากยอห์นเพื่อแสดงถึงการกลับใจใหม่ (3:5-6) และกลุ่มผู้นำทางศาสนาของคนยิวที่ไม่ได้กลับใจใหม่ แต่ก็ยังมายังที่ที่ยอห์นกำลังให้รับบัพติศมาด้วยจุดประสงค์เพื่อสังเกตการณ์และอาจจะเพื่อจับผิดสิ่งที่ยอห์นเทศนาและทำด้วย (3:7-9)
ประการที่ 2 ในคำประกาศของยอห์นใน 3:10-12 ยอห์นพูดถึงสิ่งต่างๆ เป็นคู่ ทั้งที่ระบุชัดเจนและที่บ่งบอกเป็นนัยเท่านั้น โดยส่วนหนึ่งของแต่ละคู่มีความหมายในเชิงลบ และอีกส่วนหนึ่งมีความหมายในเชิงบวก
ในข้อ 10 ท่านพูดถึงต้นไม้ที่ไม่เกิดผลดีว่าจะต้องถูกตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ (เชิงลบ) ซึ่งบ่งบอกเป็นนัยว่าต้นไม้ที่ไม่ถูกตัดทิ้งก็คือต้นไม้ที่เกิดผลดี (เชิงบวก) และผลที่ว่านี้ก็คือผลที่สมกับการกลับใจใหม่ (3:8)
หลังจากนั้น ในข้อ 12 ท่านพูดถึง “เมล็ดข้าว” ซึ่งจะถูกเก็บไว้ในยุ้งฉาง (เชิงบวก) ส่วน “แกลบ” นั้นจะถูกเผาด้วยไฟ (เชิงลบ)
ประการที่ 3 ในข้อ 10-12 ยอห์นพูดถึงไฟทั้งหมด 3 ครั้งด้วยกัน เนื้อหาทำให้เห็นชัดว่า
ไฟในข้อ 10 หมายถึงการพิพากษา (“ทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องถูกตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ”)
และไฟในข้อ 12 ก็หมายถึงการพิพากษาเช่นกัน (“พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่มีวันดับ”)
ทั้ง 2 ข้อนี้ล้อมกรอบข้อ 11 ซึ่งพูดถึงการบัพติศมาด้วยไฟ ในเมื่อ 3 ข้อนี้อยู่ติดกันและใช้ภาพของไฟเหมือนกัน ในเนื้อหาที่เป็นคำประกาศจากคนคนเดียวกันที่กล่าวต่อฝูงชนเดียวกัน ดังนั้น ไฟทั้งสามครั้งน่าจะมีควาหมายเหมือนกัน
ประการที่ 4 คำกรีกที่แปลว่า “ไฟ”[5] ปรากฏในมัทธิวทั้งหมด 12 ครั้ง (3:10, 11, 12; 5:22; 7:19; 13:40, 42, 50; 17:15; 18:8, 9; 25:41)
ถ้าไม่นับ 3:11 ซึ่งเป็นข้อที่เรากำลังพิจารณาอยู่ ในจำนวน 11 ครั้งที่เหลือนั้น มีถึง 10 ครั้งด้วยกันที่ไฟสื่อความหมายถึงการพิพากษา (ยกเว้น 17:15 ที่หมายถึงไฟจริงๆตามตัวอักษร) ดังนั้น ในภาพรวมของพระธรรมมัทธิว ภาพของไฟเกือบจะทั้งหมดเป็นภาพของการพิพากษา
ประการที่ 5 ถึงแม้ว่าถ้อยคำของยอห์นในข้อ 11 นั้นมีปรากฏในพันธสัญญาใหม่ทั้งหมด 6 ครั้งด้วยกัน (มธ. 3:11; มก. 1:8; ลก. 3:16-17; ยน. 1:33; กจ. 1:5; 11:16) แต่น่าสังเกตเป็นอย่างมากว่า การบัพติศมาด้วยไฟจะถูกพูดถึงในบริบทที่คำประกาศของยอห์นพูดเกี่ยวกับเรื่องการพิพากษาเท่านั้น (มธ.3:11; ลก. 3:16-17)
ในพระธรรมตอนอื่นๆ ที่เหลือนั้น เนื้อหาไม่ได้พูดถึงการพิพากษาและไม่ได้กล่าวถึงการบัพติศมาด้วยไฟด้วย เพียงแต่พูดถึงการบัพติศมาด้วยพระวิญญาณซึ่งพระเยซูจะทรงประทานแก่ผู้ที่กลับใจใหม่และต้อนรับพระองค์เท่านั้น
บัพติศมาด้วยพระวิญญาณและบัพติศมาด้วยไฟ: อย่างเดียวกันหรือ 2 อย่างที่ต่างกัน?
