หลักคำสอนเรื่องหนึ่งที่ผมเป็นกังวลในท่ามกลางผู้เชื่อยุคปัจจุบันของอเมริกาก็คือ การทึกทักเอาว่า “การนมัสการ” เป็นคำที่ใช้เพื่อหมายถึง การร้องบทเพลงแห่งการนมัสการ เท่านั้น เราเห็นคนที่อาสาตัวมารับใช้หรือเป็นผู้รับใช้เต็มเวลาในบทบาทนักดนตรีของคริสตจักร มักถูกยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเขาคือ ผู้นำนมัสการ (worship leader) หรือ ศิษยาภิบาลด้านการนมัสการ (worship pastor)
ส่วนสมาชิกที่ทำหน้าที่ต่างๆ ในรอบนมัสการ ไม่ว่าจะเป็นถวายทรัพย์ อาสาตัวรับใช้ สอนพระคัมภีร์ ช่วยเหลือผู้ขัดสน ใช้เวลาอธิษฐาน และทำหน้าที่ต่างๆซึ่งแสดงออกถึงหัวใจที่เสียสละของพระเจ้า พวกเขาทั้งหมดจะต้องหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ เมื่อผู้นำนมัสการพูดว่า “ให้พวกเราเตรียมเข้าสู่การนมัสการ”
การใช้คำว่า “เข้าสู่การนมัสการ” หรือ “มานมัสการ” นั้น
กลายเป็นความหมายสากลที่ทุกคนต่างเข้าใจตรงกันว่า
หมายถึง นักดนตรีพร้อมแล้ว หรี่ไฟได้ และเริ่มเล่นเพลง
ความเข้าใจแบบนี้อันตรายกว่าการเบี่ยงเบนความหมายโดยไม่เจตนาเสียอีก และมันไม่ใช่ปัญหาเรื่องดนตรี ผมยืนยันตรงนี้ว่า ไม่มีอะไรผิดเกี่ยวกับดนตรีอย่างแน่นอน เพราะที่จริงบทเพลงและดนตรี จะยิ่งช่วยให้เราแสดงออกอย่างจริงใจในความรัก, การสรรเสริญพระเจ้า และการนมัสการพระเจ้า
ส่วนข้อกังวลที่ผมมีต่อคำว่า “การนมัสการ” ก็คือ ความหมายที่แท้จริงของคำนี้ ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความเชื่อ แต่กลับถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงและสมบูรณ์ – ไม่ใช่เพราะการแปลความหมายที่คลาดเคลื่อนโดยไม่เจตนา แต่เป็นการจงใจทำให้เข้าใจยาก โดยนิสัยที่เคยชิน และบ่อยครั้งก็เป็นเพราะวัฒนธรรมบูชารูปเคารพ
มีความเชื่อมโยงของคำว่า “การนมัสการ” และ “ดนตรี” ในพระคัมภีร์หรือไม่?
เมื่อค้นหาคำว่า “การนมัสการ” ในพระคัมภีร์ที่ BibleGateway.com ผมตรวจดูการแปลภาษาอังกฤษของคำนี้ในฉบับ NIV พบว่ามีการใช้คำว่า “การนมัสการ” ในบริบททางวรรณกรรมของดนตรีจริงๆ เพียงแค่ 3 ครั้ง จากทั้งหมด 254 ครั้ง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1.2% ที่พวกเราเอามายืนยันว่า “การนมัสการ” และ “ดนตรี” เป็นสิ่งที่คู่กันในบริบททางวรรณกรรมจริงๆ
ครั้งแรก อยู่ใน 2 พงศาวดาร 29:27-28 :
(27) แล้วเฮเซคียาห์ทรงบัญชา ให้ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวบนแท่น เมื่อเครื่องบูชาเผาทั้งตัวเริ่มถวาย เพลงที่ถวายแด่พระยาห์เวห์พร้อมกับแตรและเครื่องดนตรีต่างๆ ของดาวิดพระราชาของอิสราเอลก็เริ่มขึ้นด้วย (28) ชุมนุมชนทั้งหมดก็นมัสการ นักร้องก็ร้องเพลง และแตรก็เป่า ทำทุกอย่างนี้อยู่จนถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวเสร็จ