ก่อนที่เราจะสามารถระบุได้ว่า การบัพติศมาด้วยไฟหมายถึงอะไร เราต้องตัดสินใจก่อนว่า ถ้อยคำของยอห์นที่ว่า “พระองค์จะทรงให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ” (มธ.3:11) นั้น กล่าวถึงบัพติศมาเพียงอย่างเดียวหรือ 2 อย่าง?
การบัพติศมาอย่างเดียวกัน
พี่น้องคริสเตียนบางท่านตีความว่าถ้อยคำของยอห์นนั้นเป็นโวหาร hendiadys ซึ่งเป็นโวหารที่พูดถึงสิ่งเดียวกันด้วยคำ 2 คำที่ต่างกัน [6] ผู้ที่ไปกับในทัศนะนี้จะตีความว่าทั้งบัพติศมาด้วยพระวิญญาณและบัพติศมาด้วยไฟหมายถึงสิ่งเดียวกัน [7] คำถามจึงเกิดขึ้นตามมาว่า สิ่งนั้นคืออะไร?
เนื่องจากข้อ 10 และ ข้อ 12 ที่ล้อมข้อ 11 อยู่พูดถึงไฟ 2 ครั้งและทั้ง 2 ครั้งล้วนแล้วแต่หมายถึงการพิพากษา (ข้อสังเกตที่ 3 ข้างต้น) ดังนั้น ถ้าบัพติศมาที่ยอห์นกล่าวถึงในข้อ 11 หมายถึงสิ่งเดียวกัน ความหมายที่เป็นธรรมชาติที่สุดในบริบทนี้ก็ต้องหมายถึงการพิพากษาด้วย แต่ความหมายนี้จะขัดแย้งกับตอนต่างๆ ที่กล่าวถึงบัพติศมาด้วยพระวิญญาณว่าเป็นบัพติศมาสำหรับผู้เชื่อ (ดูข้อสังเกตที่ 5 ข้างต้น)
พี่น้องคริสเตียนบางท่านตระหนักถึงปัญหานี้จึงหาทางออกด้วยการตีความว่า บัพติศมาที่ยอห์นพูดถึงนั้นหมายถึงการชำระให้บริสุทธิ์ ถ้าหากนี่เป็นความหมายของยอห์น สิ่งนี้คงจะแปลกพอประมาณเพราะนอกจากบริบทแวดล้อมในข้อ 10 และ 12 ไม่เอื้อให้กับความหมายนี้แล้ว บริบทของพระธรรมทั้งตอนในบทที่ 3 นี้ก็ไม่มีเงื่อนงำใดที่ชวนให้คิดว่าการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยไฟเป็นความหมายของยอห์นเมื่อท่านกล่าวกับฝูงชนในวันนั้น
ยังมีพี่น้องคริสเตียนอีกบางท่านตีความว่า บัพติศมาที่ยอห์นพูดถึงนั้นหมายถึงสิ่งเดียวกันคือ การรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และอ้างอิงถึงปรากฏการณ์ในวันเพ็นเทคอสต์ใน กิจการ 2:1-4 ซึ่งมี “เปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้น” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จุดอ่อนของทัศนะนี้ก็คือ นอกจากบริบทในข้อ 10 และ 12 ไม่เอื้อให้กับการตีความอย่างนี้แล้ว ยังเป็นสิ่งที่น่ากังขาอย่างมากว่า ผู้ฟังของยอห์นในวันนั้นจะสามารถเข้าใจยอห์นได้หรือไม่ถ้าหากนี่เป็นความหมายที่ยอห์นต้องการสื่อกับพวกเขา!!!!
ดังนั้น การตีความว่าบัพติศมาที่ยอห์นพูดถึงนั้นหมายถึงบัพติศมาเดียวกันจึงดูจะถึงทางตัน ไม่ว่าจะโดยการพิจารณาบริบทแวดล้อมของ มธ.3:1-12 หรือบริบทกว้างของพันธสัญญาใหม่ก็ตาม เป็นสภาวะที่ขึ้นหน้าติดกุกถอยหลังติดกัก
การบัพติศมา 2 อย่างที่ต่างกัน
ในปัจจุบัน นักวิชาการพันธสัญญาใหม่จำนวนมากจึงมีความเห็นว่า บัพติศมาทั้งสองที่ยอห์นกล่าวถึงนั้นเป็นคนละอย่างกัน ในทัศนะนี้ การบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น ผู้ที่กลับใจใหม่และต้อนรับพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอดของเขา (มธ.1:21) เท่านั้นจึงจะรับจากพระองค์ได้ ส่วนผู้ที่ไม่ยอมกลับใจใหม่ต้อนรับพระองค์ พวกเขาจะได้รับบัพติศมาด้วยไฟซี่งก็คือการพิพากษาจากพระองค์ในวันแห่งการพิพากษานั่นเอง
รายละเอียดต่างๆ สนับสนุนทัศนะนี้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ฟังของยอห์นที่มีทั้งคนที่กลับใจใหม่และคนที่ไม่ยอมกลับใจใหม่ (ข้อสังเกตที่ 1 ข้างต้น) ยอห์นพูดกับพวกเขาทั้งสองฝ่ายตลอดข้อ 10-12
นอกจากนั้น ภาพเปรียบเทียบในเชิงบวกและเชิงลบของต้นไม้ที่ไม่เกิดผลและต้นไม้ที่เกิดผลดี เมล็ดข้าวที่จะถูกเก็บเข้ายุ้งฉางและแกลบที่จะถูกเผาด้วยไฟที่ไม่มีวันดับ (ข้อสังเกตที่ 2 ข้างต้น) ก็ชี้ชวนให้คิดถึงการปฏิบัติที่พวกเขาทั้งสองกลุ่มจะได้รับจากพระเยซูบนพื้นฐานของการกลับใจใหม่หรือการไม่ยอมกลับใจใหม่
ยิ่งกว่านั้น ภาพของไฟแห่งการพิพากษาในข้อ 10 และ 12 ซึ่งทำให้ความหมายของไฟในการบัพติศมาด้วยไฟในข้อ 11 น่าจะมีความหมายเดียวกัน (ข้อสังเกตที่ 3) ก็ชี้ไปในทิศทางเดียวกัน หรือแม้กระทั่ง ความหมายโดยรวมของไฟในพระธรรมมัทธิวซึ่งเกือบจะทั้งหมดล้วนแล้วแต่หมายถึงการพิพากษา (ข้อสังเกตที่ 4) อีกทั้งการอ้างอิงถึงคำกล่าวเดียวกันนี้ของยอห์นในพระธรรมตอนอื่น ๆ ในพันธสัญญาใหม่ (ข้อสังเกตที่ 5) บริบททั้งใกล้และไกลต่างเทน้ำหนักให้กับการพิจารณาว่า นี่เป็นบัพติศมาคนละอย่างกัน
ข้อสรุป
ด้วยเหตุผลที่ได้นำเสนอไปข้างต้น ผมจึงสรุปว่า การบัพติศมาด้วยไฟ น่าจะหมายถึง การพิพากษาซึ่งคนที่ไม่ยอมกลับใจใหม่และต้อนรับพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์พระผู้ช่วยให้รอดของเขาจะได้รับในวันแห่งการพิพากษา มันจะเป็นการพิพากษาที่น่ากลัวมากเปรียบเหมือนต้นไม้ที่ถูกตัดแล้วโยนลงไปในกองไฟ (มธ.3:10) และเหมือนแกลบที่จะถูกเผาด้วยไฟ “ที่ไม่มีวันดับ” (มธ.3:12) หนทางเดียวในการหนีจากพระพิโรธดังกล่าวก็คือ การกลับใจใหม่ซึ่งมีผลเป็นความประพฤติที่สมกับการกลับใจนั้น (ดูข้อพระธรรมคู่ขนานใน ลก. 3:8, 10-14) และรับเอาพระเยซู พระเมสสิยาห์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด (มธ.1:21) ของเขา
เชิงอรรถ
[1] ในภาษากรีกของ มธ.3:7, มีคำนำหน้านาม (article) อยู่เพียงตัวเดียวด้านหน้าชื่อของทั้งสองกลุ่ม สิ่งนี้บ่งบอกว่าทั้งสองกลุ่มในพระธรรมตอนนี้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดเหมือนกับกลุ่มเดียวกัน (ดู มธ.16:1-4 ด้วย)
[2] พระคัมภีร์ฉบับ 1971, THSV 2011, LB., RSV, TEV, JB, NEB, NRSV
[4] Matthew S. Demoss, Pocket Dictionary for the Study of New Testament Greek (Downers Grove, Illinois: IVP, 2001), 75-76.