สังเกตได้ว่านักดนตรีกำลังเล่นดนตรี ในขณะที่คนอื่นๆ อยู่ในห้วงการนมัสการ แม้สิ่งนี้จะเป็นภาพที่ดูงดงามในหัว ว่าคือการแสดงออกอย่างจริงใจต่อความรักพระเจ้า แต่ความสัมพันธ์ระหว่าง “การนมัสการ” กับ “ดนตรี” กลับดูเป็นเรื่องเฉพาะกิจและประจวบเหมาะ เพราะพบการอ้างอิงถึงคำว่า “นมัสการ” อย่างมากมาย ใน 1 และ 2 พงศาวดาร แต่กลับไม่ปรากฏบริบททางดนตรีอย่างชัดเจน ขณะที่บางคำมีความเกี่ยวข้องกับการบูชารูปเคารพ ตัวอย่างเช่น
- จงถวายพระเกียรติซึ่งควรแก่พระนามของพระองค์แด่พระยาห์เวห์ จงนำเครื่องบูชามาเข้าเฝ้าพระองค์ จงนมัสการพระยาห์เวห์ในความงดงามแห่งความบริสุทธิ์ – 1 พงศาวดาร 16:29
. - แล้วเราจะสถาปนาบัลลังก์ของเจ้า ดังที่เราได้ทำพันธสัญญาไว้กับดาวิดบิดาของเจ้าว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดชายที่จะครอบครองเหนืออิสราเอล’ “แต่ถ้าเจ้าทั้งหลายหันไปและละทิ้งกฎเกณฑ์และบัญญัติของเราซึ่งเราตั้งไว้ต่อหน้าพวกเจ้า และไปปรนนิบัติพระอื่นๆ และนมัสการพระเหล่านั้น แล้วเราจะถอนเขาทั้งหลายจากแผ่นดินของเรา ซึ่งเราได้ให้แก่พวกเขาและเราจะเหวี่ยงนิเวศซึ่งเราทำให้บริสุทธิ์เพื่อนามของเราไปจากสายตาของเรา และเราจะทำให้เขาเป็นคำเปรียบเปรยและเป็นขี้ปากในหมู่ชนชาติทั้งหลาย” – 2 พงศาวดาร 7:18-20
จากข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ คำว่า “นมัสการ” ดูเหมือนจะหมายถึงบางสิ่งที่แตกต่างออกไป เช่น การแสดงออกที่มุ่งมั่น ความทุ่มเทใส่ใจ ความรัก และการมอบถวาย
ครั้งที่สอง อยู่ใน ดาเนียล 3:4-6 :
การใช้คำว่า “การนมัสการ” ในครั้งที่สองเป็นการใช้ในบริบทที่เชื่อมโยงกับดนตรีในพระธรรมดาเนียล ซึ่งมีการเรียกร้องให้บูชารูปเคารพในพระนามของกษัตริย์เนบูคัสเนสซาร์ และรูปปั้นของพระองค์
(4) โฆษกก็ประกาศเสียงดังว่า “พระราชามีพระราชโองการมายังชนทุกชาติทุกเผ่าทุกภาษา (5) เมื่อท่านทั้งหลายได้ยินเสียงเขาสัตว์ ปี่ พิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุง และเครื่องดนตรีทุกชนิด ให้ท่านกราบลงนมัสการปฏิมากรทองคำ ซึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ทรงตั้งไว้ (6) ผู้ใดไม่กราบนมัสการก็ให้โยนผู้นั้นเข้าไปในเตาที่ไฟลุกอยู่ทันที” – ดาเนียล 3:4-6
ในตอนนี้ ดนตรีถูกใช้ เพื่อเป็นสัญญาณในการกราบนมัสการรูปเคารพ “การนมัสการ” ในที่นี้ จึงไม่ใช่ การร้องเพลง หรือ การบรรเลงดนตรีแต่อย่างใด