[6] Matthew S. Demoss, Pocket Dictionary for the Study of New Testament Greek, 66. โวหารนี้เป็นแบบเดียวกับที่คริสเตียนไทยบางครั้งเป็นพยานว่า “ผมโมทนาและขอบพระคุณพระเจ้า” เขาใช้ 2 คำที่ต่างกันแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำ 2 อย่างที่ต่างกัน! คำทั้งสองนั้นถูกใช้คู่กันไปในการพูดถึงการเป็นพยานของคนนั้น
[7] เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งในการตีความอย่างนี้ก็คือ มธ.3:11 มีคำบุพบท คำเดียวนำหน้าคำนาม 2 คำที่ถูกเชื่อมด้วยคำว่า
โครงสร้างของประโยคแบบนี้พาไปสู่ข้อสรุปว่า คำนามทั้งสองที่ตามหลังบุพบท
น่าจะหมายถึงสิ่งเดียวกัน แต่โครงสร้างประโยคอย่างนี้ในภาษากรีกไม่จำเป็นต้องหมายความว่า คำนามทั้งสองหมายถึงสิ่งเดียวกัน ดังจะเห็นได้จากโครงสร้างเดียวกันใน มธ.4:13 เป็นต้น
บรรณานุกรม
สไตน์, โรเบิร์ต เอช. พระเยซู พระเมสสิยาห์: สำรวจชีวิตของพระคริสต์ แปลจาก Jesus the Messiah โดย ธนาภรณ์ ธรรมสุจริตกุล. กรุงเทพมหานคร : ศูนย์ทีรันนัส, 2005.
Blomberg, Craig L. Jesus and the Gospels. Nashville, Tennessee: Broadman & Holman Publishers, 1997.
________. Matthew (NAC). Nashville, Tennessee: Broadman Press, 1992.
Carson, D. A. “Matthew.” In The Expositor’s Bible Commentary, vol. 8. pp. 3-602. Edited by Frank E. Gaebelein. Grand Rapids, Michigan: Zondervan Publishing House, 1984.
France, R. T. Matthew (TNTC). Grand Rapids, Michigan: William B. Eerdmans Publishing Company, 1985.
Gundry, Robert H. Commentary on the New Testament. Peabody, Massachusetts: Hendrickson, 2010.
Green, Michael. Matthew for Today. Dallas: Word Publishing, 1988.
Hagner, Donald A. Matthew, 2 vols (Word). Dallas, Texas: Word Books, Publisher, 1993.
Keener, Craig S. A Commentary on the Gospel of Matthew. Grand Rapids, Michigan: Wm. B.
Eerdmans Publishing Company, 1999
Grant R. Osborne, Matthew (ZECNT) (Grand Rapids, Michigan : Zondervan Publishing House, 2010), pp. 41-47.
Wilkins, Michael J. Matthew (NIVAC). Grand Rapids, Michigan: Zondervan Publishing House, 2004.
Wright, N. T. Matthew for Everyone, 2 Vols. Louisville: Westminster John Knox Press, 2004.
บทความ: ศจ.ดร.เอษรา โมทนาพระคุณ
ออกแบบ: Nan Tharinee
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น