ครั้งที่สาม อยู่ใน สดุดี 100:2 :
การใช้คำว่า “นมัสการ” ในครั้งที่สาม ถูกใช้ในความหมายที่ใกล้กับการอ้างอิงถึงดนตรี
“จงปรนนิบัติพระยาห์เวห์ด้วยความยินดี จงเข้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยการร้องเพลง” – สดุดี 100:2
พระคัมภีร์ข้อนี้ เป็นการเอ่ยถึง 2 คำสั่งที่แตกต่างกันชัดเจน และมาเติมเต็มซึ่งกันและกัน แม้ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
และจากการใช้คำแปลภาษาอังกฤษทั้งหมด 254 ครั้ง ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่สื่อว่า การนมัสการ คือ การร้องเพลงด้วยความเคารพบูชาต่อพระเจ้า หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับดนตรี ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างที่ปรากฏในข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้
- อับราฮัมจึงพูดกับคนใช้ทั้งสองของท่านว่า “อยู่กับลาที่นี่เถิด เรากับลูกจะเดินไปที่โน้นนมัสการพระเจ้า แล้วจะกลับมาหาพวกเจ้า – ปฐมกาล 22:5
. - พระองค์ตรัสว่า “เราจะอยู่กับเจ้าแน่ นี่เป็นหมายสำคัญให้เจ้ารู้ว่าเราใช้เจ้าไป คือเมื่อเจ้านำประชากรออกจากอียิปต์แล้ว เจ้าทั้งหลายจะมานมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้” – อพยพ 3:12
. - พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงไปหาฟาโรห์บอกว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “จงปล่อยประชากรของเราไปนมัสการเรา” – อพยพ 8:1
. - แล้วไปปรนนิบัตินมัสการพระอื่น เป็นพระซึ่งเขาไม่เคยรู้จัก และซึ่งพระองค์ไม่ได้ประทานแก่เขา – เฉลยธรรมบัญญัติ 29:26
ในวัฒนธรรมดั้งเดิมต่างๆ ของสังคม ส่วนใหญ่คำว่า “นมัสการ” จะถูกเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ ซึ่งอาจแตกต่างกันมากมายตามจินตนาการ ได้แก่ ..
การอธิษฐาน การเพ่งมอง การใคร่ครวญ และก็เป็นการร้องเพลงและเต้นรำในงานเฉลิมฉลองด้วย แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ การเชื่อฟัง การเอาใจใส่ และ การให้เกียรติ
แต่ก็ไม่พบคำว่า “นมัสการ” ถูกใช้ในความหมายโดดๆ ที่สื่อถึงการร้องเพลงเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อบูชารูปเคารพต่างๆ
ครั้งสุดท้ายที่มีคนพยายามอ้างจากพระคัมภีร์เดิมว่า มีการนมัสการพระเทียมเท็จด้วยการร้องเพลงให้รูปเคารพนั้น คือเมื่อใด? แน่นอนว่านั่นอาจเป็นรูปแบบหนึ่งของการนมัสการ แต่ไม่อาจเป็นข้อสรุปที่ว่าผู้คนส่วนใหญ่ควรทำเช่นเดียวกัน
แล้วทำไมเราจึงใช้ข้อสรุปนี้ เมื่อพูดถึงการนมัสการพระเจ้าในปัจจุบัน?
โปรดอย่าเข้าใจผมผิด พวกเรามักถูกสั่งสอนให้สรรเสริญพระเจ้าด้วยบทเพลง
- ขอให้ถ้อยคำของพระคริสต์ตั้งรกรากอยู่ในกลุ่มพวกคุณอย่างเหลือล้น คือให้สั่งสอนเตือนสติซึ่งกันและกันด้วยสติปัญญาทั้งสิ้น และร้องเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญ และเพลงจากพระวิญญาณ (singing psalms and hymns and spiritual songs) ให้ร้องเพลงเหล่านี้สุดหัวใจถวายให้กับพระเจ้าด้วยใจกตัญญู– โคโลสี 3:16 THA-ERV
- อย่าเมาเหล้าองุ่น มันจะทำให้คุณเสียคนได้ แต่ให้เต็มไปด้วยพระวิญญาณดีกว่า คือร้องเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญ และเพลงจากพระวิญญาณให้กันและกัน (addressing one another in psalms and hymns and spiritual songs) และให้ร้องเพลงสรรเสริญองค์เจ้าชีวิตจากใจ และขอบคุณพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาของเราเสมอสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ในฐานะเป็นคนของพระเยซูคริสต์เจ้า – เอเฟซัส 5:18-20 THA-ERV
แต่ไม่มีสักแห่งในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่
ที่ให้คำแนะนำแก่เราว่า
การสร้างเสียงเพลง คือ “การนมัสการ”
หลายต่อหลายครั้งที่พระคัมภีร์ กล่าวถึง การก้มลงคุกเข่า เพื่อถ่อมใจลงและยอมจำนน รวมถึงการแสดงความเคารพบูชาผ่านทางคำพูด (คำอธิษฐาน)
- ชายนั้นก็ก้มลงนมัสการพระยาห์เวห์ – ปฐมกาล 24:26
. - แล้วข้าพเจ้าก็ก้มลงนมัสการพระยาห์เวห์ และสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของอับราฮัมนายข้าพเจ้า ผู้ทรงนำข้าพเจ้ามาตามทางที่ถูก เพื่อหาบุตรสาวของญาตินายให้บุตรชายท่าน – ปฐมกาล 24:48
. - ประชาชนก็เชื่อ เมื่อได้ยินว่าพระยาห์เวห์เสด็จมาเยี่ยมเยียนชนชาติอิสราเอล และทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ยากของพวกเขา พวกเขาต่างกราบลงนมัสการ – อพยพ 4:31
. - โมเสสจึงรีบกราบลงถึงดินนมัสการ – อพยพ 34:8
. - เมื่อพวกนักปราชญ์ได้เห็นดาวนั้นแล้วก็มีความยินดียิ่งนัก เมื่อเข้าไปในบ้านก็พบพระกุมารกับนางมารีย์มารดา จึงก้มลงนมัสการพระกุมารนั้น แล้วเปิดหีบสมบัติของพวกเขาและถวายเครื่องบรรณาการแด่พระกุมาร คือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ แล้วพวกนักปราชญ์ได้รับคำเตือนในความฝัน ไม่ให้กลับไปเฝ้าเฮโรด พวกเขาจึงกลับไปยังเมืองของพวกตนทางอื่น – มัทธิว 2:10–12
. - อีกครั้งหนึ่งมารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาที่สูงมาก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร แล้วได้ทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านจะก้มลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน” พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’” – มัทธิว 4:8–10
. - ข้าพเจ้าคือยอห์น เป็นผู้ที่ได้ยินและได้เห็นเหตุการณ์เหล่านี้ และเมื่อข้าพเจ้าได้ยินและได้เห็นแล้ว ข้าพเจ้าก็ทรุดตัวลงนมัสการแทบเท้าทูตสวรรค์ที่สำแดงสิ่งเหล่านี้แก่ข้าพเจ้า แต่ท่านกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “อย่าทำแบบนี้ เราเป็นผู้ร่วมรับใช้เช่นเดียวกับท่านและพวกพี่น้องของท่าน ซึ่งเป็นพวกผู้เผยพระวจนะ และพวกที่ถือรักษาถ้อยคำในหนังสือนี้ จงนมัสการพระเจ้าเถิด” – วิวรณ์ 22:8-9
ก้มกราบลง (Bowing down) ครั้งสุดท้ายที่คุณเห็น “ผู้นำนมัสการ” ของคริสตจักร ก้มลงคุกเข่าต่อพระเจ้า เพื่อนำผู้คนในที่ประชุมเข้าสู่การนมัสการ คือเมื่อใด?
ความหมายที่แท้จริงของคำว่า “การนมัสการ”
อันตรายของการเรียก ดนตรี ว่า “การนมัสการ” คือ การหลงลืมความหมายที่แท้จริงของคำว่า “การนมัสการ” และแทนที่อย่างง่ายดายด้วยความบันเทิง และการแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ผ่านเสียงดนตรีเพียงเท่านั้น
คำแนะนำและคำจำกัดความที่ชัดเจนที่สุดเพียงหนึ่งเดียว
ในพันธสัญญาใหม่ เกี่ยวกับกิจกรรมใน “การนมัสการ” นั้น
ห่างไกลจากความบันเทิงและสิ่งรบกวน
แต่นำไปสู่สาระสำคัญของ การจดจ่ออย่างตั้งใจ
การแสวงหาความจริง และการเชื่อฟัง
คำจำกัดความนี้อยู่ใน ยอห์น 4:24 และ โรม 12:1-2
“พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” – ยอห์น 4:24
ไม่มีคำพูดใดที่กล่าวว่า “พระเจ้าเป็นผู้คลั่งไคล้ดนตรี และผู้ที่นมัสการพระองค์ จะต้องนมัสการด้วยบทเพลงและประสานเสียงพร้อมเพรียงกัน”
ไม่มีอะไรผิดเกี่ยวกับดนตรี และไม่ได้หมายความว่า การนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง จะไม่เกิดขึ้นเมื่อเราเชื่อมต่อกับดนตรี แต่ให้เรามีมุมมองต่อมันในแบบที่ควรจะเป็น ไม่ใช่ตามรูปแบบที่เราปรุงแต่งขึ้น
ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่าน อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม – โรม 12:1-2
ในฐานะผู้เชื่อในพันธสัญญาใหม่ นี่คือ ท่าทีแห่ง “การนมัสการ” ที่แท้จริง คือ การยอมจำนนอย่างแท้จริงในทุกสิ่ง ต่อพระวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา ด้วยการมีชีวิตที่บริสุทธิ์และมุ่งมั่นทำให้พระองค์พอพระทัย ใช้ชีวิตที่แตกต่างจากวิถีของโลก ซึ่งรักในรูปเคารพ เช่น การนมัสการดนตรี
ที่จริงแล้วดนตรีได้กลายเป็นรูปเคารพของคริสตจักรอเมริกัน แทนที่จะเป็นเพียงเครื่องมือบอกเวลาแห่งการจดจ่อและอธิษฐานต่อพระเจ้า ดนตรีกลับกลายเป็นสิ่งที่เราจดจ่อและให้ความสำคัญ
ผมชอบดนตรี ผมชอบเพลงที่ “คู่ควรแก่การนมัสการ” ผมเชื่อว่าเราสามารถนมัสการพระเจ้าได้อย่างแท้จริงผ่านบทเพลง และคนที่ “เล่นดนตรี” อย่างตั้งใจที่สุดนั้น มักจะนมัสการได้ดี ผมไม่ได้ต่อต้านสิ่งเหล่านั้น แต่ผมไม่คิดว่าดนตรีเป็นรูปแบบที่ดีที่สุดของการนมัสการ
การคุกเข่าลงยอมจำนน การอธิษฐาน การอ่านและเชื่อฟังพระคัมภีร์ การดูแลใส่ใจผู้อื่น ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า
ผู้นำนมัสการตัวจริงไม่จำเป็นต้องถือไมโครโฟน
ตอนที่ผมเป็นวัยรุ่นอายุราวๆ 20 ผมพยายาม “นำนมัสการ” หมายถึง ผมเคยเล่นกีตาร์และร้องเพลง และผมคิดไปเองว่า นี่คือบทบาทในการนำผู้คนเข้าสู่การทรงสถิตของพระเจ้า แต่กระบวนการทั้งหมดนี้ช่างไร้สาระ และเพียงแต่ทำให้กลายเป็นจุดสนใจเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ตลอดชีวิตคริสเตียนของผมจึงมักไม่โอเคเมื่อเห็นการใช้คำว่า “ผู้นำนมัสการ” รวมไปถึงคำว่า”การนมัสการ” เพื่อพูดถึงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับดนตรี
ที่จริงแล้ว คำนี้ไม่เกี่ยวกับดนตรีด้วยซ้ำ – มันควรจะสัมพันธ์กับการแสดงออกถึงความรักที่เสียสละของพระเจ้า
และ คำว่า“ ผู้นำนมัสการ” ไม่ควรจะเป็นตำแหน่งที่ใครก็ตามสมควรได้รับ แต่เป็นเป้าหมายที่พวกเราทุกคนควรมุ่งไปสู่…
มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำการนมัสการ ด้วยการแสดงความรักต่อพระเจ้าอย่างจริงใจ ด้วยสุดจิตใจ สุดจิตวิญญาณ สุดความคิด และด้วยสุดกำลัง
บทความ: Worship does not mean singing and music, Jon Davis
แปล: Wilaione
ออกแบบ: Nan Tharinee
บทสนทนา
ไม่มีความคิดเห็น